“คุณร้องไห้ทำไม”
เมื่อเห็นไหล่ของหลินชิงเสว่สั่นเบาๆ และมีเสียงร้องไห้ออกมา ถังเฉาก็งงไปหมด
คนที่นอนไม่หลับ ไม่ได้มีแค่หลินชิงเสว่ ถังเฉาก็เช่นกัน ถังเฉาคิดว่าการที่จะนอนทั้งๆ ที่ไม่ได้พูดอะไรจะไม่ดีเท่าไร
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยขอโทษ คิดไม่ถึงว่าหลินชิงเสว่จะร้องไห้ออกมา
ในความทรงจำของเขา น้อยมากที่หลินชิงเสว่จะร้องไห้ เธอร้องไห้ตอนที่เขากลับมาจากการรบและก่อนที่พวกเขาจะแยกกันอยู่ ทำไมวันนี้เธอถึงร้องไห้ล่ะ
“คุณอย่าร้องไห้สิ”
ถังเฉาทำอะไรไม่ถูกและมีสีหน้าลำบากใจ
ให้เขาฆ่าศัตรูน่ะเขาทำได้ แต่จะให้มาปลอบผู้หญิงตอนร้องไห้ นี่เป็นเรื่องยากสำหรับเขา
ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะพูดคำว่าอย่าร้องไห้ออกมาได้
หลินชิงเสว่พลิกตัวมา เธอเช็ดน้ำตาจนหมด เธอปั้นหน้าตายแล้วพูดว่า “ใครร้อง นายพูดขอโทษทำไม นายทำเรื่องอะไรลับหลังฉันใช่ไหม”
ผู้หญิงล้วนเจ้าคิดเจ้าแค้น ถังเฉาหวาดกลัวเอาไว้ก่อน เพราะกลัวว่าซ่งหรูอี้จะทำอะไร ตอนนี้เขากลับมา หลินชิงเสว่ยังทำให้เขาตกใจอีก
เมื่อถังเฉาได้ยินสิ่งที่หลินชิงเสว่พูด สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที เขารีบอธิบายว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรนะ แค่ไปถามซ่งหรูอี้เท่านั้น”
“จริงเหรอ”
สีหน้าของหลินชิงเสว่ยังไร้ความรู้สึก
“จริงแน่นอน!”
ถังเฉากระวนกระวายจนแทบจะพาซ่งหรูอี้มาช่วยพูด
ขณะที่กำลังจะอธิบายต่อ ก็มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมา หลินชิงเสว่เอามือปิดปากเขาไว้
ถังเฉาเบิกตาโตและจับมือของหลินชิงเสว่เอาไว้ “ชิงเสว่ คุณ…”
หลินชิงเสว่มองถังเฉาด้วยแววตาอ่อนโยนแล้วพูดว่า “ขอโทษ”
ถังเฉาอึ้งไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าหลินชิงเสว่หายโกรธแล้ว เขาจึงโล่งอก “ผมคิดว่าคุณจะเข้าใจผมผิดจริงๆ เสียอีก”
หลินชิงเสว่หัวเราะออกมาเบาๆ “ตาทึ่ม แค่แกล้งให้นายตกใจ นายจะหักหลังฉันได้ยังไง”
ถึงแม้ว่าในห้องจะมืดสลัวเพราะไม่ได้เปิดไฟ แต่ทว่าถังเฉาก็ยังเห็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ เขามองหลินชิงเสว่ด้วยแววตาหยาดเยิ้ม
“ชิงเสว่ คุณยิ้มแล้วสวยจริงๆ”
เขาพูดอย่างเหม่อลอย
เมื่อหลินชิงเสว่ได้ยินก็อึ้งไปเหมือนกัน จากนั้นเธอจึงยิ้มกว้างขึ้น “นายเพิ่งรู้หรือไง”
เมื่อได้ยิน ถังเฉาก็ยิ้มอย่างเขินอาย “คุณสวยตลอด แต่พอยิ้มก็ยิ่งสวยเข้าไปใหญ่”
หลินชิงเสว่เงียบอยู่ครู่หนึ่ง เธอลุกขึ้นมานั่งบนเตียงและมองดวงจันทร์บนท้องฟ้า
“เป็นอะไรไป” ถังเฉาก็ลุกขึ้นนั่งเช่นกัน
“ไม่มีอะไรหรอก แค่เวลามันผ่านไปเร็วจริงๆ อีกไม่นานก็จะเป็นวันไหว้พระจันทร์แล้ว”
