หลังจากนั้นเซี่ยปิงก็ถูกนำตัวไปโดยรถตำรวจ เลี้ยวไปตามทิศทางต่างๆภายในเมือง จากนั้นก็ออกไปจากเมืองอย่างรวดเร็วและมาถึงที่โกดังแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกลและไร้ผู้คน
“ที่นี่ไม่ได้ดูเหมือนว่าจะเป็นสถานีตำรวจ นี่มันคืออะไรกัน ท่านพาข้ามาที่ไหน?”
เซี่ยปิงลงจากรถตำรวจ เขามองออกไปรอบๆและค้นพบว่ารอบๆนั้นไม่มีสถานีตำรวจ ทว่าเป็นโกดังที่รกร้าง รอบๆนั้นไม่มีใครอาศัยอยู่ อีกทั้งยังอยู่ห่างไกลออกไปจากเมืองกว่าร้อยกิโลเมตร
ทว่าเขาก็ไม่ได้มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย ยังคงมองหัวหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยสายตาที่ดูถูก
“แน่นอนว่าที่นี่ไม่ใช่สถานีตำรวจและพวกเราก็ไม่ได้นำเจ้ามาที่นี่สำหรับเรื่องคดีลักลอบขนส่งสินค้าผิดกฎหมายเช่นกัน เรื่องนี้เจ้าก็ควรที่จะล่วงรู้เป็นอย่างดีไม่ใช่หรือ?” หัวหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจมองเซี่ยปิงด้วยสายตาที่เย็นชา “แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าก็ล่วงรู้ถึงจุดนี้ในระหว่างทาง ไม่คาดคิดว่าจะไม่มีท่าทีขัดขืนหรือคิดหลบหนีไป นี่เป็นการแสดงถึงความมั่นใจของเจ้าหรือว่าเป็นการที่เจ้าไม่มีสมองกันแน่”
เขารู้สึกแปลกประหลาดกับสีหน้าที่นิ่งเฉยของเซี่ยปิง หากเป็นผู้คนปกติธรรมดาที่เผชิญกับเรื่องเช่นนี้ พวกเขาจะต้องหวาดกลัวและรีบขัดขืนเพื่อพยายามหลบหนีออกไปในระหว่างทาง
ทว่าเซี่ยปิงนั้นแตกต่างออกไป สงบนิ่งและเยือกเย็นอย่างมาก เหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างนี้อยู่ในความคาดหมายของฝ่ายตรงข้าม ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังเหมือนว่าจะเป็นไปตามความปรารถนาของฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน
นี่ทำให้หัวหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจรู้สึกอึดอัดใจ รู้ว่าตนเองได้เข้ามามีส่วนร่วมในการต่อสู้ของกลุ่มอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่สองกลุ่ม
ทว่าตอนนี้มันก็อยู่เหนือการควบคุมของเขา เพราะว่าถึงอย่างไรเขาก็ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งของเฉียนซาน เขาเพียงแค่หวังว่าบุคคลที่มีอิทธิพลทั้งสองนี้จะต่อสู้กันและไม่นำพาความเสียหายมาสู่ตนเอง
เซี่ยปิงไม่ได้ตอบกลับคำถามนั้นแต่กลับมองหัวหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจคนนี้ด้วยอย่างไม่ละสายตา “เฉียนซาน เจ้าบัดซบเฉียนซานอยู่ที่ไหนกัน ไม่ใช่เขาหรือที่เรียกเจ้ามาที่นี่เพื่อเผชิญกับความตายเช่นกัน?”
