ใบหน้าของหลินเช่อดูน่าขันอย่างยิ่ง ขณะที่เดินเข้ามา ใบหน้าของหญิงสาวทั้งเหยเกและแดงก่ำราวกับกุ้งต้มทีเดียว
กู้จิ้งเจ๋อร้องเรียก “หลินเช่อ มานี่สิ!”
หญิงสาวลังเล ตอนนี้เธอชักนึกเสียใจซะแล้วสิ ทำไมนะเธอถึงจะต้องเผลอหลุดปากอะไรออกไปโดยไม่ทันคิดแบบนี้ด้วย น่าสมเพชชะมัด
แต่ถึงอย่างไรเธอก็ต้องทำในสิ่งที่ตัวเองเป็นคนเสนอออกไปอยู่ดี ไม่ว่ามันจะแย่แค่ไหน ในเมื่อเธอเป็นคนพูดเองนี่ ยังไงก็ต้องทำ ต่อให้ตอนนี้เธอใกล้จะร้องไห้เต็มทีแล้วก็ตาม…
หลินเช่อทำใจกล้าและเดินไปที่เตียงนอน เธอมองเห็นแผงอกของกู้จิ้งเจ๋อที่โผล่ออกมาให้เห็นรำไรใต้ชุดนอน เธอก้มลงแต่ไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ
ขณะที่โน้มศีรษะลงไป ใบหน้าก็แดงก่ำ เธอรู้สึกได้ว่ากู้จิ้งเจ๋อยกแขนขึ้นสวมกอดเธอเอาไว้
หลินเช่อคร่ำครวญอย่างน่าสงสารว่า “ให้ตายสิคะ…ฉัน…ฉันเริ่มรู้สึกเสียใจที่พูดไปอย่างนั้นแล้วนะเนี่ย!”
กู้จิ้งเจ๋อทำหน้าเครียด “เสียใจเหรอ…สายไปซะแล้วละ!”
ถ้าวันนี้เธอไม่ช่วยเขาละก็ เขาจะจัดการเธอจนไม่เหลือชิ้นดีอย่างแน่นอน!
เมื่อตกกลางคืน หลินเช่อได้แต่นวดเฟ้นท่อนแขนที่ปวดหนึบของตัวเองด้วยความโกรธ ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของเฉินโยวหราน หล่อนบ้าไปแล้วหรือไงที่ส่งของทะลึ่งตึงตังแบบนั้นมาให้น่ะ หล่อนตั้งใจจะแกล้งเธอชัดๆ!
เช้าวันต่อมา
กู้จิ้งเจ๋อตื่นขึ้นอย่างสดชื่นแจ่มใสในตอนเช้าและออกจากบ้านไป
ในขณะที่หลินเช่อรีบตรงไปที่บ้านของเฉินโยวหรานโดยไม่รอช้า
“เฉินโยวหราน ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ฉันจะฆ่าเธอ” หลินเช่อพุ่งเข้าไปในบ้านของเพื่อนสาว นึกอยากบีบคอเพื่อนรักให้ตายคามือเต็มที่
เฉินโยวหรานถูกกดลงกับเตียงนอน ร่ำร้องขอชีวิต “ยกโทษให้ฉันด้วย ยกโทษให้ฉันน้า ที่ฉันทำไปก็เพื่อเธอเลยนะ ไม่เห็นหรือไง นี่เธอสวยเปล่งปลั่งขึ้นตั้งเยอะแน่ะ เป็นไงล่ะ เมื่อคืนนี้สะเทือนเลื่อนลั่นกันไปเลยล่ะสิ”
“หุบปากไปเลยย่ะ!” แค่นึกหลินเช่อก็ปรี๊ดขึ้นมาแล้ว
สองสาวงอนง้อต่อว่ากันจนคืนดีและออกไปชอปปิ้งด้วยกันต่อ
สมัยที่ยังเรียนหนังสือ ทั้งสองออกเที่ยวเตร่ด้วยกันอยู่บ่อยๆ เหมือนกับเด็กสาวทั่วไป พวกเธอจะกินไอศกรีม และซื้อเสื้อผ้าราคาถูกจากตลาดนัดกลางคืน
หลินเช่อสวมแว่นกันแดดอันโตเพื่อป้องกันไม่ให้ใครจำได้ เมื่อเธอและเฉินโยวหรานเดินกินไอศครีมไปด้วยกัน
เฉินโยวหรานถามขึ้นอย่างผิดหวัง “พวกเธอนี่ไม่ได้เรื่องเลยนะ ตกลงเมื่อคืนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยงั้นเหรอ ให้ตายสิ นี่เธอรู้รึเปล่าว่าฉันหมดเงินไปกับของพวกนั้นตั้งเท่าไหร่น่ะ”
หลินเช่อนึกอยากจะฆ่าเพื่อนเสียนัก “งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะส่งคืนให้ เธอจะได้เอาไปใช้ซะเองไงล่ะ!”
