การคำรามนี้ทรงอำนาจอย่างถึงที่สุด พระโพ่วฌาและยอดฝีมือในระดับลงทัณฑ์สายฟ้าคนอื่นๆต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส พระในระดับกฎเทวรูปจำนวนกว่าสิบคนที่มากับพวกเขาก็ไม่ได้โชคดีเท่าไหร่นัก
ภายในหนึ่งลมหายใจ พวกเขาก็เปลี่ยนกลายเป็นก้อนเนื้อบดโดยที่ไม่สามารถดิ้นรนขัดขืนแม้แต่น้อย ตายไปอย่างน่าสลดต่อหน้าทุกๆคน
“เวรเอ๊ย เจ้าเด็กนี่โหดเหี้ยมเหลือเกิน!”
ระยะที่ห่างออกไป ภูติไม้มรณะและคนอื่นๆก็เห็นเหตุการณ์นี้เช่นกัน แต่ละคนต่างก็ตกตะลึงจนตาค้าง
บอกตามตรง เซี่ยปิงเป็นเพียงแค่ผู้บ่มเพาะในระดับแตกฉานขั้นกลาง ต่อให้จะมียันต์ระดับสุดยอดอย่างยันต์มังกรสวรรค์บรรพกาลอยู่ ทว่ายันต์นี้ก็สามารถที่จะแสดงพลังอำนาจในระดับลงทัณฑ์สายฟ้าได้เพียงเท่านั้น
ทว่าท้ายที่สุดเขาก็ยังเป็นผู้บ่มเพาะในระดับแตกฉาน มีที่ไหนที่จะเทียบเรื่องพลังเวทมนตร์กับยอดฝีมือในระดับลงทัณฑ์สายฟ้าได้ ภายใต้การโจมตีไม่กี่ครั้ง คาดการณ์ได้ว่าเจ้าเด็กนี่จะต้องถูกยันต์มังกรสวรรค์บรรพกาลดูดกลืนพลังเวทมนตร์ไปจนแห้งเหือด
ทว่ามีที่ไหนที่เป็นอย่างที่พวกเขาคิด เจ้าเด็กนี่ร้ายกาจอย่างถึงที่สุด กดดันยอดฝีมือในระดับลงทัณฑ์สายฟ้าสามคน อีกทั้งยังแสดงการโจมตีออกมานับสิบครั้ง ไม่ได้มีสัญญาณของพลังเวทมนตร์ที่จะหมดไปเลย นี่ช่างเป็นเรื่องที่ไม่สามารถคาดฝันได้
พวกเขาก็คิดว่าเจ้าเด็กนี่เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ดั่งปีศาจ เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ดั่งปีศาจที่ไร้ใครเทียบเทียมอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าบ่มเพาะมาอย่างไร อยู่เพียงในระดับแตกฉานเท่านั้น ทว่ากลับมีพลังเวทมนตร์ที่มหาศาลจนเทียบเท่าได้กับยอดฝีมือในระดับลงทัณฑ์สายฟ้า มีพลังเวทมนตร์ที่เหนือจินตนาการ
“เจ้าสารเลว!”
เมื่อเห็นว่าลูกน้องที่ตนเองพามาต่างก็ถูกสังหารไปทั้งหมดนั้น พระโพ่วฌาก็จ้องมองอย่างโกรธแค้น จากนั้นก็ส่งเสียงคำรามออกมาอย่างโมโห “ไม่คาดคิดว่าจะกล้าสังหารพระศิษย์น้องของข้า นี่เป็นการที่เจ้านำพาภัยพิบัติไปสู่ตนเอง นำพาภัยพิบัติไปสู่ตนเอง เจ้ารู้หรือไม่? เจ้าจะต้องตาย จะต้องตายอย่างสิ้นซาก ไม่มีใครที่จะสามารถช่วยเจ้าได้ ข้าจะจับเจ้าฉีกแข้งฉีกขาออกมาทั้งหมด ฉีกร่างกายของเจ้าให้กลายเป็นพันๆชิ้น!”
