เขากำลังป้อนอาหารโม่ฮุ่ยหลิง
หลินเช่อเดินเข้าไปในบริษัทที่ว่าจ้างเธอโฆษณาพร้อมกับอวี๋หมินหมิ่น เธอชวนคุยไปพลางว่า “นี่เป็นครั้งแรกเลยนะคะที่ฉันได้เป็นนางแบบโฆษณา ไม่คิดเลยว่าฉันจะมีโอกาสได้ทำงานโฆษณาด้วย”
อวี๋หมินหมิ่นยิ้มแล้วตอบว่า “ตอนนี้เธอกลายเป็นคนมีผลงานแล้วนะ ถึงเวลาที่เธอจะได้เจิดจรัสแล้ว เลิกคิดว่าตัวเองเป็นแค่ดาราตัวประกอบได้แล้ว เธอเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง เข้าใจรึเปล่า”
หลินเช่อว่า “ฉันแค่ยังไม่ค่อยชินน่ะค่ะ ฉันรู้สึกเหมือนทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากเลย เมื่อสองสามเดือนก่อน ฉันยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย”
อวี๋หมินหมิ่นว่า “อาชีพนี้มันก็เป็นแบบนี้แหละ เธอสามารถโด่งดังได้ในชั่วข้ามคืนถ้าเธอคว้าโอกาสไว้ได้ แต่ถึงยังไงเธอก็ต้องระวังด้วย ช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะพลาดด้วยเหมือนกัน ถ้าหากว่ามีอะไรมาถ่วงเวลาและเธอไม่สามารถมีชื่อเสียงได้เสียทีละก็ ทางบริษัทจะไม่ยอมเสียเงินก้อนใหญ่เพื่อรักษาเธอไว้หรอกนะ แถมเธอก็ยังไม่มีเส้นสายในสังคมเป็นของตัวเอง ไม่เหมือนพวกดาราที่มีชื่อเสียงมั่นคงแล้ว พวกนั้นถ้าทำอะไรพลาดก็ยังมีโอกาสแก้ตัว แต่ถ้าเป็นเธอในช่วงเวลาแบบนี้ เธอจะหาทางกลับมายืนขึ้นอีกครั้งไม่ได้เลย เข้าใจหรือเปล่า”
อวี๋หมินหมิ่นตั้งใจอบรมหลินเช่อมากเป็นพิเศษเพราะเธอเริ่มที่จะรู้สึกว่าหลินเช่อเองก็เป็นเด็กสาวที่ไม่เลวคนหนึ่งเลยทีเดียว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินเช่อก็พยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย “ฉันเข้าใจค่ะ”
ขั้นตอนการเซ็นสัญญาโฆษณาผ่านไปอย่างราบรื่น มีเพียงจังหวะที่เดินออกมาเท่านั้นที่หลินเช่อบังเอิญไปเห็นเซนมิร่า ดาราผู้กำลังโด่งดังอยู่ในขณะนี้เข้า ที่ด้านนอกบริษัทมีผู้คนเข้าแถวเรียงรายและพวกเธอก็พากันหันมามองหลินเช่อกับอวี๋หมินหมิ่นที่กำลังเดินออกมาด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
เซนมิร่าเองก็เพิ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ ทางบริษัททุ่มทุนกับการโปรโมตเธออย่างมาก แต่ทั้งเธอและหลินเช่อไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน ภาพที่เห็นจึงทำให้หญิงสาวงุนงงอยู่ไม่น้อย อวี๋หมินหมิ่นรีบดึงแขนและพาเธอออกไปจากตรงนั้นเสีย