“หืม ฉันไม่ใช่หรอกย่ะ”
โทรศัพท์ของหลินเช่อดังขึ้น เธอมองเห็นชื่อของหลินโหย่วไฉผู้เป็นบิดาแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว ก่อนที่จะกดรับสาย
[หลินเช่อ มีบางอย่างเกิดขึ้นกับหลินอวี่] เสียงผู้เป็นพ่อดังมาตามสาย
หลินเช่อถาม “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
[พี่เขาไปรับรองลูกค้าแล้วเกิดไปล่วงเกินบางคนเข้า ตอนนี้พวกมันก็เลยจะมาคิดบัญชีพวกเราที่บ้าน บอกทีสิว่าพ่อควรจะทำยังไงดี]
หลินเช่อไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ครอบครัวของเธอเลือกที่จะโทรหาเธอเมื่อเกิดปัญหาขึ้นแบบนี้ “แล้วหนูจะไปรู้ได้ยังไงล่ะคะ”
[แกรู้จักกู้จิ้งเจ๋อนี่ แกจะช่วย…แกช่วยบอกเขาให้ช่วยโผล่หน้ามาหน่อยไม่ได้เหรอ]
“พ่อคะ…นี่มันไม่ถูกต้องนะคะ เราจะไปลากคนอื่นมาพัวพันกับปัญหาของครอบครัวเราแบบนี้ไม่ได้”
[เขาเป็นพี่แกนะ เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกับแก แกเองก็สนิทกับหลินอวี่มากกว่าใครเพื่อนนี่นา]
ใช่สิ ตอนที่ยังเป็นเด็ก หลินอวี่ขโมยการบ้านของเธอไปส่งและทำราวกับว่าเป็นงานของตัวเอง แบบนี้คงสนิทกันตายแล้วล่ะ
“ก็ได้ค่ะพ่อ หนูจะลองบอกเขาดูถ้ามีโอกาส”
[ดี ดี ดีเลย เวลาแบบนี้นี่แหละที่ครอบครัวจะได้ชื่นชมในตัวแก]
เมื่อหลินเช่อวางสาย เฉินโยวหรานก็มองหน้าเพื่อนรักด้วยท่าทางประหลาดใจ
“นี่มันบ้าอะไรกัน ครอบครัวเธอต้องการเธอแค่เฉพาะตอนที่เกิดเรื่องอย่างนั้นเหรอ พวกเขามีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้ แหม พอรู้ว่าลูกได้ดิบได้ดีขึ้นมาละก็เอาเชียวนะ ทีเมื่อก่อนพวกเขาทำกับเธออย่างกับขยะ ไม่เคยคิดว่าเธอเป็นครอบครัวเดียวกันด้วยซ้ำ ไม่ต้องไปช่วยพวกเขาเลยนะ นี่ฉันพูดจริงๆ”
หลินเช่อตอบ “ไม่ดีหรอกที่จะเอาเรื่องนี้ไปบอกกับกู้จิ้งเจ๋อน่ะ เขาไม่ได้ติดค้างอะไรฉัน แล้วอีกอย่างฉันก็เอาแต่คอยสร้างปัญหาให้เขาซะด้วยสิ”
“แล้วทีนี้จะเอายังไงล่ะ”
หลินเช่อว่า “ฉันจะลองสืบดูว่าหลินอวี่ไปมีเรื่องกับใคร แล้วเดี๋ยวค่อยมาว่ากันว่าจะเอายังไงดี เอาเถอะ ฉันอยากไม่ชอปปิ้งแล้วล่ะ เธอไปต่อก็แล้วกัน ฉันจะกลับบ้านก่อนนะ”
“เอางั้นก็ได้”
เฉินโยวหรานรอจนหลินเช่อเดินออกไป เธอจึงออกจากร้านค้า แต่แล้วเสียงสัญญาณกันขโมยก็ดังขึ้น
หญิงสาวถึงกับงงทีเดียวเมื่อพนักงานรักษาความปลอดภัยพากันกรูเข้ามาหาเธอ
“นี่พวกคุณทำอะไรน่ะ…”
“คุณมีสินค้าที่ยังไม่ได้จ่ายเงินอยู่กับตัวหรือเปล่า”
“จะมีได้ยังไงล่ะ ก็ฉันจ่ายเงินแล้ว” เฉินโยวหรานยังคงงุนงง แต่เมื่อพนักงานรักษาความปลอดภัยให้เธอลองเดินผ่านตัวเซ็นเซอร์อีกครั้ง เสียงสัญญาณเตือนก็ยังคงดังอยู่นั่นเอง
คราวนี้พนักงานบอกกับเธอว่า “เราจะแจ้งตำรวจ เพราะตอนนี้เราไม่ได้รับอนุญาตให้ค้นตัวผู้ต้องหาเองอีกแล้ว เราต้องให้ตำรวจมาจัดการเรื่องนี้”
“หา”
เฉินโยวหรานจึงพยายามหาทางต่อรอง “ก็ได้ค่ะ ฉันล้วงกระเป๋าให้ดูแล้วกันว่าฉันไม่ได้หยิบอะไรออกมาจริงๆ”
ทว่าเธอกลับรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างในกระเป๋า มันคือกล่องใส่…ถุงยาง
