ในเย็นวันนั้น ไดเมียว ก็ได้จัดงานเลี้ยงขึ้นอย่างยิ่งใหญ่
ไดเมียว , ภรรยาไดเมียว และลูกทั้ง 3 คนของพวกเขา ก็ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ก็ยังมีตัวแทนจากตระกูลนินจาอีกหลายตระกูลที่เข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ ไม่ว่า มาซาฮิโกะ จะมองไปทางไหน เขาก็เจอแต่คนที่เคยเห็นหน้ากันทั้งนั้น
ตระกูลเซนจู , ตระกูลอุจิฮะ และ ตระกูลอุซึมากิ เดินเข้ามาร่วมงาน แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันเกี่ยวกับการประชุมกับ ไดเมียว เมื่อครั้งที่ผ่านมาเลยแม้แต่น้อย พวกเขาแค่เดินเข้ามาในงานเลี้ยงและนั่งเงียบ ๆ อยู่ในงานเลี้ยงเท่านั้น หลังจากนั้นไม่นาน ตัวแทนตระกูลทั้ง 5 ตระกูลที่เคยต่อสู้แย่งชิงเหมืองกับ ตระกูลซารุโทบิ และ ตระกูลเซนจู เมื่อ 3 ปีก่อนก็เดินเข้ามาในงานเลี้ยง ส่วน ผู้นำตระกูลฮาตาเคะ นั้นไม่ได้เข้ามาในงานเลี้ยง
นอกจาก ตระกูลฮาตาเคะ แล้ว ตัวแทนตระกูลน้อยใหญ่อื่น ๆ ก็มาเข้าร่วมงานกันครบทุกตระกูล แต่ มาซาฮิโกะ ก็ไม่รู้จักใครในกลุ่มนี้มากนัก เขาคุ้นเคยกับแค่ ผู้นำตระกูลซารุโทบิ เท่านั้น มาซาฮิโกะ คิดว่า ตัวแทนของตระกูลชิมูระ ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผู้นำตระกูลซารุโทบิ ก็อาจจะเป็น ผู้นำตระกูลชิมูระ ส่วนคนอื่น ๆ ก็คงเป็น ผู้นำตระกูลฟูมะ , ผู้นำตระกูลยามาชิโระ และ ผู้นำตระกูลฮายาเตะ
อย่างไรก็ตามสายตาของ มาซาฮิโกะ ก็ไปสะดุดอยู่ที่ผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น เพราะเขารู้สึกคุ้นหน้าคนคนนั้นเป็นอย่างมาก
“นั่น…ตระกูลคุรามะ รึเปล่านะ? พวกเขาเป็นแค่ตัวละครในมังงะเท่านั้นไม่ใช่เหรอ พวกเขาไม่น่าจะมีตัวตนจริง ๆ ในโลกอนิเมะได้นี่น่า มันเป็นไปได้ยังไงกัน?” มาซาฮิโกะ รู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก เพราะที่จริงแล้วการ์ตูนเรื่อง นารูโตะ มีความแตกต่างกับบางอย่างระหว่างอนิเมะกับมังงะ
“บ้าเอ้ย…หวังว่าพวกเขาคงจะไม่มีพลังเหมือนที่เคยอ่านมานะ…ถ้าเป็นอย่างนั้นต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่ ๆ! ฉันไม่พร้อมที่จะไปต่อสู้กับใครที่มีความสามารถแบบนั้นหรอกนะ!”