อวี๋หมินหมิ่นอธิบายว่า “อย่าไปสนใจเขาเลย เดิมทีโฆษณาชิ้นนี้มันเป็นของเขาน่ะแต่ทางบริษัท เปลี่ยนใจมาเลือกเธอในนาทีสุดท้าย เขาถึงได้โกรธขนาดนั้นไงล่ะ”
หลินเช่อร้อง “อย่างนี้ก็แปลว่าฉันแย่งงานโฆษณาเขามาน่ะสิคะ”
อวี๋หมินหมิ่นบอก “ถ้าเป็นในทางเทคนิคก็คงใช่… แต่สำหรับอาชีพแบบนี้ มันไม่มีหรอกนะไอ้ที่เรียกว่าการขโมยบทน่ะ มีแต่ความจริงเท่านั้น ทางบริษัทโฆษณาเห็นศักยภาพในการเติบโตของเธอเพราะเหตุนี้เขาถึงเลือกดาราที่กำลังจะกลายเป็นดาวรุ่งไงล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีค่ะ”
คืนนั้นหลินเช่อตามอวี๋หมินหมิ่นออกไปร่วมรับประทานอาหารค่ำกับคนจากบริษัทโฆษณา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้พวกเขาที่เลือกเธอมาเป็นพรีเซนเตอร์
ขณะอยู่บนรถ หลินเช่อโทรหาอวี๋หมินหมิ่นเพื่อถามว่าจะให้ไปพบที่ไหน
อวี๋หมินหมิ่นตอบ [เธอเข้าไปก่อนได้เลย ที่ห้องสามศูนย์สอง อีกแป๊บเดียวฉันก็ไปถึงแล้ว]
อวี๋หมินหมิ่นยังคงติดแหง็กอยู่ท่ามกลางการจราจรแออัดและเริ่มที่จะเป็นกังวลแล้ว เธอวางสายแล้วมองไปข้างหน้า ภาพของกู้จิ้งหมิงขณะกำลังเดินทางไปเยือนมณฑลอื่นกำลังปรากฏอยู่บนหน้าจอขนาดยักษ์ หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะจ้องมองดูภาพนั้นอย่างไม่อาจถอนสายตา
กู้จิ้งหมิงยืนตัวตรง แต่งกายด้วยชุดสูท เขาดูเป็นธรรมชาติอย่างมากบนหน้าจอโทรทัศน์ สีหน้าเป็นมิตรนั้นปกปิดความเข้มงวดพิถีพิถันเอาไว้ อวี๋หมินหมิ่นนึกถึงถ้อยคำต่างๆ ที่ใครต่อใครพากันพูดถึงเขา มีคนพูดว่าเขาเป็นประธานาธิบดีผู้เอาจริงเอาจังที่เข้ามารับมือกับความสัมพันธ์ทางการเมืองทั้งภายในแล้วก็ภายนอกประเทศ อีกทั้งเขายังเป็นผู้นำที่กุมหัวใจของคนจำนวนมากเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นด้วย
อวี๋หมินหมิ่นละสายตาจากหน้าจอ แต่ในขณะที่สายตากำลังปรับภาพอยู่นั้นเอง รถที่ขับก็พุ่งเข้าชนรถคันข้างหน้า…เธอชนท้ายคนอื่นเข้าเสียแล้ว…
“ให้ตายสิ” อวี๋หมินหมิ่นสบถอย่างหัวเสียและรีบก้าวลงจากรถ
ที่ด้านนอกโรงแรมที่นัดพบ หลินเช่อต่อสายหาอวี๋หมินหมิ่นนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น หลินเช่อจึงได้แต่เพียงเข้าไปที่ห้องส่วนตัวตามหมายเลขห้องที่อวี๋หมินหมิ่นบอกไว้เพียงลำพัง
กระนั้นเมื่อเธอเปิดประตูเข้าไปในห้อง เธอก็ได้เห็นผู้คนข้างในนั้นกำลังยืนโงนเงน บ้างก็นอนอยู่กับพื้น บ้างก็ยืนตัวงุ้มงอ ทุกคนดูน่าประหลาดมาก และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่หลินเช่อจะต้องมาพบในคืนนี้…