“ปากของเจ้านี่น่าทึ่งเหมือนเคย ความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่ยังแสดงความยโสโอหังออกมาได้เช่นนี้” เสียงหนึ่งได้ดังขึ้นมาจากระยะที่ห่างออกไป
กลุ่มของผู้คนก็มองไปที่ทางเข้าของโกดังทันที ทันใดนั้นก็เห็นว่ากลุ่มผู้คน20-30คนได้เดินเข้ามาซึ่งผู้นำของพวกเขานั้นก็คือเฉียนซานนั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้นผู้คุ้มกันของเฉียนซานเหล่านี้ก็ยังมีพลังอำนาจที่แข็งแกร่งอย่างมาก อย่างน้อยก็อยู่ในระดับกายาศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด อีกทั้งยังมีชายวัยกลางคน2-3คนที่มีแกนพลังฉีอยู่ในระดับหล่อหลอมสมบัติเช่นกัน
ความแตกต่างระหว่างระดับหล่อหลอมสมบัติและระดับกายาศักดิ์สิทธิ์นั้นถือว่ามหาศาล เมื่อใดที่พัฒนาไปอยู่ในระดับหล่อหลอมสมบัติ จะสามารถหล่อหลอมพลังเวทมนตร์กลายเป็นค่ายกลและผสมผสานเข้ากับร่างกายได้ เพิ่มอายุขัยขึ้นมาอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้นก็สามารถที่จะสัมผัสถึงพลังอำนาจของโลกได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ไหลเวียนพลังอำนาจของสวรรค์และโลก ซึ่งพลังการต่อสู้ก็จะเพิ่มขึ้นมาหลายเท่าหากเทียบกับระดับกายาศักดิ์สิทธิ์
ในระดับกายาศักดิ์สิทธิ์นั้นจะมีเพียงแค่การใช้พลังความสามารถศักดิ์สิทธิ์ได้ ทว่าระดับหล่อหลอมสมบัตินั้นสามารถที่จะใช้พลังอำนาจของสวรรค์และโลก ความแตกต่างนั้นไม่สามารถที่จะเทียบกันได้
เพราะว่าระดับหล่อหลอมสมบัตินั้นทำความเข้าใจพลังอำนาจของโลก ค่ายกลที่ผสมผสานเข้ากับพลังเวทมนตร์ เข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกับโลก ควบคุมพลังอำนาจของสวรรค์และโลกอย่างอิสระ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะหล่อหลอมสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์ออกมา
เทียบกับระดับกายาศักดิ์สิทธิ์นั้น ระดับหล่อหลอมสมบัตินั้นก็คือการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ
ในความเป็นจริงตระกูลเฉียนก็มียอดฝีมือที่แข็งแกร่งกว่านี้เช่นกัน ทว่าตอนนี้เฉียนซานเป็นเพียงแค่ผู้บ่มเพาะในระดับกายาศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลาง ต่อให้จะเป็นผู้สืบทอดโดยตรงของตระกูลเฉียน ทว่าก็ไม่ได้มีอำนาจในตระกูลที่จะสามารถรวบรวมยอดฝีมือในระดับที่สูงกว่านี้ได้
เพราะว่าถึงอย่างไร พลังการต่อสู้ในระดับนี้นั้น มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องที่สำคัญของตระกูลเฉียน จะไม่มีทางนำมาใช้ให้สูญเปล่าไปกับทายาทล้างผลาญที่เอาแต่ใจเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม การที่มีผู้บ่มเพาะในระดับหล่อหลอมสมบัติเป็นลูกน้องนั้น นี่ก็ทำให้เฉียนซานมีหน้ามีตาในสังคมเป็นอย่างมาก
เซี่ยปิงหรี่ตามอง มองเฉียนซานและคนอื่นๆที่กำลังเดินเข้ามาหาตนเอง เขายังคงไม่ได้แสดงสีหน้าที่หวาดกลัวแม้แต่น้อย
“เจ้านำผู้คนจำนวนมากมาทำอะไรที่นี่กัน ต้องการที่จะสังหารข้าอย่างนั้นหรือ?”
เซี่ยปิงขมวดคิ้ว สายตาเป็นประกาย “ต้องรู้ด้วยว่าข้านั้นมีกลุ่มอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่หนุนหลังอยู่ มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก เจ้าไม่เกรงกลัวว่าตระกูลเฉียนจะได้พบกับจุดจบเพราะการกระทำของเจ้าหรือ?”
“เกรงกลัวเด็กอย่างเจ้าหรือ?!”