ในขณะที่ มาซาฮิโกะ กำลังคิดเรื่องเหล่านี้อยู่นั้น ไดเมียว ก็เรียกสาวใช้ให้นำอาหารออกมา จากนั้นสาวใช้หลายคนก็ถือจานอาหารออกมาและวางลงบนโต๊ะ เมื่อ มาซาฮิโกะ เห็นแบบนั้น เขาก็ทิ้งความคิดของเขาทั้งหมดไปทันทีและจดจ่ออยู่กับอาหารจำนวนมากที่อยู่บนโต๊ะ และจะไม่มีอะไรในโลกที่จะมาแบนความสนใจของเขาออกไปจากอาหารได้
“ไดเมียว มีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งนี้จริง ๆ…นี่คืองานเลี้ยงที่แท้จริงของโลกแห่งนี้สินะ ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจอะไรอย่างนี้” มาซาฮิโกะ ยังไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อน เขาประทับใจเป็นอย่างมาก และถ้าไม่ใช่เพราะปัญหาเรื่องความปลอดภัยของ ไดเมียว เขาคงอยากจะอยู่ที่นี่ต่อไป
มาซาฮิโกะ ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว แม้แต่ โทบิรามะ ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกับเขา จากนั้นเขาก็เริ่มกินอาหารอย่างหิวกระหายทันที
ขณะนั้น ไดเมียว ก็พูดบางอย่างขึ้นมา แต่ มาซาฮิโกะ ก็ไม่ได้สนใจฟังเพราะเขาจดจ่ออยู่กับอาหารตรงหน้าของเขาเท่านั้น และในที่สุดเมื่อเขาเริ่มอิ่มแล้วเขาก็เริ่มได้ยินเสียง ไดเมียว ในที่สุด
“สิ่งที่เราอยากจะบอกก็มีเท่านี้แหละ ขอบคุณทุกท่านที่ตั้งใจฟัง และขอให้เพลิดเพลินกับงานเลี้ยงในครั้งนี้…”
ตอนนี้ มาซาฮิโกะ กินจนอิ่มแล้ว เขากินอย่างต่อเนื่องมานาน 20 นาทีในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังฟัง ไดเมียว พูดอยู่ และพอเขากินอิ่ม ไดเมียว ก็พูดจบพอดี
เมื่อเห็นว่าทุกคนเริ่มกินอาหารกับหลังจาก ไดเมียว พูดจบ มาซาฮิโกะ ซึ่งกินอิ่มแล้วก็รู้สึกเบื่อขึ้นมา เขาหยิบถ้วยน้ำชาถ้วยหนึ่งขึ้นมาจิบและเริ่มสังเกตคนอื่น
มีคนหลายประเภทที่นี่
ธรรมชาติที่ลึกลับอย่าง ผู้นำตระกูลอะบุราเมะ , ความกล้าหาญเช่น ผู้นำตระกูลอาคิมิจิ , สุสุมอย่าง โทบิรามะ และ เจ้าพ่อแห่งละครชีวิต แน่นอนว่าเขากำลังหมายถึง อุจิฮะ อิซึนะ
“ซู๊ดด…อ้า…” มาซาฮิโกะ นั่งไว้ห้างแล้วจิบชาเสียงดังอย่างสบายใจ โดยที่ลืมไปว่า ในงานเลี้ยงนี้ไม่ได้มีแต่เขาเพียงคนเดียว
เมื่อได้ยินเสียงที่แปลกประหลาด ผู้นำตระกูลทุกคนก็มองมาที่ มาซาฮิโกะ ในทันที พวกเขาไม่สามารถรับกริยาแบบนี้ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่พวกเขากำลังกินอาหารอยู่ และเมื่อ มาซาฮิโกะ รู้ตัว เขาก็ได้แต่หัวเราะด้วยความเขินอายออกมา
“ขอโทษ ขอโทษ เชิญพวกท่านทานกันต่อเลย ฉันจะดื่มชาเงียบ ๆ ก็แล้วกัน”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา นอกจาก ผู้นำตระกูลอาคิมิจิ แล้ว คนอื่น ๆ ก็กินอาการกันจนอิ่ม
จากนั้น ผู้นำตระกูลนารา ก็ลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ท่านไดเมียว พวกเราขอขอบคุณมากสำหรับการต้อนรับที่ยอดเยี่ยมของท่านในครั้งนี้ แต่เราขอทราบข้อเสนอของท่านในตอนนี้เลยได้ไหม!”
“ไม่จำเป็นต้องรีบหรอก เอาไว้เราค่อยคุยกันต่อหลังจากที่ ผู้นำตระกูลอาคิมิจิ กินอาหารจนอิ่มก่อนก็แล้วกัน” ไดเมียว พูด
ทุกคนในห้องถูกทิ้งให้อยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง ยกเว้นแต่ ผู้นำตระกูลอาคิมิจิ ที่ยังคงเคี้ยวอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ผู้นำตระกูลอาคิมิจิ ก็ยังคงกินอย่างต่อเนื่องและยังไม่มีวี่แววว่าจะอิ่มแต่อย่างใด เมื่อ ไดเมียว เห็นดังนั้น เขาก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และส่ายหัว ก่อนที่จะพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ว่า “เราคิดว่าบางทีเราน่าจะเริ่มพูดคุยกันได้แล้วละ ท่านอาคิมิจิ เชิญท่านกินต่อไปเถอะ ไม่ต้องกังวลไปหรอก…”
