บทที่116 ให้เกียรติได้ไหม
เมื่อฟางหย่าเอ่ยประโยคเช่นนี้ออกมาเอง ถังเฉาถึงกับตกตะลึงทันที
ไม่เพียงถังเฉาเท่านั้นที่มึนงง ทุกคนที่อยู่ในงานต่างก็ตกตะลึง
รองประธานฟางที่มีท่าทีอ่อนโยนมาตลอด พูดประโยคเช่นนี้ออกมาได้ด้วยเหรอ?
หลินฉ่ายเวยมองตาค้าง หน้าอึ้งพูดไม่ออก มองดูถังเฉากับฟางหย่าทักทายกันไปมา
พวกเขา……รู้จักกันเหรอ?
ดวงตาทั้งคู่ของฟางหย่ามองด้วยสายตาคาดหวัง จ้องมองถังเฉาตาไม่กระพริบ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะพยักหน้ารับคำ
จากนั้น สายตาประหลาดใจของถังเฉาเลือนหายไป ลุกขึ้นจากเก้าอี้พูดว่า “คุณฟาง ให้เกียรติกันหน่อย”
“อ่า —-ขอโทษด้วย ฉันตื่นเต้นเกินไปแล้ว”
ฟางหย่าเพิ่งจะรู้สึกได้ว่าการกระทำของตนเองนั้นตื่นเต้นมากเกินไป รีบคลายมือถังเฉา ถอยกลับไปหนึ่งก้าว ใบหน้าแดงก่ำ
ประธานแต่ละท่านที่อยู่ในงานมองดูถังเฉา ลุกขึ้นยืนจากที่นั่งเจ้าของอาคาร ถอนหายใจโล่งอก
แต่ว่า พวกเขาไม่มีวิธีที่จะขับไล่ถังเฉา เป็นใครก็มองออกว่า ท่าทีที่รองประธานฟางมีต่อเจ้าเด็กคนนั้นไม่ธรรมดา
ถังเฉามองฟางหย่า พูดช้า ๆว่า “คุณฟาง พวกเราแค่พบกันเพียงแค่สองครั้ง ทำไมคุณถึงถามผมแบบนี้ล่ะ?”
แต่ฟางหย่ากลับพูดเข้าประเด็น สอบถามไปว่า “ครั้งที่แล้วที่ไหนเมื่อไหร่?”
“บริษัทการบันเทิงฮุยหวง”
ถังเฉาตอบเสียงเรียบเฉย “ครั้งนั้น ผมกับคุณแค่เดินเฉียดไหล่ผ่านไปเท่านั้น”
ฟางหย่าเหม่อมองดูถังเฉา ในดวงตาแอบผิดหวังเล็กน้อย ยิ้มแย้มพูดขึ้นว่า “ที่แท้ คุณจำฉันได้”
“แน่นอน ผมเป็นคนที่มีความจำดี”
ถังเฉายิ้มเล็กน้อย “อีกทั้ง หญิงสาวที่งดงามอย่างคุณ มองเพียงครั้งเดียวก็จำติดตราตรึงใจแล้วล่ะ”
แม้จะเป็นคำชมเชย แต่ว่าฟางหย่ากลับไม่ดีใจเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอเข้าใจได้ทันทีว่าในคำพูดของถังเฉานั้นมีความห่างเหินบางอย่างอยู่ในที
“ขอโทษด้วย ฉันจำคนผิด”
แสดงความขอโทษต่อถังเฉาแล้ว ฟางหย่าสิ้นหวังตัดสินใจหลบออกไปจากสถานการณ์ “ฉันขอไปห้องน้ำประเดี๋ยว”
หลังฟางหย่าเดินจากไป บรรยากาศในงานขณะนี้แปลกประหลาดบอกไม่ถูก ทุกคนใช้สายตาที่แปลกประหลาดมองมาที่ถังเฉา
เห็นท่าทีฟางหย่าที่แสดงต่อถังเฉา รวมถึงการสนทนาของคนทั้งสอง ยืนยันได้ทันทีถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง
หลินฉ่ายเวยคืนสติรวดเร็วกว่าคนอื่น สีหน้าเธอดูแปรปรวนผิดปกติ มองไปที่ถังเฉาพูดว่า “นับว่าคุณยังโชคดี แต่ว่า รอให้ประธานซ่งกับเจ้าของอาคารมาก่อนเถอะ แกต้องซวยแน่ ๆ!”