หญิงสาวงุนงง เธอหมุนตัวตั้งใจจะก้าวออกไปแต่ใครบางคนคว้าข้อมือของเธอเอาไว้โดยแรงเสียก่อน…
ที่โถงทางเดินด้านนอก ไม่มีใครพบเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เซนมิร่ายืนถือโทรศัพท์พลางกระตุกยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก เธอกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ว่า “ฉันมาถึงแล้ว หลินลี่ ขอบคุณที่อุตส่าห์บอกนะว่าหล่อนจะมาที่นี่คืนนี้… ฉันจะจัดหนักชนิดที่ทำเอาหล่อนกลับออกไปไม่ได้เลยทีเดียวล่ะ”
ก่อนที่หลินเช่อจะทันได้ตั้งตัว เธอก็ได้ยินเสียงตำรวจที่บุกเข้ามา
“ทุกคน หยุด อย่าขยับ วางยาเสพติดในมือลงแล้วยืนหันหน้าให้ผนังห้องทีละคนนะ”
ยาเสพติดงั้นเหรอ
หลินเช่อเหลียวมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง เมื่อได้เห็นสิ่งแปลกตาบางอย่างที่กระจายเกลื่อนอยู่ทั่วห้องและผู้คนประหลาดๆ เหล่านั้น เธอก็เข้าใจได้ในที่สุด ความเย็นยะเยือกแล่นเข้าเกาะกุมหัวใจ
ถ้านักแสดงเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เธอหรือเขาเหล่านั้นจะต้องเจอกับอะไร
ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีตัวอย่างให้เห็นหรอกนะ…
กู้จิ้งเจ๋อกำลังอยู่ที่ออฟฟิศของเขา และโม่ฮุ่ยหลิงก็โทรศัพท์เข้ามาขัดจังหวะการทำงานของเขาอีกครั้งแล้ว
ชายหนุ่มเริ่มขุ่นใจ ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา โม่ฮุ่ยหลิงคอยไล่ตามเขาชนิดไม่ลดละและรบกวนการทำงานของเขาเป็นอย่างมาก
เสียงของหล่อนเอ่ยขึ้นว่า [จิ้งเจ๋อคะ นี่คุณจะยังไม่กลับมานอนคืนนี้อีกเหรอคะ]
หลังจากวันแรกที่เขาอยู่ค้างด้วย เขาก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้พอวันที่สองเขาจึงหาข้ออ้างว่างานยุ่งและไม่ได้ไปที่นั่นอีก
แต่แล้วโม่ฮุ่ยหลิงก็เริ่มกระหน่ำโทรมาไม่หยุดเพื่อถามถึงงานของเขาว่าเป็นอย่างไรจนทำให้เป็นการยากสำหรับเขาที่จะบอกปัดเธอ
“ยังยุ่งๆ อยู่นิดหน่อยน่ะ ฮุ่ยหลิง ถ้าเธอเบื่อละก็ฉันจะให้ฉินเฮ่าส่งรถไปรับเธอก็ได้นะ เธอจะได้ไปชอปปิ้ง ฉันสั่งคนให้ทิ้งเครดิตการ์ดเอาไว้ให้เธอใช้แล้ว หรือถ้าเธออยากจะไปชอปปิ้งที่ต่างประเทศก็เอาเครื่องบินของตระกูลกู้ไปได้เลย มันจอดว่างอยู่ที่บ้านแน่ะ”