“ตอนนี้ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่แล้ว เราเชื่อว่าทุกคนคงจะรู้แล้วสินะว่าเราจะพูดเรื่องอะไรในวันนี้”
“และใช่ มันเกี่ยวข้องกับหน่วยองครักษ์ของเราที่ฉันต้องการจะมีไว้เพื่อความปลอดภัย ฉันรู้ดีว่านินจา 108 คนนั้นมันมากเกิดไป และทุกคนในที่นี่ก็รู้ดีว่าในตอนแรก เราต้องการตั้งหน่วยนี้ขึ้นมาโดยใช้นินจาเพียงแค่ 12 คนเท่านั้น”
“แต่ 12 คนอาจเพียงพอที่จะปกป้องเรา แต่เรากลัวว่าพวกเขาจะไม่สามารถปกป้องภรรยาและลูก ๆ ของเราได้ด้วย”
“ดังนั้น หลังจากที่คิดและไตร่ตรองมานาน เราจึงตัดสินใจว่าวิธีที่จะทำให้การคุ้มกันมีประสิทธิภาพมากที่สุดก็คือแต่งตั้งนินจา 36 คนให้เป็นหน่วยองครักษ์เพื่อปกป้องเรา ครอบครัวและคฤหาสน์แห่งนี้”
เมื่อ มาซาฮิโกะ ได้ยินคำพูดของ ไดเมียว เขาก็แทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ เพราะข้อเสนอก่อนหน้านี้ของเขาทำให้ ไดเมียว เกิดความทะเยอทะยานมากขึ้น ตอนนี้ ไดเมียว ไม่พอใจกับนินจา 12 คนอีกต่อไป และเพื่อความพอใจและเหตุผลที่ดูเหมือนว่าจะสมเหตุสมผล ไดเมียว ก็ได้เพิ่มนินจาเป็น 36 คน
ทุกคนต่างมองหน้ากับและกัน จากนั้น โทบิรามะ ก็ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ท่านไดเมียว การส่งคนมาปกป้องท่านคือหน้าที่เขาเรา ดังนั้นเรายินดีที่จะประกาศให้ที่ประชุมได้ทราบว่า หน่วยองครักษ์ 36 คนจะได้รับการก่อตั้งขึ้น”
เมื่อ อิซึนะ เห็นดังนั้น มีหรือที่เขาจะนั่งอยู่เฉย ๆ ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ท่านไดเมียว พวกเรามีกันทั้งหมด 15 ตระกูล ถ้าแต่ละตระกูลส่งนินจามาตระกูลละ 1 คน ท่านก็จะมีนินจาองครักษ์อย่างน้อยก็ 15 คน แต่ อุจิฮะ จะส่งนินจาไปไม่ใช่คนเดียวแต่เป็น 2 คน ดังนั้นท่านก็จะมีนินจาองครักษ์ทั้งหมด 16 คน ฉันคิดว่าแค่นี่ก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะคุ้มครองท่าน”
“ท่านไดเมียว เซนจู ก็จะส่งไป 2 คนด้วยเช่นกัน” โทบิรามะ กล่าวทันที
ไดเมียว ดูมีความสุขมากกับการชิงดีชิ่งเด่นกัน เขาก็มองไปที่ผู้นำตระกูลคนอื่น ๆ และหวังว่าจะมีคนอื่นยืนขึ้นเหมือนกับ เซนจู และ อุจิฮะ แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปขวางการแข่งขันของตระกูลใหญ่ทั้ง 2 ดังนั้นนอกจาก 2 ตระกูลนี้แล้ว ก็ไม่มีตระกูลไหนลุกขึ้นเสนอตัวเพิ่มอีกเลย
ไดเมียว ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แม้ว่าจะยังไม่ได้เท่ากับที่ต้องการ แต่การได้มา 17 คน ย่อมดีกว่า 12 คน…
ทันใดนั้น ประตูห้องโถงก็เปิดออก และคนคนหนึ่งก็เดินเข้ามา
“ท่านฮิวงะ มาแล้วเหรอ” ไดเมียว กล่าวทักทายคนที่เพิ่งเดินเข้ามา
โทบิรามะ เหลือบมองและทำให้เขาประหลาดใจมากที่ ผู้นำตระกูลฮิวงะ เพิ่งจะเข้ามาในห้อง เพราะเขาคิดมาโดยตลอดว่าทุกตระกูลได้อยู่ในห้องนี้แล้ว
“หึ!” อิซึนะ จ้องไปที่ ผู้นำตระกูลฮิวงะ อย่างเย็นชา ดวงตาของเขาดูเหมือนเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขาจ้องไปอยู่พักหนึ่งแต่ ผู้นำตระกูลฮิวงะ ก็ไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย ความตึงเครียดระหว่าง 2 ตระกูลนี้ยังห่างไกลจากคำว่าสันติอยู่มาก
ผู้นำตระกูลฮิวงะ ไม่ได้พูดอะไรกับ อิซึนะ เขาแค่หันหน้าไปทาง ไดเมียว และพูดว่า “ท่านไดเมียว เป็นเกียรติมากที่ท่านไว้วางใจตระกูลนินจาอย่างพวกเรา การคุ้มกันความปลอดภัยให้ท่านคือหน้าที่ของเหล่านินจาของ แคว้นแห่งไฟ และ ตระกูลฮิวะ จะส่งนินจาที่เก่งที่สุด 3 คนเพื่อเข้าร่วมหน่วยองครักษ์ของท่าน”
3 คน?!
