ระหว่างทางบนถนนเบิร์คลุนไปยังวิหารนักบุญแซมมวล ไคลน์ผ่าน ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’ ที่อาคารหมายเลขยี่สิบสอง ถนนเฟลป์ และต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าประตูหน้ายังคงเปิดต้อนรับผู้คน
ในฐานะผู้ก่อตั้งและสมาชิกปัจจุบัน ชายหนุ่มค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ จึงสั่งให้รถม้าจอดและเดินเข้าไป
ทันทีที่ผ่านกรอบประตู ไคลน์เห็นมิสออเดรย์เดินลงจากชั้นสองพร้อมกับสาวใช้คนสนิท สุนัขโกลเดนรีทรีเวอร์ และพนักงานอีกสองสามคน
“ทิวาสวัสดิ์ครับ… ในสถานการณ์แบบนี้ เห็นทีพวกเราคงต้องทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง” ไคลน์กล่าวขณะเดินเข้าไปใกล้
ออเดรย์ในท่าถือหนังสือพิมพ์ จ้องหน้าดอนดันเตสและตอบ
“ผู้รับทุนหลายคนของเราได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีทางอากาศ ดิฉันเพิ่งไปเยี่ยมพวกเขาและคอยสนับสนุนค่ารักษา”
เบ้าตาของสตรีผู้สูงศักดิ์เริ่มแดงระเรื่อ ราวกับเธอได้เห็นสิ่งที่น่าหดหู่ชุดชนิดภายในโรงพยาบาล
“ขอให้เทพธิดาคุ้มครอง” ไคลน์ที่เข้าใจหัวอก วาดพระจันทร์แดงกึ่งกลางหน้าอก
มันถือโอกาสพูดในสิ่งที่เตรียมไว้
“ผมวางแผนจะบริจาคเงินให้กองทุนเพิ่มเติม ไว้สำหรับซื้ออาหาร ยา และเวชภัณฑ์ เพื่อให้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้มากขึ้นท่ามกลางภัยพิบัติที่เกิดจากมนุษย์ด้วยกันเอง”
“เป็นความคิดที่ดีค่ะ ผู้ที่เผชิญความทุกข์ต้องซาบซึ้งแน่ มิสเตอร์ดันเตส” ออเดรย์เคาะหน้าอกตามเข็มนาฬิกาด้วยสีหน้ายินดีเจือโศกเศร้า “ดิฉันเองก็จะทำให้ดีที่สุดเช่นกัน”
เธอไม่อยากทำแค่บริจาคเงิน แต่ยังต้องการผลักดันในบางสิ่ง
ไคลน์พยักหน้า
“คุณไม่จำเป็นต้องยกย่องผม… ในเวลาแบบนี้ สิ่งที่ผมทำคือสิ่งที่ควรทำ… นอกจากบริจาคเงิน ผมจะช่วยบริจาคอาหารด้วย สำหรับประเด็นดังกล่าว คุณต้องไปคุยกับวอลเตอร์ พ่อบ้านของผมโดยตรง… จริงสิ มิสออเดรย์ ผมจะเขียนหนังสือมอบอำนาจให้คุณ หลังจากนี้คุณสามารถดำเนินการสิ่งต่างๆ ภายในคฤหาสน์เพลงกุหลาบได้โดยไม่ติดขัด”
“แล้วคุณล่ะคะ? มิสเตอร์ดันเตส” ออเดรย์ถามแม้ภายในใจพอจะเดาออก
สำหรับบทสนทนาปัจจุบัน หากต้องการทำให้เป็นธรรมชาติ คำถามนี้คือสิ่งที่ขาดไม่ได้
“ทางโบสถ์มีงานบางอย่างให้ผมทำ ส่วนจะเป็นงานใดนั้น ผมยังไม่ได้แวะเข้าไปที่วิหารนักบุญแซมมวล จึงยังไม่ทราบรายละเอียด แต่สิ่งที่แน่ชัดก็คือ ผมต้องออกเดินทางไกลและคงกลับมาที่คฤหาสน์เพลงกุหลาบไม่ได้เป็นเวลานาน” ไคลน์เล่าเหตุผลที่เตรียมไว้ “มิสออเดรย์ ตลอดช่วงเวลาที่ผมอยู่กับกองทุนการศึกษาแห่งนี้ ผมเห็นถึงความสามารถและจิตใจที่งดงามของคุณ และไม่ว่าจะเป็นภูมิหลังหรือสถานะทางสังคม ทุกสิ่งล้วนหล่อหลอมให้คุณมีวิสัยทัศน์และระบบความคิดที่ยอดเยี่ยม ดังนั้น การฝากฝังให้คุณช่วยดูแลคฤหาสน์คือทางออกที่ดีที่สุด”