เขาโมโหจนเจียนตาย ไม่คาดคิดว่าพระผู้อาวุโสสามคนที่ร่วมมือกันจะไม่สามารถปราบปรามเจ้าเด็กในระดับแตกฉานนี่ได้
อีกทั้งในระหว่างการต่อสู้ ฝ่ายตรงข้ามก็ได้สังหารลูกน้องของตนเองไปจนหมด พระเหล่านี้คือยอดฝีมือของพระพุทธศาสนา แม้แต่การที่สูญเสียไปเพียงคนเดียวก็ถือว่าเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่แล้ว
ทว่าตอนนี้กลับตายไปทั้งหมด ตายไปโดยที่ไม่เหลือซาก เรื่องเช่นนี้ หากแพร่งพรายออกไป เขาพระโพ่วฌาจะมีหน้าไปพบใครอีก? จะมีปีศาจที่ไหนกันที่เกรงกลัวเขาพระโพ่วฌาอีก?!
“การที่เป็นพระ เหตุใดจึงมีอารมณ์ฉุนเฉียวได้”
เซี่ยปิงพูดออกมาอย่างเรียบเฉย “ความตายไม่ใช่จุดจบ ทว่าเป็นจุดเริ่มต้น พวกเขาไม่ได้ล่วงลับไป ทว่าเป็นเพียงการเข้าสู่หนทางแห่งการปลดทุกข์ เป็นการหลุดพ้นสู่พุทธะ พวกเขาจะได้รับการพิสูจน์ตนเองเป็นพระอรหันต์ เจ้าควรที่จะมีความสุขกับพวกเขาถึงจะถูก”
“ทำตัวสูงส่งยิ่งนัก เจ้าลูกศิษย์ของนิกายฟ้าดิน กล้าที่จะใช้หลักพระธรรมในการสั่งสอนข้า ช่างมีใบหน้าที่ด้านหนายิ่งนัก”
พระโพ่วฌาก็โมโหขึ้นมา มีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่เทศนาผู้อื่น มีที่ไหนที่คนอื่นจะเทศนาเขาเช่นนี้ ตอนนี้ไม่คาดคิดว่าจะถูกสั่งสอนโดยเจ้าเด็กนี่ ช่างไร้สาระสิ้นดี
“พระโพ่วฌา เจ้ายังอ่อนหัดนัก พระธรรมนั้นไร้ขอบเขต ไม่ได้แบ่งแยกหรือจำกัดใคร การที่เจ้าเป็นพระ ข้าก็เป็นพระได้ ทุกๆคนในโลกก็เป็นพระได้ นี่คือความจริงที่ไม่อาจอธิบายได้”
เซี่ยปิงพูดออกมา “เจ้ายึดติดกับการแบ่งแยกวีถีของพระพุทธศาสนา แบ่งแยกเผ่าพันธุ์ แบกแยกชนชั้นวรรณะ แบ่งแยกปีศาจ ดังนั้นจึงไม่สามารถตรัสรู้ได้เสียที พระพุทธเจ้าเคยกล่าวไว้ว่าให้วางดาบฆ่าคนและบรรลุธรรมเป็นพุทธะ”
“ทว่าเรื่องทางโลก เป็นเรื่องที่ยากที่สุดในการปล่อยวาง การที่ต้องการจะปล่อยวางนั้นเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก วางดาบในมือของเจ้า ทว่าดาบในจิตใจของเจ้ากลับไม่ปล่อยวาง เป็นไปได้อย่างไรที่จะบรรลุพระธรรมได้?”
ปัง!