เฉียนซานแสยะออกมาอย่างต่อเนื่อง “ก่อนหน้านี้การที่เจ้าได้ท้าทายข้าเฉียนซานในงานประมูลนั้น เจ้าคิดว่าตอนนี้การที่ตนเองมีบุคคลที่ยิ่งใหญ่หนุนหลังอยู่นั้นจะมีประโยชน์อะไรอย่างนั้นหรือ?! บนโลกนี้ ตระกูลเฉียนของข้าไม่เคยเกรงกลัวใครทั้งนั้น”
“หลังจากนี้อีกไม่นาน พ่อของข้าเฉียนต้าก็จะก้าวเข้าสู่ระดับเซนต์ ซึ่งนั่นก็จะทำให้ตระกูลเฉียนของข้ากลายเป็นตระกูลเซนต์เช่นกัน”
“ถึงแม้จะไม่รู้ว่าตระกูลของเจ้ามีภูมิหลังเป็นอย่างไร ทว่าตระกูลเฉียนของข้านั้นก็ไม่ได้เกรงกลัว ต่อให้จะเผชิญกับการล้างแค้น ทว่าพวกเขาจะสามารถกำจัดตระกูลเฉียนของข้าได้อย่างนั้นหรือ?!”
จิตสังหารของเขาเดือดดาลออกมา เห็นได้ชัดว่าการมีอำนาจเหนือกว่าได้เจาะเข้าไปในไขกระดูกของเขาแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้ค้นพบสถานะของเซี่ยปิง ทว่าเฉียนซานก็คุ้นชินกับการใช้อำนาจในการข่มเหงผู้อื่นจนเกินกว่าจะอดทนอดกลั้นได้
คิดว่าการที่มีพ่อของตนเองซึ่งเป็นยอดฝีมือในระดับลงทัณฑ์สายฟ้าหนุนหลังอยู่นั้น เขาก็สามารถที่จะเดินทางไปได้ทั่วทั้งจักรวาล ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ก็คือดาวกวางน้อย เป็นอาณาเขตของตระกูลเฉียน ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นที่นี่ที่พ่อของเขาจะไม่สามารถจัดการได้
ดังนั้น เขาจึงไม่สนใจว่าเซี่ยปิงจะมีภูมิหลังเป็นอย่างไร สรุปก็คือสังหารก่อนและค่อยพูดใหม่อีกครั้ง เรื่องที่เลยเถิดไปแล้วก็ต้องปล่อยให้ตามเลย ต่อให้ตระกูลของฝ่ายตรงข้ามจะโกรธแค้นอย่างมาก เมื่อถึงเวลานั้นเพียงแค่จ่ายเงินค่าชดเชยก็คงจะเพียงพอ ตระกูลของฝ่ายตรงข้ามจะกล้าเสี่ยงทำสงครามเต็มรูปแบบกับตระกูลเฉียนอย่างนั้นหรือ ต้องการที่จะต่อสู้จนตัวตายกับตระกูลเฉียนอย่างนั้นหรือ?!
ในเมื่อเขากล้าที่จะทำเรื่องเช่นนี้แล้ว เขาก็พร้อมที่จะไม่ไว้หน้าปราณีเซี่ยปิง
“เป็นอย่างนี้นี่เอง ดูเหมือนว่าเจ้าจะยึดมั่นในการรนหาที่ตายของตนเอง น่าเสียดายที่ตระกูลเฉียนจะต้องล่มสลายเพราะว่ามีทายาทที่โง่เขลาอย่างเจ้า”
เซี่ยปิงพูดออกมาอย่างไม่แยแส เป็นเหมือนกับการตัดสินโทษประหารของตระกูลเฉียนก็ว่าได้
“ผายลม!”
