หวังฉิงฉู่เดินฉับๆ กลับไปยังที่นั่ง หลินเช่อกัดริมฝีปากแล้วจ้องมองด้านหลังของอีกฝ่าย มือกำหมัดแน่น
อวี๋หมินหมิ่นเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าหวังฉิงฉู่จะยโสได้ถึงขนาดนี้
บางทีหล่อนอาจจะอายุน้อยเกินกว่าจะสามารถควบคุมกิริยามารยาทได้
หลินเช่อยิ้มเย็น “ถามจริงๆ เถอะว่าตกลงรางวัลนี้เขาดูกันที่ฝีมือในจอหรือนอกจอกันแน่คะ”
อวี๋หมินหมิ่นกดมือหลินเช่อไว้ “อย่ากังวลไปเลย เดี๋ยวฉันจะไปดูเอง”
ผู้จัดการสาวลุกขึ้นแล้วเดินออกไป ทิ้งหลินเช่อเอาไว้เพียงคนเดียว ทันใดนั้นหญิงสาวก็ได้ยินใครบางคนพูดขึ้นจากทางด้านหลังว่า
“ดูเหมือนว่ารางวัลนักแสดงหน้าใหม่จะเป็นของหวังฉิงฉู่เสียละมั้ง”
“แต่หลินเช่อก็แสดงได้ไม่เลวนะ”
“อันที่จริงฉันรู้มานานแล้วละว่ายัยหวังฉิงฉู่น่ะเป็นคนได้รางวัลนักแสดงหน้าใหม่ ฉันเห็นรายชื่อมาก่อนแล้วก่อนหน้านี้”
“ให้ตายเถอะ งั้นก็เป็นหล่อนจริงๆ น่ะสิ มิน่าหล่อนถึงได้ดูมั่นหน้านัก เดินพรมแดงคนเดียวแบบเชิดสุดอะไรสุดทีเดียว นี่เดาว่าคงจะเป็นผลตัดสินภายในสินะ น่าสงสารหลินเช่อจัง”
“ก็จะให้ทำยังไงได้ล่ะ”
แม้หลินเช่อจะไม่ได้ตั้งความหวังอะไรไว้สูงมากมายว่าตัวเองจะได้รางวัล แต่เธอก็ยังไม่สบอารมณ์นักที่จะได้ฟังคำพูดเช่นนี้ ถ้าหากตัดสินกันที่ความสามารถจริงๆ เธอก็ยังเต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ แต่การใช้วิธีตุกติกเพื่อเขี่ยเธอให้พ้นทางแบบนี้เป็นเรื่องที่หญิงสาวไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่นัก
โลกนี้ไม่มีอะไรยุติธรรม ยิ่งในวงการนี้ด้วยแล้ว หลินเช่อไม่ชอบเลยที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเธอ
ทำไมถึงไม่สู้กันด้วยความสามารถและชื่อเสียงแบบแฟร์ๆ ล่ะ
หวังฉิงฉู่หันมาหาหลินเช่อ หล่อนเลิกคิ้วแล้วยิ้มเยาะ ทำท่าราวกับเป็นผู้ชนะ
หลินเช่อมองตรงไปข้างหน้าและสูดลมหายใจเข้าอย่างเงียบงัน
เหล่าดาราชื่อดังหลายคนเริ่มทยอยขึ้นไปบนเวทีเมื่อเริ่มมีการประกาศรางวัลดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม หลินเช่อมองตรงไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ และเมื่อถึงเวลาประกาศรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ เธอก็ขยับนั่งยืดตัวขึ้นตรง
หวังฉิงฉู่หันกลับมาอีกครั้ง ส่งยิ้มน้อยๆ ให้หลินเช่อ “ไม่ต้องตื่นเต้นไปหรอกน่ะ ยังไงรางวัลก็เป็นของฉันอยู่แล้ว โชคร้ายหน่อยนะจ๊ะที่ต้องมาแข่งกับฉันปีนี้ ขอให้คราวหน้าเธอโชคดีกว่านี้ก็แล้วกัน” หวังฉิงฉู่ยกมือขึ้นปิดปากแล้วทำท่าราวกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ “โอ๊ะ เพิ่งนึกออก เธอมีโอกาสที่จะเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนี้แค่ครั้งเดียวในชีวิตนี่นา ปีหน้าก็ไม่ได้เป็นดาราหน้าใหม่แล้วนะจ๊ะ”