คิ้วถังเฉากระตุก กำลังจะเอ่ยปากพูด ประตูเปิดอีกครั้ง
แต่ว่าคนที่เข้ามาไม่ใช่ฟางหย่า กลับเป็นซ่งเทียนซานกับเหวินเหวยเฉิน
ทั้งสองคนสวมสูทรองเท้าหนัง รูปร่างสูงโปร่ง ประธานที่เป็นแขกเหรื่อในงานตกใจ รีบลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีลุกลน
“พี่เหวยเฉิน ในที่สุดคุณก็เข้ามาแล้ว—-”
หลินฉ่ายเวยรีบเดินเข้าไปข้างกายเหวินเหวยเฉิน ควงแขนเขาในทันที
หลังเดินเข้ามาในคลับเฮาส์ปินเจียงฮุ่ยก่อนหน้านี้ เหวินเหวยเฉินให้เธอเดินเข้าไปในงานก่อน เขามีเรื่องจะต้องไปจัดการ คุยธุระกับซ่งเทียนซาน ดังนั้นหลินฉ่ายเวยจึงรออยู่คนเดียว
เวลาก็ผ่านไปไม่นานนัก เธอคิดถึงแทบทนไม่ไหวแล้ว
“ขอขอบคุณท่านประธานทุกท่านที่สละเวลามาร่วมงานเลี้ยงสังสรรของกระผมแซ่ซ่งในวันนี้ กระผมรู้ซึกซาบซึ้งยิ่งนัก”
ซ่งเทียนซานมองไปที่ผู้ร่วมงานทุกคนด้วยใบหน้าอิ่มเอิบ จากนั้นหันไปที่เหวินเหวยเฉินพูดว่า “คนที่ยืนอยู่นี่ ต้องขอแนะนำแขกคนสำคัญให้ทุกท่านได้รู้จัก—-เจ้าของอาคารอาคารกั๋วจี้ เหวินเหวยเฉิน คุณเหวิน”
เสียงปรบมือ—-
ประธานที่ร่วมงานทุกคนตบมือกันยกใหญ่ อีกทั้งมองเหวินเหวยเฉินด้วยสายตาจริงจัง
เป็นถึงเจ้าของอาคารกั๋วจี้ เป็นผู้รับผิดชอบโครงการของสำนักงานการก่อสร้างมากมาย ยังหนุ่มยังแน่นจริง ๆ!
ทุกคนในงานส่งสายตาเคารพนอบน้อมต่อเหวินเหวยเฉิน
เหวินเหวยเฉินอยากที่จะบอกกับซ่งเทียนซานอย่างมากว่า ลืมเพิ่มคำว่า เคยเป็น อีกสองคำลงไป แต่มาคิดดูอีกที ในเมื่อซ่งเทียนซานช่วยเขาปกปิด นั้นเขาก็รับไว้เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ หัวเราะฮาฮาพูดว่า “ก่อนหน้านี้งานยุ่งมาก ไม่มีเวลามาอาคารกั๋วจี้เลย ในเมื่อพี่เทียนซานเป็นเจ้าภาพในงานเลี้ยงคืนนี้ ผมผู้แซ่เหวิน จึงขอเป็นตัวแทนเจ้าภาพของงาน ให้ทุกท่านมีความสุขและสนุกกับงานเลี้ยงในวันนี้”
“แน่นอน แน่นอน”
“ขอบคุณประธานซ่ง ประธานเหวิน”
ประธานคนอื่นที่มาร่วมงานต่างส่งเสียงขอบคุณกันเซ็งแซ่
ซ่งเทียนซานสบตาเหวินเหวยเฉิน ทั้งสองต่างคำนับกัน ทันใดนั้นหางตาเหลือบไปมองเห็นถังเฉาใช้ใบหน้าล้อเลียนมองมาที่พวกเขา สีหน้าเปลี่ยนทันที
“ถังเฉา คุณอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ใครอนุญาตให้เข้ามา!”