หลินชิงเสว่มองดวงจันทร์บนท้องฟ้าแล้วเอ่ยขึ้น
“ใช่ ใกล้จะถึงวันไหว้พระจันทร์แล้ว”
ไม่รู้ทำไมถังเฉาจึงรู้สึกหดหู่เช่นกัน
เทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นวันที่ครอบครัวทานขนมไหว้พระจันทร์ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา อย่างน้อยหลินชิงเสว่ยังมีครอบครัว แต่ตัวเขาแทบไม่รู้ว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของตัวเองคือใคร
แต่ทว่าถังเฉาเข้าใจความหมายของหลินชิงเสว่ผิดไป
หลินชิงเสว่ไม่ได้คิดถึงครอบครัวที่ทำให้เธอเกิดแผลในใจตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ที่เธอมีครอบครัว มีสามีและลูกสาว ความเคียดแค้นที่เธอมีต่อตระกูลก็ไม่ได้ฝังลึกถึงขนาดนั้นแล้ว
สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้น หลังจากที่อยู่กับถังเฉา รอยยิ้มของเธอก็มากขึ้นด้วย
การที่ได้พบกับถังเฉา เรียกได้ว่าเป็นความฝันที่ซับซ้อน
จากความโกรธเริ่มแรก ความสิ้นหวัง และความตื่นตระหนกจนถึงการกำเนิดของชีวิตน้อยๆ มันกลายเป็นปัจจัยในการใช้ชีวิตใหม่ของเธอ และในที่สุดก็ถึงการกลับมาของถังเฉา การก่อตัวของครอบครัวที่สมบูรณ์ เป็นสิ่งที่หลินชิงเสว่แทบจะคิดไม่ถึง
เธอมองหน้าถังเฉาด้วยแววตาอ่อนโยน “ไหว้พระจันทร์ปีนี้ ครอบครัวของเราจะต้องมีความสุขแน่นอน”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
แววตาของถังเฉาแน่วแน่และให้คำมั่นสัญญาออกมา
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ถึงวันที่สิบสามเดือนแปด
อีกสองวันก็จะถึงวันไหว้พระจันทร์
ในช่วงนี้ตระกูลเหยียนยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ สิ่งที่ทำให้ถังเฉาแปลกใจก็คือเขาให้เฟิ่งหวงสืบเรื่องที่พักของตระกูลเหยียน แต่กลับไม่ได้อะไรกลับมาเลย ทั้งเมืองหมิงจู ไม่มีที่พักของตระกูลเหยียนเลย
ในเมื่อหาไม่เจอ แล้วตระกูลเหยียนใช้วิธีอะไรในการมีชีวิตอยู่
เขาถามเรื่องนี้กับต่งวี่ซู่
คำตอบของต่งวี่ซู่ทำให้ถังเฉาสนใจเป็นอย่างมาก
“ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ในเมืองหมิงจู ตระกูลเหยียนเป็นหนึ่งในตระกูลที่ลึกลับที่สุด โดยปกติจะไม่ปรากฏตัวออกมาต่อหน้าสาธารณชน และไม่เข้าร่วมการแข่งขันใดๆ อีกด้วย เหมือนพวกที่ไม่สนใจอะไรที่อาศัยอยู่ในเมือง”
เมืองที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ลุ่มหลงในความฟุ้งเฟ้อ ทุกที่ผูกขาดด้วยผลกำไร แต่ตระกูลเหยียนกลับไม่มีการแข่งขันใดๆ นี่จึงทำให้ถังเฉาเกิดความสงสัยขึ้นมา
แต่เขาก็ไม่ได้ติดตามอะไรมากมาย ถึงตระกูลเหยียนจะนับว่าเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลที่แข็งแกร่ง แต่สำหรับเขามันก็เท่านั้น