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ร่างกายของพระโพ่วฌาและพระที่เหลือก็สั่นเทิ้ม เหมือนกับถูกตีกลางแสกหน้า กระตุ้นให้เกิดความสำนึก เหมือนกับจะมีสีหน้าของการรู้แจ้งปรากฏขึ้นมา ทั่วทั้งร่างกายหยุดชะงักไป
“เวรเอ๊ย เจ้าเด็กที่น่ารังเกียจนี่ ช่างรู้จักการเล่นลิ้นจริงๆ แม้แต่จิตใจของพระผู้อาวุโสเหล่านี้ก็ต้องหวั่นไหวด้วยคำพูดของเขา”
ระยะที่ห่างออกไป ภูติไม้มรณะและคนอื่นๆก็ตกตะลึง พวกเขาไม่อยากเชื่อสายตาของตนเอง ไม่คาดคิดว่าพระผู้อาวุโสจะถูกคนอื่นตีกลางแสกหน้าเช่นนี้ มีท่าทางเหมือนกับจะตรัสรู้และบรรลุพระธรรมก็ว่าได้
นี่ช่างเป็นเรื่องที่มีเพียงแค่ในนิยาย ปกติแล้วมีเพียงแค่พระผู้อาวุโสเท่านั้นที่จะเทศนาคนอื่นๆให้รู้แจ้ง มีที่ไหนที่พระผู้อาวุโสจะถูกเทศนาให้รู้แจ้งแทน ช่างไม่สมเหตุสมผลสิ้นดี
“บัดซบ เจ้าพระโพ่วฌา เจ้าอย่าโง่เง่าเช่นนี้ อย่าหวั่นไหวกับคำพูดของเจ้าเด็กนั่น เขากำลังหลอกลวงพวกเจ้าอยู่ สังหารเขา รีบสังหารเขาทันที” หลางเจียหลงที่เห็นเช่นนี้ เขาก็มีใบหน้าที่ซีดเผือด ปรารถนาที่จะกระโจนออกไปทันที ตบใบหน้าของพระเหล่านี้ ทำให้พวกเขาตาสว่างขึ้นมา อย่าหลงกลเจ้าเด็กนี่
เพราะว่าบางทีหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ทั้งสองฝ่ายอาจจะเปลี่ยนจากศัตรูกลับกลายเป็นมิตรสหาย จากนั้นเป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาจะเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์ในฐานะมือที่สามได้อีก ทำได้เพียงแค่มองดูเจ้าเซี่ยปิงหลบหนีออกไปอย่างไร้หนทาง ไม่มีทางเลือกใดๆ
ทว่าเมื่อผ่านไปครู่ใหญ่ พระโพ่วฌาและพระคนอื่นๆก็ตาสว่างขึ้นมา ดวงตาเผยแสงประกาย จ้องมองไปที่เซี่ยปิงอย่างไม่ละสายตา
“ดีจริงๆ เจ้าหนู สมกับที่เป็นอัจฉริยะผู้ได้ครอบครองการสืบทอดของพระมหาสุภัททะ มีพระธรรมที่ลึกซึ้งจริงๆ เมื่อได้ฟังคำพูดของเจ้า ราวกับได้รับความรู้ของการอ่านหนังสือสิบปี ช่างเป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่”
พระหยวนเจินในระดับลงทัณฑ์สายฟ้าก็จ้องมองไปที่เซี่ยปิงอย่างชื่นชมนับถือ
“ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านพระมหาสุภัททะถึงไม่ได้เลือกคนอื่น ทว่ากลับเลือกเจ้า นี่ไม่ใช่เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดเลย” พระจื๋อไห่ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เหมือนกับว่าจะพยายามปรับอารมณ์ของตนเองให้เป็นปกติ
“น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ”
พระโพ่วฌาก็เงยหน้ามองฟ้าและถอนหายใจออกมายาวๆ “หากเจ้าเป็นศิษย์น้องของข้า จากนั้นจะต้องเป็นเสาหลักให้กับพระพุทธศาสนาได้อย่างแน่นอน ในอนาคตจะกลายเป็นที่เคารพเลื่อมใส ข้าและคนอื่นๆก็จะต้องกลายเป็นผู้พิทักษ์ของเจ้า กำจัดภัยร้ายไปให้พ้นจากตัวเจ้า”
“ทว่าการที่เจ้าเป็นลูกศิษย์สายตรงของนิกายฟ้าดิน เป็นกลุ่มอิทธิพลในทางตะวันออกของจักรวาล เจ้าก็เป็นศัตรูคู่อาฆาตของพระพุทธศาสนาของข้า ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องฆ่าเจ้าเสีย ไม่อย่างนั้นในอนาคตพระพุทธศาสนาของข้าจะต้องเผชิญกับหายนะอย่างแน่นอน”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่ได้เข้าใจอย่างท่องแท้”
เซี่ยปิงก็ส่ายหัว แสดงสีหน้าที่เวทนา
“เหลวไหล ไม่ว่าข้าจะเข้าใจอย่างท่องแท้ได้หรือไม่ วันนี้เจ้าก็จะต้องตายอยู่ที่นี่!” พระโพ่วฌาตะโกนเสียงดังออกไป “พวกเราลงมือด้วยกัน เปลวไฟแห่งกรรม ชำระล้างความชั่วร้ายทั้งหมด ดอกบัวเปลวไฟแห่งความสงบ แผดเผาทั่วทั้งโลกให้มอดมวย!”