[ฉัน…ไม่ได้ต้องการอย่างนั้นค่ะ จิ้งเจ๋อ เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ นี่คุณเบื่อฉันแล้วเหรอ นี่ฉันตามตื๊อคุณมากเกินไปใช่มั้ยคะ คุณพยายามจะไล่ฉันไปให้พ้นๆ เหรอคะ]
กู้จิ้งเจ๋อนวดหว่างคิ้ว “เปล่า เธอคิดมากไปเองน่ะ”
ฉินเฮ่ายังคงยืนรออยู่ข้างๆ กู้จิ้งเจ๋อโบกมือและส่งสัญญาณบอกว่าให้รออีกหน่อยและหันไปพูดกับโม่ฮุ่ยหลิงในโทรศัพท์ว่า “ฉันจะออกนอกเมืองไปจัดการธุรกิจสักสองสามวัน เป็นเด็กดีนะ ฮุ่ยหลิง พอเสร็จแล้วฉันจะโทรหา”
หัวใจของโม่ฮุ่ยหลิงยุบแฟ่บเมื่อได้ยินเขาพูดอย่างนั้น เธอก็ทำได้แต่เพียงรับคำว่า “ก็ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะวางสายแล้ว รักคุณนะคะจิ้งเจ๋อ”
โม่ฮุ่ยหลิงไม่อาจกดดันเขามากไปกว่านี้ได้ เธอกลัวเหลือเกินว่ากู้จิ้งเจ๋อจะนึกรังเกียจเธอในช่วงจังหวะเวลาที่สำคัญอย่างมากนี้ แต่ในขณะเดียวกันจะให้เธอทิ้งระยะห่างจากเขาไปเลยก็ทำไม่ได้อีกเหมือนกัน ไม่งั้นกู้จิ้งเจ๋อก็คงจะกลับไปอยู่กับนังแพศยานั่นอีก เรื่องนี้ทำให้โม่ฮุ่ยหลิงกลัดกลุ้มอย่างหนัก
เธอทำได้แค่วางสายโทรศัพท์และครุ่นคิดว่าเธอควรจะทำอย่างไรดีจึงจะได้ครอบครองเขาโดยสมบูรณ์…
กู้จิ้งเจ๋อกำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ
ข้างตัวเขา ฉินเฮ่ามองเห็นกู้จิ้งเจ๋อที่วางสายโทรศัพท์แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ท่านครับ เครื่องบินส่วนตัวเตรียมไว้พร้อมแล้วที่สนามบินครับ กำหนดเวลาเทคออฟเอาไว้พร้อมกับกองบินแห่งชาติซึ่งพร้อมที่จะขึ้นบินในอีกครึ่งชั่วโมงนี้แล้ว ท่านต้องการจะไปสนามบินเลยหรือเปล่าครับ”
“ตกลง เตรียมตัวได้เลย เราจะไปสนามบินกัน”
กู้จิ้งเจ๋อยืนขึ้นและเดินออกไป
ฉินเฮ่านึกถึงหลินเช่อขึ้นมาได้ เขาเห็นว่าผู้เป็นเจ้านายไม่สนใจหญิงสาวมาสองสามวันแล้ว
“ท่านครับ เราจะต้องแจ้งคุณผู้หญิงให้ทราบหรือเปล่าครับ”
สีหน้าของกู้จิ้งเจ๋อหม่นลง
“ไม่ต้องหรอก”
หลินเช่อเหรอ
ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เธอไม่โทรหาเขาแม้แต่ครั้งเดียว
เธอทำหน้าที่และเติมเต็มความรับผิดชอบในฐานะภรรยาตามสัญญาได้เป็นอย่างดี
ในขณะเดียวกันนั้น…
ที่กรมตำรวจพิเศษ หลินเช่อกำลังถูกสอบปากคำในฐานะที่เธอเป็นนักแสดง
“สารภาพมาเถอะ หลินเช่อ ที่นี่คุณไม่ได้เป็นดาราแล้วนะ แต่เป็นอาชญากร อุบายแบบนี้มันใช้กับเราไม่ได้หรอก” เจ้าหน้าที่สืบสวนเขม่นมองเธออย่างข่มขู่ เขาเกลียดพวกดาราที่สุด ถึงพวกเขาจะดูสูงส่งและมีอำนาจแต่ความจริงแล้วก็ล้วนแต่เป็นตัวปัญหาทั้งสิ้น