ไคลน์ไม่คิดว่าข้ออ้างของตนจะเอาชนะสายตาของ ‘ผู้ชม’ มากประสบการณ์ได้ สิ่งที่มันต้องการมีเพียง ทำให้ผู้คนรอบข้างมิสจัสติส ‘เชื่อ’ ในข้ออ้างที่ตนกุขึ้น แน่นอน มันไม่นับรวมสุนัขของเธอ
มิสเตอร์เวิร์ลคิดจะสละตัวตนดอน·ดันเตสชั่วคราวเพื่อกระทำบางสิ่ง? ออเดรย์แสร้งครุ่นคิด หลังจากไตร่ตรองสองสามวินาที เธอกล่าว
“ในสถานการณ์เช่นนี้ ดิฉันคงมิอาจปฏิเสธคำขอร้อง”
ไคลน์แอบถอนหายใจและหันไปบอกให้บุรุษรับใช้เอ็นยูน เดินขึ้นไปยังชั้นบนเพื่อหยิบกระดาษและปากกาลงมา จากนั้น ท่ามกลางการเป็นสักขีพยานของพนักงานกองทุน ชายหนุ่มร่างหนังสือมอบอำนาจ ลงนามและประทับตราพร้อมกับรอยนิ้วมือ
จัดการทั้งหมดเสร็จ ไคลน์หันเหความสนใจไปยังหนังสือพิมพ์ในมือออเดรย์
“มีข่าวใหม่บ้างไหม? ผมเพิ่งกลับจากชานเมืองและได้ยินว่าทางอาณาจักรประกาศสงครามกับฟุซัคแล้ว”
ออเดรย์เม้มริมฝีปากและกล่าวหน้าเศร้า
“ไม่นานหลังจากที่กองเรือเหาะโจมตีกรุงเบ็คลันด์ กองทัพเรือโซเนียของฟุซัคอาศัยหมอกหนาทึบในการพรางตัวและเข้าโจมตีกองทัพเรือหลวงของเราที่ท่าเรือพริสต์บนเกาะโอ๊ค รวมถึงอู่ต่อเรือในละแวกใกล้เคียง โชคดีที่ทางโบสถ์วายุสลาตันได้รับแจ้งเตือนล่วงหน้าผ่านทางโทรเลข ฝ่ายเราจึงยังไม่เสียท่าเรือพริสต์ไป แต่ต้องเสียเรือหลายลำและโรงงานอีกหลายแห่ง กล่าวกันว่า มีผู้คนล้มตายและบาดเจ็บสาหัสมากมาย…”
“นี่สินะสงคราม…” ไคลน์ถอนหายใจ “ขอผมดูได้ไหมว่ากษัตริย์ประกาศสงครามว่าอย่างไร”
ออเดรย์ทราบดีว่ากษัตริย์จอร์จที่สามมีปัญหา จึงเข้าใจความนัยของอีกฝ่ายและส่งหนังสือพิมพ์ในมือให้
เป็นฉบับทัสซอค
โดยไม่ต้องเสียเวลามองหา ไคลน์เห็นถ้อยคำประกาศสงครามของกษัตริย์ใต้พาดหัวหน้าแรก
“…เมื่อเจ็ดร้อยแปดปีก่อน ฟุซัคทำการยึดเกาะโซเนียไปจากเรา… เมื่อหนึ่งปีก่อน ฟุซัคทำการขโมยไบลัมตะวันออกของเราไปครึ่งหนึ่ง… มาถึงวันนี้ พวกมันทิ้งระเบิดใส่เบ็คลันด์และโจมตีท่าเรือพริสต์ ส่งผลให้พลเรือนจำนวนมากเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บสาหัส เลือดของพวกเขาชุ่มชโลมไปทั่วผืนดิน… เราถอยกลับไม่ได้อีกแล้ว การยอมถอยในอดีตมีแต่จะทำให้พวกมันกลั่นแกล้งเรามากขึ้น หากยังถอยต่อไป พวกเราจะสูญเสียอำนาจทางเศรษฐกิจนอกแผ่นดินใหญ่ไปทั้งหมด สินค้าจำนวนมากจะขายไม่ออก ผู้คนมากมายต้องตกงาน ชาวนาจะล้มตายกันหมด!”
“…”
“…ทุกสิ่งในอดีตและปัจจุบันล้วนบ่งชี้ว่า ความยุติธรรมอยู่ในมือของพวกเรา และเรามีพลังมากพอที่จะคว้าชัยชนะได้อย่างเบ็ดเสร็จ!”