ทันใดนั้นยอดฝีมือในระดับลงทัณฑ์สายฟ้าอีกสองคนก็ได้เคลื่อนไหวออกมาเช่นกัน พวกเขาทั้งสามกระจายตัวกันออกไปในสามทิศทาง ประจำทั้งสามตำแหน่ง ล้อมรอบเซี่ยปิงอย่างกะทันหัน
เห็นเพียงแค่พระโพ่วฌาและพระอีกสองคนประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน ไหลเวียนพลังเวทมนตร์ ทันใดนั้นบนตัวของพวกเขาก็มีเปลวไฟสีทองที่ลุกโชนออกมา แผ่นหลังของพวกเขาปรากฏเป็นเทวรูปพระอจลนาถวิทยราชาขึ้นมา สามเศียรหกกร
ปัง!
ทันใดนั้นเปลวไฟเหล่านี้ก็ครอบคลุมพื้นที่ในระยะสิบกิโลเมตรอย่างกะทันหัน ครอบคลุมทั่วทั้งอวกาศ ล้อมรอบเซี่ยปิง เปลวไฟกำลังแผดเผาอย่างร้อนระอุ เหมือนกับว่ามวลสารทุกอย่างจะถูกแผดเผาจนละลายไป
“ช่างโหดเหี้ยมเกินไป ไม่คาดคิดว่าใช้เปลวไฟแห่งกรรมของพระพุทธศาสนา นี่เป็นการที่ต้องการจะสังหารเจ้าเซี่ยปิงอย่างแท้จริง ปิดล้อมทุกทิศทาง”
“ตาย เจ้าเด็กนี่จะต้องตาย เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรอดชีวิตออกมาจากเปลวไฟแห่งกรรมนี้”
“ดูเหมือนว่าไม่มีความจำเป็นที่พวกเราจะต้องลงมืออีก พระทั้งสามนี้ก็สามารถสังหารเจ้าเด็กนี่ได้”
“ระวังตัวด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามสัมผัสเปลวไฟแห่งกรรมเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นเซนต์ก็ไม่สามารถที่จะช่วยพวกเจ้าได้”
เมื่อภูติไม้มรณะที่อยู่ห่างออกไปมองเห็นเปลวไฟสีทองที่ลุกโชนออกมา ร่างกายของเขาก็สั่นเทาโดยอัตโนมัติ เขาก็รู้ดีถึงชื่อเสียงกิตติศัพท์ของเปลวไฟแห่งกรรม เป็นหนึ่งในเปลวไฟแห่งสวรรค์
มันก็มีอีกชื่อหนึ่งว่าไฟนรกเช่นกัน ตราบใดที่สิ่งมีชีวิตนั้นๆมีบาปติดตัวอยู่ จากนั้นก็จะถูกแผดเผาโดยเปลวไฟแห่งกรรมนี้ จนกลายเป็นเถ้าถ่าน
อีกทั้งหากเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความชั่วร้ายมากเท่าไหร่ เปลวไฟแห่งกรรมนี้ก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพมากเท่านั้น หากเผชิญกับเปลวไฟแห่งกรรม ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดๆ ก็มีเพียงแค่ความตายเท่านั้นที่รออยู่
เฒ่าปีศาจจำนวนมากที่เห็นเปลวไฟแห่งกรรมปรากฏขึ้นมานั้น แต่ละคนต่างก็ขนลุกชันขึ้นมา หากพวกเขาไม่ได้แอบหลบซ่อนตัวอยู่ บางทีก็อาจจะหลบหนีออกไปด้วยความหวาดกลัว เกรงกลัวว่าเปลวไฟแห่งกรรมนี้จะลุกลามออกไปและนำพาภัยพิบัติมาสู่บ่อปลา
บนพื้นผิวพวกเขาอาจจะดูเหมือนไม่ได้หวาดกลัว ทว่าในความรู้สึกลึกๆกลับแอบแฝงไปด้วยความหวาดกลัวที่ไร้ที่สิ้นสุด ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เกรงกลัวว่าเปลวไฟแห่งกรรมจะลุกลามมาถึงจุดที่พวกเขาอยู่ ทำให้พวกเขาทุกข์ทรมานกับเปลวไฟแห่งกรรมและตกอยู่ในสภาพที่น่าสิ้นหวัง