ซ่งเทียนซานทั้งประหลาดใจทั้งโมโห เหมือนกับนกที่หวาดกลัวคันธนู ถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าว
“ท่าทีเหวินเหวยเฉินเหมือนกับหลินฉ่ายเวยที่เห็นถังเฉาครั้งแรกเช่นกัน เห็นกับตาว่าเขาถูกผู้จัดการล็อบบี้ไม่อนุญาตให้เข้ามา ไม่รู้พูดวิธีไหนถึงเข้ามาได้?”
ถังเฉารู้สึกขบขัน “คุณเป็นคนเชิญผมมาไม่ใช่เหรอ?”
“ผมจะเชิญคุณมาได้อย่างไร?”
ซ่งเทียนซานสีหน้านิ่งขรึม “คนที่ผมเชิญคือประธานบริษัทต่าง ๆในอาคารกั๋วจี้ และเจ้าของอาคาร คนทั้งสองประเภทนี้คุณอยู่ประเภทไหนล่ะ?”
หลินฉ่ายเวยมองดูถังเฉาด้วยความสะใจ เจ้าของงานเลี้ยงคืนนี้ขับไล่เขาไปเอง คุณยังหน้าด้านอยู่ในงานเลี้ยงนี้ได้อีกเหรอ?
“เขาเป็นลูกค้าคนสำคัญของบริษัทลี่จิงกรุ๊ปของพวกเรา มาเพิ่มอีกคนหนึ่ง ประธานซ่งคงไม่รังเกียจนะคะ?”
เสียงพูดเพิ่งคล้อยหายไป ฟางหย่ารีบรุดผลักประตู สายตาที่เรียบเฉยมองมาที่ซ่งเทียนซาน
“ประธานฟาง?!”
มองเห็นคนที่เดินมา ใบหน้าซ่งเทียนซานเปลี่ยนไปจนน่าเกลียด ทุกคนรู้ดีว่าภายในบริษัทลี่จิงกรุ๊ปฟางหย่าเป็นคนที่หลินชิงเสว่ไว้ใจมากที่สุด คำพูดของเธอ เปรียบเหมือนคำพูดของหลินชิงเสว่
เหวินเหวยเฉินมองเห็นฟางหย่าสายตาเปล่งประกาย จากนนั้นเกิดรู้สึกรังเกียจขึ้นเล็กน้อยเหลือบมองไปที่
หลินฉ่ายเวย หากเทียบกับฟางหย่าแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ท่าทาง บุคลิก และรูปร่างหน้าตา หลินฉ่ายเวยห่างชั้นอยู่มากโข
ถ้าเป็นเพราะถังเฉา ไปทำอะไรผิดพลาดกับผู้หญิงสวยเช่นนี้ คงจะไม่คุ้มค่าเท่าไหร่นัก
จากนั้นเขามองไปที่ซ่งเทียนซาน
ซ่งเทียนซานเข้าใจเจตนาในทันที จึงไม่สืบสาวราวเรื่องอีก
“งั้นก็ได้ เพิ่มขึ้นอีกคนเท่านั้น คงจะไม่กินจุจนทำให้ผมล่มจมหรอก?”