อีกอย่าง ในสถานการณ์ที่ตระกูลเหยียนไม่เคลื่อนไหว ถือว่าเขาใหญ่ที่สุดในเมืองหมิงจู
จู่ๆ เสียงมือถือก็ดังขึ้น เป็นเบอร์ของเจียงไป๋เสว่
“คนที่นายต้องการให้ฝึก เสร็จเรียบร้อยแล้ว จะมาดูหน่อยไหม”
น้ำเสียงของเธอเย็นชา มีเสียงร้องโอดครวญดังขึ้นมาเป็นระยะ ดูเหมือนว่าช่วงนี้เจียงไป๋เสว่จะจัดการคนไม่น้อยเลยทีเดียว
ถังเฉาได้ยินก็หัวเราะออกมา “ก็ได้”
เจียงไป๋เสว่บอกสถานที่ ถังเฉากับเฟิ่งหวงรีบไปทันที
ที่นี่เป็นสถานที่ฝึกแห่งหนึ่ง เป็นที่ที่เจียงไป๋เสว่ตั้งใจยืมมาจากหัวหน้ากองทัพโดยเฉพาะ
เมื่อถังเฉากับเฟิ่งหวงมาถึงก็เห็นกลุ่มคนในชุดทหารนอนแผ่หลาอยู่ในโรงฝึกขนาดใหญ่ ล้วนเป็นคนของสมาคมการต่อสู้
ในอนาคตพวกเขาจะเป็นกำลังสำคัญในการปกป้องเมืองหมิงจู
เจียงไป๋เสว่เป่าปากแล้วตะโกนออกมาว่า “ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”
จู่ๆ กลุ่มคนที่นอนเหนื่อยจนลุกไม่ขึ้นก็รีบลุกขึ้นมาทันที พวกเขายืนเรียงแถวเป็นระเบียบต่อหน้าเขาภายในสามวินาที
เจียงไป๋เสว่กวาดตามองคนเหล่านั้นด้วยสายตาดุดัน จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “โชว์ฝีมือหน่อย”
เย่เทียนหลงที่เป็นหัวหน้าเริ่มเป็นคนแรก เข้าก้าวขึ้นมาแล้วตั้งท่าเตรียมต่อสู้
คนที่อยู่ข้างหลังก็เริ่มลงมือทันที การเคลื่อนไหวสม่ำเสมอ อีกทั้งยังแฝงไปด้วยแรงอาฆาตที่รุนแรง
เจียงไป๋เสว่พยักหน้าเบาๆ “เป็นไง ทักษะการต่อสู้ของพวกเขาอยู่ในแบบแผนแล้ว มันยากที่ฝึกฝนต่อไป ดังนั้นฉันจึงให้ทักษะการต่อสู้ในกองทัพแก่พวกเขา”
“ไม่เลว”
ถังเฉาพยักหน้าอย่างพอใจ
จุดเด่นและจุดด้อยของคนในสมาคมการต่อสู้เห็นได้อย่างชัดเจน จุดเด่นก็คือพวกเขามีทักษะการต่อสู้พื้นฐาน แต่จุดด้อยก็คือพวกเขาฆ่าคนไม่เป็น
ถ้าเจอกับพวกนักฆ่า พวกนักฆ่าอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา แต่สุดท้ายคนที่ตายจะเป็นพวกเขาอย่างแน่นอน เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าจะจู่โจมเข้าไปตรงจุดอ่อนในร่างกายของคนอย่างไร
เจียงไป๋เสว่เสริมตรงจุดนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เมื่อเห็นว่าถังเฉาพยักหน้า ทุกคนจึงพากันโล่งใจ เย่เทียนหลงเดินเข้ามาหาถังเฉา เหมือนหนูเจอแมวอย่างไรอย่างนั้น เขาลอบมองเจียงไป๋เสว่
“คุณถังเฉา พี่สะใภ้เก่งมาก สองสามวันมานี้ พวกเราฝึกจนแทบตาย เราโดนมาหนักมาก”
น้ำเสียงของเย่เทียนหลงจริงจัง เจียงไป๋เสว่สวยขนาดนี้ เขาจึงคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงของถังเฉา
ถังเฉาหน้าเคร่งขรึม “พี่สะใภ้ของฉันต่างหาก!”