หลินเช่อจ้องหน้าอีกฝ่าย “อย่างน้อยฉันก็มาถึงตรงนี้ได้ด้วยความพยายามและความสามารถของตัวเอง ไม่ใช่อะไรก็ตามที่อยู่หลังเวทีก็แล้วกัน”
“ฮ้า หลังเวทีก็เป็นส่วนหนึ่งของความสามารถของเราเช่นกันจ้ะ โดยเฉพาะในวงการนี้ แต่ถึงยังไงเธอก็คงไม่มีปัญญาชนะฉันได้อยู่ดีนั่นแหละ”
คนทั้งฮอลล์อยู่ในความเงียบเมื่อผู้ดำเนินรายการเริ่มพูด “นักแสดงหน้าใหม่ในปีนี้นับว่าเป็นคนรุ่นใหม่กันทั้งนั้นเลยนะครับ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปีที่มีละครดังต่อกันหลายต่อหลายเรื่องทีเดียว ส่วนครึ่งหลังของปีก็เต็มไปด้วยเรื่องน่าประหลาดใจเช่นกัน มีผลงานดีๆ ที่ทั้งมีชื่อและได้รับเรตติ้งถล่มทลายออกมาอยู่หลายเรื่อง…
“เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราจะมาประกาศรางวัลนักแสดงหน้าใหม่สำหรับปีนี้กันนะครับ”
หลังจากฉายภาพวิดีโอของบรรดาผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นที่เรียบร้อย พิธีกรก็ยิ้มและพูดต่อไปว่า “ใครจะเป็นนักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมแห่งปีกันแน่ จะเป็นหวังฉิงฉู่ หรือจะเป็นกู้หนิงหนิง หรือจะเป็นซือตู้ซิง หรือหลินเช่อ”
ในชั่วขณะนั้นเอง พิธีกรรับเชิญอีกคนก็เดินฝ่าบรรดาผู้ชมขึ้นไปยังเวที กล้องทุกตัวผลัดกันจับภาพผู้ได้รับการเสนอชื่อ หลินเช่อนั่งนิ่งสีหน้าปราศจากความรู้สึกใดๆ หญิงสาวยังไม่คุ้นกับการต้องถูกจับจ้องแบบนี้ ในขณะที่ทางด้านหวังฉิงฉู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและมองตรงเข้าใส่กล้องอย่างภาคภูมิใจ
จากนั้นพิธีกรรับเชิญก็ยิ้มและประกาศผล “รางวัลนักแสดงหน้าใหม่ปีนี้เป็นของหลินเช่อค่ะ! ”
บริเวณด้านล่าง หลินเช่อซึ่งได้ยินชื่อตัวเองกำลังอยู่ในอาการช็อกสนิท
เธอนั่งนิ่งไม่อาจขยับตัวจนกระทั่งคนที่อยู่ข้างๆ เริ่มรุนหลังนั่นแหละ หญิงสาวจึงรีบลุกขึ้น
ด้วยความงงไม่หาย เธอแทบมองไม่เห็นอะไรนอกจากแสงสปอตไลต์ที่สาดลงมาบนหน้า เธอก้าวขึ้นไปบนเวทีและรับรางวัลจากมือของพิธีกรรับเชิญ
ที่ด้านล่างเวที หวังฉิงฉู่นั้นลุกขึ้นยืนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อหล่อนได้ยินชื่อหลินเช่อ สีหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ
หลินเช่อถือรางวัลของเธอและก้าวเข้าไปยืนที่หน้าแท่น มือจับไมโครโฟนด้วยท่าทีประหม่าอาย ก่อนจะยิ้มและพูดว่า “ขอบคุณผู้สร้างซีรีส์กระบี่ยอดดวงใจด้วยนะคะ ขอบคุณผู้กำกับที่ให้โอกาสฉันได้แสดงบทสำคัญในเรื่องนี้ และขอบคุณเพื่อนร่วมงานทุกคนที่ช่วยสอนอะไรให้ฉันมากมายเหลือเกิน ขอบคุณทุกคนมากๆ เลยค่ะ…”
หวังฉิงฉู่ไม่อยากทนฟังอีกต่อไป หล่อนไม่แยแสสายตาที่พากันจ้องมองมาและเดินปึงปังออกไปอย่างโกรธจัด
ด้านนอก หล่อนเดินพล่านไปทั่วทุกที่จนกระทั่งพบตัวประธานเฉินที่ด้านหลังของงาน
นักแสดงสาวตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดใส่ว่า “คุณเป็นบ้าอะไร ไหนคุณบอกว่าจะให้รางวัลนั่นกับฉันไงล่ะ แล้วทำไมถึง…ทำไมคุณถึงกล้าโกหกฉันแบบนี้! นี่คุณเห็นฉันเป็นของเล่นหรือยังไง”
เธอขายหน้าจะแย่อยู่แล้ว อุตส่าห์ไปพูดจาวางโตซะมากมายขนาดนั้น แต่สุดท้ายกลับคว้าน้ำเหลว
“ฉัน…ฉันก็ไม่ได้อยากจะทำแบบนั้นหรอก ฉันเขียนชื่อเธอลงไปแล้วจริงๆ นะ ถึงแม้ว่าทุกคนจะเห็นว่าหลินเช่อแสดงได้ดีกว่าก็เถอะ แต่ฉันก็ยังเชื่อในตัวเธอ แต่ว่าวันนี้…” ประธานเฉินอุบอิบ “ฉันบอกได้แค่ว่าคนหนุนหลังหลินเช่อน่ะใหญ่โตกว่าของเธอมากนัก ฉันไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้น่ะ”
“อะไรนะ”
“บอกตามตรงว่าไม่มีทางเลย ฉันเองก็ไม่คิดว่าแบ็คของหลินเช่อจะเป็นคนระดับนั้นเหมือนกัน เขาใหญ่ขนาดที่ฉันไม่มีปัญญาแตะต้องได้ ฉันช่วยอะไรเธอไม่ได้หรอก ต่อให้อยากจะช่วยก็เถอะ”
หวังฉิงฉู่ถึงกับอึ้งไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของหล่อนยับยู่ด้วยโทสะ
ในไม่ช้า หลินเช่อก็เดินลงมาจากเวทีและได้เห็นอวี๋หมินหมิ่น เธอพูดกับอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ “บอกตามตรงนะคะ ฉันไม่เคยคิดเลยว่ารางวัลนี้จะเป็นของฉันน่ะ พระเจ้า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย”
อวี๋หมินหมิ่นยิ้มและบอกว่า “ดูเหมือนว่าโลกนี้จะยังมีความยุติธรรมอยู่น่ะสิ”
หลินเช่อผงกหัวโดยแรง
เธอไม่อาจซ่อนความยินดีในสีหน้าเอาไว้ได้
อวี๋หมินหมิ่นพูดต่อไปว่า “อย่าลืมเลี้ยงพวกเราด้วยล่ะ”
“แน่นอนค่ะ ฉันจะเลี้ยงทุกคนเลย ฮ่าๆ ”
งานประกาศผลรางวัลสิ้นสุดลงแล้ว และในขณะที่หลินเช่อกำลังเดินออกจากงาน โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น
เธอล้วงมันออกมาและได้เห็นว่าเป็นกู้จิ้งเจ๋อนั่นเอง
เธอรีบรับสายโดยไว “กู้จิ้งเจ๋อคะ”
เมื่อได้ยินความดีใจในน้ำเสียงของเธอ ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ [งานเลิกแล้วเหรอ]
“เลิกแล้วค่ะ เพิ่งเลิกเดี๋ยวนี้เอง”
[ฉันรอเธออยู่ข้างนอกนะ ออกมาสิ]
“อา จริงเหรอคะ”
[จริงสิ เธอชนะรางวัลนี่นา เธอควรต้องเลี้ยงข้าวฉันไม่ใช่เหรอ] เขาถาม
“โอเคๆ ได้เลยค่ะ ฉันจะพาคุณไปเลี้ยงข้าวเอง”
หลินเช่อวางสายแล้ววิ่งออกไป เธอเห็นรถของเขาจอดรออยู่ข้างนอก
หลินเช่อกระโดดขึ้นรถแล้วยื่นถ้วยรางวัลอวดเขาด้วยความตื่นเต้น
กู้จิ้งเจ๋อยิ้มแล้วบอก “ยินดีด้วยนะ”
เธอพูดด้วยท่าทีเนื้อเต้นทีเดียว “ฉันยังคิดอยู่เลยนะคะว่ามันแปลกจังที่ใครต่อใครก็พากันพูดว่าหวังฉิงฉู่น่ะรู้จักคนมีอิทธิพลในวงการ เพราะฉะนั้นรางวัลนี้จะต้องเป็นของเธออย่างแน่นอน แต่มันก็ยังกลายเป็นของฉันแบบนี้”
กู้จิ้งเจ๋อยิ้มให้ “นั่นพิสูจน์ให้เห็นแล้วไงล่ะ ว่ามีคนที่มีอิทธิพลมากยิ่งกว่า”
“อะไรนะคะ”
ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรอีกแต่เริ่มออกรถ “ไปกันเถอะ เธอติดเลี้ยงข้าวฉันอยู่นะ”