“ถึงประชาชนที่เคารพทุกท่าน… ตัวเรา… จักรพรรดิจอร์จที่สามของทุกท่าน ขอเป็นตัวแทนรัฐสภาและรัฐบาลเพื่อประกาศสงครามกับฟุซัค… หากพวกมันยังไม่ยอมยกธงขาวหรือยกมือยอมแพ้ พวกเราจะไม่หยุดเดินหน้าบดขยี้! รุกคืบเข้าไป! ฟื้นฟูเกาะโซเนีย! รุกคืบเข้าไป! ยึดครองกรุงนักบุญมิลลอม! ชัยชนะจะเป็นของเราอย่างแน่นอน พระองค์อยู่ฝ่ายเดียวกับเรา!”
ไคลน์ที่กวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว อาศัยพลังตัวตลกในการยับยั้งกล้ามเนื้อใบหน้ามิให้ขดมุมปาก
จากนั้น มันคืนหนังสือพิมพ์ทัสซอคให้ออเดรย์ ถอดหมวกและโค้งศีรษะ
“ที่เหลือคงต้องฝากคุณแล้ว”
“ไม่ต้องกังวลค่ะ” ออเดรย์รับหนังสือมอบอำนาจและหนังสือพิมพ์
ไคลน์ไม่มัวรีรอ พาบุรุษรับใช้เอ็นยูนเดินออกจาก ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’ และตรงไปยังวิหารนักบุญแซมมวล
ตอนนี้ไม่มีสาวกหลงเหลือภายในวิหาร เพราะส่วนใหญ่ถูกส่งกลับบ้านและยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวสำหรับใช้ชีวิตหลังสงคราม
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันมืดมิดและเงียบสงบ ไคลน์หาที่นั่ง ถอดหมวก ประสาทมือไว้ใต้ปาก ตามด้วยการพึมพำพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดารัตติกาลด้วยเสียงแผ่ว จากนั้นก็เสริม
“…ผมได้รับข่าวจากวิญญาณมาเทวทูตสีชาด ซาราธน่าจะเข้ามาในเบ็คลันด์แล้ว และโบราณสถานลับของจักรพรรดิโลหิต มีโอกาสสูงที่จะเป็นสุสานสำหรับประกอบพิธีกรรมเลื่อนเป็นจักรพรรดิมืด…”
หลังสวดจบ ไคลน์รอคอยอย่างอดทนสักพัก จนกระทั่งอาร์ชบิชอปแอนโทนี·สตีเวนสันเดินเข้ามาหาจากประตูด้านข้าง
นักบุญรายนี้มีใบหน้าเกลี้ยงเกลา ปราศจากหนวดเครา สวมเสื้อคลุมสีดำที่ปักสัญลักษณ์พระจันทร์แดง ทุกย่างก้าวไร้สุ้มเสียงราวกับยามราตรีกำลังคืบคลาน
เมื่อเข้าใกล้ดอน·ดันเตส แอนโทนีไม่กล่าวคำใด เพียงส่งภาษากายและหันหน้าไปทางหอสมุด
ไคลน์ลุกขึ้นสวมหมวก เดินตามไปอย่างเงียบงัน
สำหรับบุรุษรับใช้เอ็นยูน อีกฝ่ายถือไม้ค้ำ เดินไปทางประตูวิหารและรออยู่ที่นั่น
ด้านนอกหอสมุด อาร์ชบิชอปแอนโทนีหมุนตัวกลับด้วยรอยยิ้มเล็กๆ และกล่าวกับดอน·ดันเตส
“สงครามปะทุขึ้นแล้ว ตอนนี้มีหลายสิ่งที่ทางเราต้องรีบสะสาง… ในฐานะสาวกผู้เลื่อมใสเทพธิดา คุณยินดีที่จะช่วยหรือไม่”
อย่างที่คิด… มาดามอาเรียนน่าออกจากเบ็คลันด์ไปแล้ว… ไคลน์ถอนหายใจด้วยสีหน้าซับซ้อนพลางวาดจันทร์แดงบนหน้าอก
“นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง เทพธิดาจงเจริญ”
กล่าวจบ มันถามทันที
“คุณต้องการให้ผมช่วยในเรื่องใด”
“ผมจะแจ้งเมื่อถึงเวลา แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งกลับบ้านจะดีกว่า” นักบุญแอนโทนีกล่าวในสิ่งที่ฟังดูไม่สมเหตุสมผล
แต่ไคลน์เข้าใจความหมายได้ทันที นั่นคือการให้มันซ่อนตัวไปก่อน แอนโทนีอาจไม่แข็งแกร่งพอที่จะจัดการกับซาราธ แต่หากอยู่ในขอบเขตของสถานที่พิเศษบางแห่ง มันสามารถให้ความคุ้มครองได้
ไม่ผิดไปจากข้อสันนิษฐานของเรา… เทพธิดากำลังย่อย ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางมรณาและคงไม่ ‘เสด็จเยือน’ ในระยะนี้… เบื้องบนของโบสถ์ต่างกำลังยุ่งอยู่กับการรับมือสงคราม และผลข้างเคียงด้านลบของสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ก็รุนแรงจนไม่คุ้มเสี่ยง… ไคลน์พยักหน้า