หลินฉ่ายเวยมองตาค้าง มองดูเหวินเหวยเฉินด้วยท่าทีไม่พอใจ “ทำไมถึงไม่ไล่เขาออกไป? ปล่อยให้อยู่ที่นี่มันขวางหูขวางตา”
“เธอเงียบปาก!” เหวินเหวยเฉินเอ็ดไปหนึ่งคำ
ไม่รู้เพราะอะไร หลังจากที่มองเห็นฟางหย่า เขารู้สึกว่าหลินฉ่ายเวยที่อยู่ข้างกายไม่มีเสน่ห์เอาเสียเลย
หลินฉ่ายเวยได้ยินถึงกับตกตะลึง ไม่เข้าใจเลยว่าเมื่อครู่เหวินเหวยเฉินยังแสดงท่าทีดีอยู่เลย ผ่านไปประเดี๋ยวเดียวกลับแสดงท่าทีรังเกียจเธอ เธอจึงไม่กล้าที่จะปริปากอีก
สายตานางจิ้งจอกสาวของซุนเสว่มองดูฟางหย่ากับถังเฉาสลับไปมา ทันใดนั้นก็เข้าใจได้ทันที ยิ้มอย่างมีเลศนัยพูดขึ้นว่า “ฉันว่านะ ประธานฟางของพวกเรา เป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่เก่งที่สุดในบริษัทแล้วล่ะ ประเดี๋ยวเดียวก็มีผู้ชายเข้ามาพะเน้าพะนอใต้ชายกระโปรงอีกแล้ว”
ถังเฉาได้ยินคำพูด ดวงตาสังหารพลันกระพริบขึ้นทันที
ประโยคนี้ไม่เพียงแต่ด่าทอฟางหย่า ยังพัวพันถึงตัวเขาอีกด้วยซ้ำ
ถ้าหากเขายังเป็นโสด เขาจะไม่สนใจคำพูดจำพวกนี้ แต่ว่าตอนนี้เขาแต่งงานมีครอบครัวแล้ว……
“คุณเป็นรองประธานบริษัทลี่จิงกรุ๊ปใช่ไหม?” เขาถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
ซุนเสว่ไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของถังเฉา ตอบกลับด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง “ใช้แล้ว ฉันเป็นรองประธาน
บริษัทลี่จิงกรุ๊ป มีหัวหน้าเพียงคนเดียว อยู่เหนือลูกน้องมากมาย!”
“เหรอ?”
สีหน้าถังเฉายังไม่เปลี่ยน ยังคงพูดเบา ๆ อีกว่า” เธอเคยคิดบ้างไหมว่าสักวันหนึ่ง จะถูกลดตำแหน่งจากรองประธานไปเป็นพนักงานระดับล่าง?”
ฟางหย่าได้ยินคำพูดนี้สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ซุนเสว่ไม่ล่วงรู้ถึงอำนาจของถังเฉา แต่เธอพอระแคะระคายอยู่บ้าง
ครั้งที่แล้วไปบริษัทการบันเทิงฮุยหวงเพื่อทวงหนี้ ถึงแม้ผลงานจะตกอยู่กับฟางหย่า แต่มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ดีว่า เธอเพียงแค่ทำเล็กน้อย ก่อนหน้าที่เธอจะไปถึง ได้มีคนเก็บหนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
คนนั้น ก็คือถังเฉา
“คุณคิดเหรอ มีฟางหย่าให้ท้าย กล้าพูดจาวางอำนาจบาตรใหญ่อย่างนี้?”
ซุนเสว่มองถังเฉาด้วยสายตาเหยียดหยาม พูดว่า “เขากับฉันก็เป็นรองประธานเหมือนกัน ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร คิดจะใช้ฟางหย่ามากดดันฉัน ไว้รอชาติหน้าเถอะ!”
“พวกเราไป”
ฟางหย่าแย้มยิ้มขอโทษถังเฉา เดินไปที่มุมหนึ่งของงานเลี้ยง
ถังเฉามองดูซุนเสว่ด้วยสายตามีเลศนัย ดูไปแล้ว บริษัทลี่จิงกรุ๊ปไม่ใช่สถานที่เลี้ยงดูพวกทำงานไปวัน ๆ สมควรที่จะจัดระเบียบสักครั้งเสียแล้ว
เมื่อครุ่นคิดมาถึงตรงนี้ ภายใต้ดวงตาถังเฉาที่ดูลึกลับ ส่องประกายขึ้น
ในเวลาต่อมา ชายหนุ่มที่รูปร่างเหมือนบริกรคนหนึ่งเดินเข้ามาหาซ่งเทียนซาน พูดด้วยท่าทีนอบน้อมว่า “เถ้าแก่ใหญ่ครับ งานเต้นรำได้จัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว สามารถออกเต้นรำได้แล้วครับ”
“ดีมาก!”
ซ่งเทียนซานหัวเราะคำโต “งานเลี้ยงมีสุรา จะขาดกิจกรรมความบันเทิงได้อย่างไร? เชิญประธานทุกท่าน ออกมาเต้นรำที่ฟลอร์เต้นรำได้ครับ”
พูดจบ ก็พาทุกคนในงาน มาที่ฟลอร์เต้นรำ
บนฟลอร์เต้นรำใช้โทนสีโรสโกลด์เป็นหลัก ประดับประดาด้วยดอกไม้สด ฉากกั้นด้วยผ้าชีฟอง มุมด้านหนึ่งมีนักดนตรีขับขานเสียงเพลง
ซ่งเทียนซานไหวพริบว่องไว เดินมาหาซุนเสว่ โค้ง75องศา “คุณซุน เชิญออกมาเต้นกับผมสักเพลงได้ไหมครับ?”