หน้าเธอแดงก่ำ…
พนักงานรักษาความปลอดภัยหัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆๆ คุณครับ ถ้าคุณจำเป็นต้องใช้มัน คุณซื้อมันได้นะครับ…”
เฉินโยวหรานยังทำอะไรไม่ถูก เมื่อใครอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้เธอพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า
“ใช่แล้วล่ะ ถ้าคุณอยากใช้ คุณก็ซื้อได้ แต่จะว่าไป ท่าทางคุณดูไม่น่าจำเป็นต้องใช้เท่าไหร่นะ”
คนที่พูดอยู่จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเฉินอวี่เฉิงนั่นเอง
หญิงสาวหันไปมองเขาอย่างหมดทางสู้ “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะเนี่ย”
เขาตอบว่า “อ้อ ออฟฟิศผมอยู่ข้างๆ นี่เอง ผมควรจะเป็นฝ่ายถามคุณมากกว่านะ ว่าคุณนั่นแหละมาทำอะไรที่นี่”
เฉินโยวหรานบอกเสียงอ่อยว่า “ฉันมาซื้อของน่ะสิ ก็ที่นี่มันห้างสรรพสินค้าไม่ใช่หรือไง”
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะหลินเช่อซึ่งอยู่ใกล้ๆ ที่นี่ และบอกเธอว่าห้างนี้เดินสนุก เธอก็เลยตามเพื่อนมานี่แหละ
แต่ดูท่าทางเหมือนว่าจะเป็นห้างที่มีแต่คนรวยๆ มาเดินกันทั้งนั้น
เฉินโยวหรานจ้องหน้าเฉินอวี่เฉิงอย่างจะเอาเรื่อง
เธอปากล่องถุงยางใส่หน้าเขา “ฉันไม่ต้องการไอ้นี่สักหน่อย คุณนั่นแหละที่ต้องใช้ ในเมื่อทำตัวสำส่อนแบบนี้ ฉันละกลัวว่าคุณจะติดโรคมาน่ะสิ เฮอะ!”
“…”
พูดจบเจ้าตัวก็วิ่งฉิวออกไปทันที
นายแพทย์หนุ่มยืนถือกล่องถุงยาง นิ่วหน้ามองตามทิศทางที่หญิงสาววิ่งหนีไป
เมื่อออกมาจากร้านค้าได้ เฉินโยวหรานก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าถุงยางเจ้ากรรมกล่องนั้นมาอยู่ในกระเป๋าของเธอได้ยังไง
แล้วทันในนั้นเอง เธอก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ มีข้อความส่งมาจากหลินเช่อ
[ได้รับของขวัญหรือยังจ๊ะ]
คราวนี้เฉินโยวหรานรู้ได้ในทันที
ฝีมือหลินเช่อนี่เอง
ยัยหลินเช่อบ้า!
“รอก่อนเถอะหลินเช่อ อย่าให้ถึงตาฉันบ้างก็แล้วกัน!” เฉินโยวหรานอายมาก มันก็คงไม่เป็นอะไรเท่าไหร่ถ้าไม่ต้องเจอคนรู้จัก แต่นี่เธอดันบังเอิญเจอกับอีตาหมอบ้องตื้นเฉินอวี่เฉิงนั่นจนต้องกลายเป็นตัวตลกของเขาไป
หลินเช่อหัวเราะเสียงดังเมื่ออ่านข้อความจากเฉินโยวหรานและนึกภาพออกว่าอีกฝ่ายกำลังเต้นเร่าๆ แค่ไหน นี่ถือเป็นการแก้แค้นนะ ก็ใครบอกให้เฉินโยวหรานทำแบบนั้นกับเธอก่อนล่ะ
ไม่ช้าหลินเช่อก็กลับถึงบ้าน แต่ก่อนที่เธอจะก้าวเข้าประตู เธอก็เห็นรถยนต์คุ้นตาคันหนึ่งจอดอยู่ด้านนอก
หลินเช่อเพิ่งก้าวลงจากรถเมื่อตอนที่ใครบางคนรีบเข้ามาหาเธอจากทางด้านหลัง
“หลินเช่อ อย่าเพิ่งเข้าไป นี่เรารอแกมาทั้งวันแล้วนะ”
เมื่อหญิงสาวหันไป เธอก็ได้พบว่าบุคคลนั้นคือหลินโหย่วไฉนั่นเอง
ถัดไปจากหลินโหย่วไฉก็คือหลินอวี่ที่เธอไม่ได้พบหน้ามาแสนนาน
หลินอวี่มองมา ทำท่าเหมือนไม่อยากจะเดินมาหานัก โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นหลินเช่อ ผู้เป็นพี่ก็ยิ่งทำสีหน้าดูแคลน
แต่หลินโหย่วไฉเป็นฝ่ายดึงลูกสาวเข้ามายืนข้างตัว “หลินเช่อ ฉันพาพี่สาวแกมาหาน่ะ”