“เข้าใจแล้วครับ ท่านเจ้าคุณ”
“ขอให้เทพธิดาอวยพร” นักบุญแอนโทนีวาดพระจันทร์แดง
“เทพธิดาจงเจริญ… ความสุขสงบคือคำตอบของทุกสิ่ง” ไคลน์ตอบอย่างชำนาญพร้อมกับทำท่าเดียวกัน
จากนั้น มันออกจากวิหารนักบุญแซมมวลและเลี้ยวเข้าไปในถนนอีกเส้นพร้อมกับบุรุษรับใช้
หลังจากเดินต่อไปอีกสักพัก ดอน·ดันเตสและเอ็นยูนก็อันตรธานหายไป
…
เขตตะวันออก บ้านเช่าสองห้องนอน
ด้วยใบหน้าดาษดื่น ไคลน์หยิบฮาร์โมนิก้านักผจญภัยออกมาจ่อปากเป่า
เพียงพริบตา ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์เจ้าของสี่หัวทองตาแดง เดินออกจากความว่างเปล่าโดยไม่ประหลาดใจกับรูปลักษณ์ใหม่ของคู่สัญญา
ไคลน์ซึ่งไม่มีกระดาษจดหมายจะส่งให้ เพียงกล่าวเข้าประเด็น
“ช่วยบอกชารอนกับมาริคว่า ซาราธอยู่ที่เบ็คลันด์และมีแนวโน้มว่าจะร่วมมือกับโรงเรียนกุหลาบ จงระวังตัวให้มากและอย่าแวะไปที่ผับวีรบุรุษในช่วงนี้”
“ซาราธ…” หัวทั้งสี่ของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์กล่าวอย่างพร้อมเพรียง สีหน้าครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“หัวหน้าลัทธิเร้นลับ เทวทูตลำดับหนึ่งที่เคยเสียสติแต่กลับมาเป็นปรกติได้” ไคลน์หยิบเหรียญทองออกมายื่นให้มิสผู้ส่งสาร
มันไม่ได้บอกว่าซาราธสนใจเกอร์มันสแปร์โรว์เป็นพิเศษ โดยเชื่อว่ามิสผู้ส่งสารซึ่งเป็นสัตว์วิญญาณระดับสูงย่อมตระหนักถึงความพิเศษในตัวมันได้ประมาณหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเทวทูตคงไม่ลดตัวมาเป็นผู้ส่งสาร หากมียันต์ วันวานอีกครั้งไรเน็ตต์คงช่วยเหลือไคลน์ได้มากกว่าเดิมหลายเท่า
สำหรับคำถามที่ว่า ทำไมซาราธซึ่งมองไม่เห็น ‘ออร่าหมอก’ ในตัวเกอร์มัน·สแปร์โรว์เมื่อครั้งอยู่ในหมู่บ้านสายหมอก ถึงยังต้องการตามล่าตัวนักผจญภัยเสียสติรายนี้ ไคลน์เชื่อว่าเกิดจากเหตุผลสามข้อ ประการแรก กฎแห่งการดึงดูดได้นำพาซาราธเข้ามาในเบ็คลันด์ ประการที่สอง เป็นเพราะเกอร์มันสแปร์โรว์สามารถหลบหนีออกจากหมู่บ้านสายหมอกและกลับสู่โลกแห่งความจริงสำเร็จ ทั้งที่ได้รับสัญลักษณ์ผิด และประการที่สาม เกอร์มัน·สแปร์โรว์อาจเกี่ยวข้องกับองค์กรที่ศรัทธาเดอะฟูล
หลังจากซาราธร่วมมือกับโรงเรียนกุหลาบและพบว่ามารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายเองก็สนใจเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ต่อให้ซาราธไม่มีข้อมูลเชิงลึกมากนัก แต่มันก็ต้องยกระดับความสนใจอย่างไม่มีทางเลือก
ไรเน็ตต์ไทน์เคอร์มิได้กล่าวคำใด เพียงใช้ปากของหนึ่งในสี่หัวงับเหรียญทอง
หลังจากเฝ้ามองผู้ส่งสารจากไป ไคลน์ดึงเก้าอี้ออกมานั่ง แหงนมองท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างผ่านโต๊ะไม้
โครงสร้างของบ้านหลังนี้คล้ายกับบ้านที่เคยอาศัยสมัยยังอยู่ทิงเก็น ด้านในเป็นห้องนอน ด้านนอกเป็นห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร และห้องอ่านหนังสือที่มีเตียงสองชั้น
ปัจจุบันนอกจากชายหนุ่ม ภายในห้องยังมีหุ่นเชิดโจนาสโคลเกอร์และเอ็นยูน
………………………………….