“ได้ค่ะ”
ซุนเสว่ตอบรับด้วยความดีใจ จากนั้นมองฟางหย่าด้วยสายตากระหยิ่มยิ้มย่อง
เต้นไปตามจังหวะเสียงเพลง ซุนเสว่กับซ่งเทียนซานเคียงคู่กันเต้นบอลรูมแดนซ์ จังหวะท่วงท่าสง่างาม
หลินฉ่ายเวยเฝ้ามองพวกเขาด้วยความอิจฉา จากนั้นคิดอะไรขึ้นได้ จึงเฝ้ารออย่างมีความหวังเพื่อให้เหวินเหวยเฉินเชิญเธอออกไปเต้นรำ
แต่ว่า เธอเฝ้าคอยแล้วคอยอีก เหวินเหวยเฉินไม่มีทีท่าจะเชิญเธอออกไปเต้นรำ
หันหน้าไปมอง กลับพบว่าเหวินเหวยเฉินได้คลายมือออกจากเธอไปนานแล้ว สองตาของเขา มองดูฟางหย่าด้วยแรงปรารถนา
หลินฉ่ายเวยสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ จึงจับมือเหวินเหวยเฉินพูดขึ้นก่อนว่า “พี่เหวยเฉิน ฉันกับคุณออกไปเต้นรำด้วยกันไหม?……”
“ออกไปให้พ้น”
เหวินเหวยเฉินสลัดมือหลินฉ่ายเวย พูดเสียงเย็นชาว่า “ผมไม่อยากเต้นรำกับคุณ”
“พี่เหวยเฉิน คุณพูดอะไรออกมาเนี่ย?”
หลินฉ่ายเวยอึ้งไปชั่วขณะ รับไม่ได้กับเหตุการณ์ทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้า
ขณะที่หลินฉ่ายเวยยังตกตะลึงจนตาค้าง เหวินเหวยเฉินได้รีบสับเท้าเดินไปหาฟางหย่า ยื่นมือออกไปด้วยท่าทางสุภาพ ยิ้มเล็กน้อย “คุณฟาง ครั้งแรกที่ผมได้เห็นคุณ ใบหน้าและบุคลิกของคุณตรึงตาตรึงใจผมยิ่งนัก หากไม่รังเกียจ สามารถเต้นรำกับผมสักเพลงได้หรือไม่?”
คำพูดเช่นนี้เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง เขามาจากตระกูลเหวินแห่งเจ้อเจียง เป็นตระกูลเศรษฐี ผู้หญิงที่อยากจะเต้นรำกับเขานั้น มากมายก่ายกองจนเข้าแถวรอกันตั้งแต่ทิศใต้จรดทิศเหนือกันเลยทีเดียว ฟางหย่าคนนี้ จะต้องเป็นตัวเลือกในกระเป๋าของเขาคนหนึ่งแน่นอน……
“ขอโทษค่ะ ฉันรังเกียจ”
แต่ว่า น้ำเสียงที่เรียบเฉย กลับทำลายความฝันของเขาโดยสิ้นเชิง
ฟางหย่ามองดูเขาเล็กน้อย สายตาที่มองดูเช่นนี้ เปรียบเสมือนมองดูเศษขยะ เย็นชาสุดจะเปรียบ
โครม—-
เหวินเหวยเฉินตกตะลึงจนตาค้าง จ้องมองฟางหย่าด้วยสีหน้าพิศวง
มองเห็นแต่เพียงเธอเดินไปด้วยท่าทีสง่างาม ชุดราตรีสีขาวลากไปกับพื้น เดินเข้าไปหาถังเฉาที่นั่งอย่างสงบอยู่อีกมุมหนึ่ง เธอค่อย ๆยื่นมือออกไป แย้มยิ้มอ่อนโยนพูดว่า “คุณถังให้เกียรติเต้นรำกับฉันสักเพลงได้ไหม?”