โทบิรามะ รู้สึกประหาดใจกับการตัดสินใจของ ผู้นำตระกูลฮิวงะและสำหรับเขาแล้วมันก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าพอใจเป็นอย่างมาก เพราะในฐานะพันธมิตรแล้ว ผู้นำตระกูลฮิวงะควรจะปรึกษากับเขาก่อนที่จะตัดสินใจอะไรไป
สำหรับ โทบิรามะ สิ่งที่ ผู้นำตระกูลฮิวงะตัดสินใจไปมันไม่สมเหตุสมผล เพราะเมื่อ 10 ปีที่แล้ว อุจิฮะ เกือบทำลาย ฮิวงะ จนไม่เหลือซาก และตอนนี้พวกเขาก็เหลือนินจาที่มีความสามารถเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ผู้อาวุโสของพวกเขาก็ได้เกษียณไปหมดแล้ว บางทีที่ ตระกูลฮิวงะ ทำแบบนี้ก็เพื่อเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับ ไดเมียว เอาไว้
เห็นได้ชัดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะหนีจากสายตาของ ไดเมียว หาก ฮิวงะ ไม่ได้เข้าร่วมในหน่วยองครักษ์นี้ ใครจะรู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขากับ ไดเมียว จะเป็นอย่างไรหลังจากนี้…
ตอนนี้หน่วยองครักษ์มีนินจาเข้าร่วมทั้งหมด 20 คนแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม อุจิฮะ และ เซนจู ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ผู้นำตระกูลอุซึมากิ ก็ยืนขึ้น “ตระกูลของฉันเพิ่งจะเจอกับการสูญเสียอย่างหนักในความขัดแย้งของเรากับ ตระกูลคางูยะ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มันเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของเรา และตอนนี้เราจึงอยู่ในช่วงที่กำลังฟื้นฟูกำลังให้กลับมาเหมือนเดิม ดังนั้นเราต้องขออภัยจากส่วนลึกของหัวใจ…ท่านไดเมียว เราคงไม่สามารถส่งคนไปเข้ารวมหน่วยองครักษ์ได้”
นอกจาก ตระกูลอุซึมากิ แล้ว ตระกูลคุรามะ ก็ปฏิเสธที่จะส่งคนด้วยเช่นกัน
เมื่อได้ยินคำแก้ตัวเหล่านี้ ไดเมียว จึงไม่บังคับพวกเขาอีกต่อไป และพูดว่า “ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนของทุกท่านมาก ถ้าอย่างนั้น เราขอประกาศว่า หน่วยองครักษ์ ได้ถูกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว เราหวังว่าทุกท่านจะคัดเลือกคนที่เหมาะสมและส่งพวกเขามาโดยเร็วที่สุด และเราก็ขอขอบท่าน ตระกูลฮิวงะ เป็นพิเศษที่ส่งคนมามากที่สุด”
มาซาฮิโกะ พอใจเป็นอย่างมากกับผลที่ได้รับ แม้ว่าแผนการของเขาที่อยากให้มีนินจาองครักษ์ 108 คนจะไม่สำเร็จ แต่เขาก็สามารถเพิ่มจาก 12 คน เป็น 20 คนได้ ซึ่งนั้นก็ดีพอที่จะเปลี่ยนเรื่องราวและให้แต้มการเข้าร่วมเข้ามากขึ้น
ในที่สุดงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ตัวแทนจากทุกตระกูลกลับไปที่ห้องพักของพวกเขา และวันพรุ่งนี้พวกเขาก็จะเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านของตนเอง
หลังจากประชุมเสร็จ โทบิรามะ และ มาซาฮิโกะ ก็กำลังเดินกลับไปที่ห้องพักของพวกเขา ระหว่างทางเดิน โทบิรามะ ก็ถาม มาซาฮิโกะ ขึ้นมาว่า
“ท่านปู่ ท่านทำคัมภีร์ผนึกเสร็จแล้วใช้ไหมครับ?”
“ใช่แล้ว ยังไม่มีใครบอกท่านอีกเหรอ?” มาซาฮิโกะ ตอบ
โทบิรามะ รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก “ไม่มีใครบอกผมเลย…”
จากนั้น มาซาฮิโกะ ก็ตอบไปว่า “ตอนนี้ก็รู้แล้วนิ…ยังไงก็ตาม เพราะฉันทำหลายอย่างให้ เซนจู เสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ฉันก็จะขอกลับไปอยู่ที่ หมู่บ้านอุซึมากิ อาจจะอีก 2 – 3 ปีกว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้ง…แต่ว่า ถ้าท่านจะคิดค้นคาถานินจาใหม่ ท่านต้องบอกฉันนะ…ฉันจะกลับไปหาท่านทันที…จงจำไว้ว่า ท่านปู่คนนี้จะไปหาท่านเสมอ!”
โทบิรามะ “…”