เฉียนซานแสยะออกมาอย่างต่อเนื่อง “ตอนนี้ใครกันที่อยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ? ที่นี่มีลูกน้องของข้ากว่าร้อยคน มีผู้บ่มเพาะในระดับหล่อหลอมสมบัติสามคน มีผู้บ่มเพาะในระดับกายาศักดิ์สิทธิ์นับสิบๆคน เพียงแค่แต่ละคนที่ถ่มน้ำลายออกมาก็เพียงพอที่จะทำให้เจ้าจมน้ำตาย”
“เฟิงซาน หักแขนขาเขาทั้งหมด จงจำไว้ว่าอย่าสังหารเขาเด็ดขาด ข้าจะต้องจับตัวเขามาและทรมานอย่างช้าๆ ให้เขาได้มีชีวิตอยู่อย่างตายทั้งเป็น”
เขาเผยสีหน้าที่โหดเหี้ยมออกมา ต้องการที่จะทรมานเซี่ยปิงอย่างช้าๆ
“มั่นใจได้นายน้อย ข้าจะจัดการเขาเอง”
ทันใดนั้นชายวัยกลางคนก็ได้กำดาบขนาดใหญ่ขึ้นมาและเดินตรงไปหาเซี่ยปิง เขานั้นก็คือผู้บ่มเพาะในระดับหล่อหลอมสมบัติขั้นเริ่มต้น เพิ่งแค่การเดิน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนจะกลายเป็นสิ่งที่เปราะบาง เหมือนกับว่าพลังอำนาจทั่วทั้งโลกกลายเป็นพลังงานของเขา
ดาบขนาดใหญ่สีดำนี้ก็ไม่ใช่ดาบธรรมดาๆเช่นกัน มันคือสิ่งประดิษฐ์วิญญาณขั้นต่ำดาบเลเซอร์แห่งความมืด แหลมคมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แม้แต่เหล็กไมก้าของเกราะยานอวกาศก็สามารถที่จะตัดได้อย่างง่ายดาย
ในช่วงเวลานี้ ชายวัยกลางคนชุดเทาคนนี้ได้กำดาบขนาดใหญ่สีดำนี้ขึ้นมาอย่างแน่น ในขณะเดียวกันก็ได้กระตุ้นออร่าความชั่วร้ายที่ไร้ที่สิ้นสุดออกมา เหมือนกับว่าเป็นดาบเดม่อนที่เบื้องหลังมีซากศพจำนวนมากที่กองกันเป็นภูเขาเลือดก็ว่าได้
ผู้คนที่อยู่รอบๆเหมือนกับเห็นภาพลวงตา ต่อให้ชายชุดเทาเฟิงซานจะยังไม่ได้เคลื่อนไหว ทว่าดาบพลังฉีสีดำนี้ก็เหมือนกับว่าจะตัดจิตวิญญาณของพวกเขากลายเป็นชิ้นๆ
“เสาจองจำมังกร!”
ทันใดนั้น เซี่ยปิงก็ได้เคลื่อนไหว มือของเขาได้โบกออกไป ทันใดนั้นเสาสีทองก็ลอยออกมา แยกออกไปห้าทิศทาง ปกคลุมพื้นที่ในระยะสิบกิโลเมตรอย่างกะทันหัน
หล่ง หล่ง หล่ง~
เสาหลักสีทองทั้งห้านี้ได้ตั้งตระหง่านอยู่ในตำแหน่งทั้งห้า เชื่อมโยงและก่อตัวกลายเป็นพลังงานปกคลุมขนาดใหญ่อย่างกะทันหัน ครอบคลุมเหมือนกับเปลือกไข่ก็ว่าได้ ปกคลุมทุกๆคนที่อยู่รอบๆทันที
อะไรกัน?!
ทันใดนั้นเฉียนซานและคนอื่นก็ตกใจขึ้นมา ไม่คาดคิดว่าจะเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น พวกเขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์ชิ้นนี้มีพลังอำนาจของสนามพลังฉีที่น่าสะพรึงกลัว
ตอนนี้การที่แสดงออกมานั้น มันเหมือนกับการถูกย้ายไปอยู่ในพื้นที่อิสระ ระดับแกนพลังฉีของผู้บ่มเพาะในระดับหล่อหลอมสมบัติก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ถูกยับยั้งจนอยู่ในระดับกายาศักดิ์สิทธิ์เพียงเท่านั้น
นี่เป็นสิ่งประดิษฐ์สมบัติขั้นสุดยอดเสาจองจำมังกรที่เซี่ยปิงครอบครองมาในช่วงเวลาที่อยู่ในโลกแห่งเมฆา เมื่อใดที่แสดงอำนาจออกมา จะกระตุ้นโดมสนามพลังฉีที่ควบคุมระดับความเท่าเทียม ยับยั้งแกนพลังฉีของศัตรูให้อยู่ในระดับเดียวกับตนเอง