เช้าวันรุ่งขึ้น มาซาฮิโกะ เดินออกมาจากห้องพร้อมกับขอบตาที่ดำเหมือนหมีแพนด้า แล้วเดินไปยังห้องโถงของตระกูล
ระหว่างทาง เขาได้เจอเข้ากับสมาชิกตระกูลที่กำลังออกกำลังกายยามเช้าอยู่ เขายิ้มให้สมาชิกคนนั้น แต่สมาชิกคนนั้นกลับมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะตอนนี้เขารู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก
เมื่อ มาซาฮิโกะ เดินมาถึงห้องโถงของตระกูล เขาก็พบว่าเขาเป็นคนแรกที่มาถึงที่นี่ เพราะความตื่นเต้นของเขาทำให้เขามาถึงที่นี่ก่อนเวลาที่กำหนด
นอกจากคนที่มาทำความสะอาดสถานที่แล้ว ก็ยังไม่มีใครมาเลย
การประชุมจะไม่เริ่มขึ้นจนกว่าจะถึงเวลาบ่ายโมง ซึ่งยังคงเหลือเวลาอยู่อีก 2 ชั่วโมง และ 1 ชั่วโมงหลังจากนั้น ขบวนอารักขาก็จะมาถึงและพา มิโตะ ไปยังบ้านของ ตระกูลเซนจู
จิตใจของ มาซาฮิโกะ ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แต่ร่างกายของเขาก็อ่อนเพลียจากการไม่ได้นอน ดังนั้นเขาจึงนั่งงีบหลับบนเก้าอี้ของเขาเพื่อรอการประชุม
2 ชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว และผู้เข้าร่วมประชุมก็มาถึงเกือบครบแล้ว คนเหล่านี้เป็นสมาชิกระดับสูงของตระกูลอุซึมากิ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นผู้อาวุโสหรือผู้เฒ่าของตระกูลนั้นเอง พูดง่าย ๆ ก็คือ ทุกคนในที่นี่แข็งแกร่งกว่า มาซาฮิโกะ
สมาชิกระดับสูงคนอื่น ๆ เมื่อเห็นว่า มาซาฮิโกะ หลับอยู่ พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา พวกเขาเพียงแค่ยิ้มออกมา อาจเป็นเพราะบางทีพวกเขาอาจคุ้นเคยกับมัน
หลังจากนั้นไม่นานผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสอีก 3 คน เข้ามาในห้อง แล้วเดินไปนั่งที่บัลลังก์สูงสุด จากนั้นผู้นำตระกูลก็ทำเสียงกระแอมออกมา ทำให้ทั้งห้องถูกปกคลุมด้วยความเงียบ ในขณะที่เขากำลังจะเริ่มพูดเพื่อเปิดการประชุม เขาก็เหลือบไปเห็น มาซาฮิโกะ ที่กำลังหลับอยู่บนเก้าอี้ และเขาก็อดไม่ได้จนต้องพูดออกมาว่า “ลุง ตื่นได้แล้วลุง! ทำไมถึงหลับได้ตลอดเวลานะ?!”
“หืมม…?” มาซาฮิโกะ สะลึมสะลือและเงยหน้าขึ้นมา ทำให้ทุกคนเห็นรอยขอบตาที่ดำของเขา
“ฮาฮาฮา…” หนึ่งในสมาชิกระดับสูง ไม่สามารถกลั้นขำของเขาได้อีกต่อไปและเขาก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ทุกคนในห้องประชุมเริ่มยิ้มและหัวเราะตามเขา ในขณะที่ มาซาฮิโกะ ยังคงนั่งกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่
“เอาละ ๆ ช่างเขาเถอะ เรามาเริ่มการประชุมกันดีกว่า” ผู้นำตระกูลสั่งเริ่มการประชุมทันทีเพื่อทำให้สถานการณ์สงบลง
“เมื่อคนของ ตระกูลเซนจู มาถึงเพื่อรอรับตัว มิโตะ ไปทำพิธีแต่งงาน ฉันขอให้พวกเราต้อนรับพวกเขาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้”
ผู้อาวุโส คนหนึ่งพยักหน้าแล้วพูดต่อจากผู้นำตระกูลว่า “ใช่แล้ว การแต่งงานครั้งนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ของตระกูลของเรากับ ตระกูลเซนจู แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และยิ่งในช่วงเวลาสงครามแบบนี้ มันจะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้พวกเราทุกคนปลอดภัย ขอให้ทุกคนจำสิ่งนี้เอาไว้ให้ดี”
ผู้อาวุโสคนที่ 2 หันไปมอง มาซาฮิโกะ แล้วพูดว่า “ ท่านผู้นำตระกูล เราเชื่อใจในการตัดสินใจของท่านในการจัดการกับเรื่องนี้ และเราก็เชื่อว่าท่านรู้ว่าเรื่องนี้สำคัญต่อตระกูลของเรามากแค่ไหน เพราะท่านเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในกลุ่มพวกเรา แต่มันจะดีเหรอที่จะส่งคนของตระกูลเราอย่าง มาซาฮิโกะ ไปคุ้มกันเจ้าสาวแค่เพียงคนเดียว?”
“ฉันคิดว่ามันจะไม่เป็นปัญหาแน่นอน การรักษาความปลอดภัยของเจ้าสาวเป็นความรับผิดชอบของ ตระกูลเซนจู เราไม่จำเป็นต้องไปกังวลกับมัน ท่านมาซาฮิโกะ จะดูแล มิโตะ และรอจนกว่าสถานการณ์จะเข้าที่เข้าทาง ก็คงจะสัก 2 – 3 เดือน เขาก็จะกลับมา” ผู้นำตระกูลตอบ ขณะที่แสร้งทำเป็นไม่ฟังคำเยาะเย้ยจากสมาชิกสภาคนอื่น ๆ
ผู้อาวุโส คนที่ 3 มองไปที่ มาซาฮิโกะ ด้วยความไม่พอใจและกำลังจะพูดโต้แย้งอะไรบางอย่างออกมา แต่ผู้นำตระกูลก็จ้องมองไปที่เขาด้วยสายตาที่ดุดัน เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วถอนหายใจออกเล็กน้อย
จากนั้น ผู้นำตระกูล ก็พูดออกมาว่า “ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสที่ 3 จะไม่มีอะไรจะพูดแล้วใช่ไหม?”
มาซาฮิโกะ ดูเหมือนจะไม่สนใจข้อโต้แย้งของผู้อาวุโสราวกับว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับเขา เขารู้ดีว่า มาซาโยชิ (ผู้อาวุโสที่ 2) ย่อมไม่ชอบเขาอยู่แล้ว เพราะเขาเคยแกล้ง มาซาโยชิ ในตอนที่เขายังเป็นเด็ก
จากนั้น สมาชิกสภาวัยรุ่นคนหนึ่งก็ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ท่านผู้นำได้โปรดให้ผมไปร่วมคุ้มกันความปลอดภัยของ เจ้าหญิงมิโตะ ด้วยเถอะนะครับ”
สมาชิกสภาคนนี้มีชื่อว่า อุซิมากิ ฮาคุโบะ
มาซาฮิโกะ มองว่าเขาเป็นคนที่มีความกล้าหาญเป็นอย่างมาก แม้ว่าตอนนี้เขาจะอายุเพียงแค่ 20 ปี แต่ มาซาฮิโกะ ก็คิดว่าเขาน่าจะแข็งแกร่งพอ ๆ กับสมาชิกสภาคนอื่น ๆ
“ไม่จำเป็น ฉันได้มอบหมายหน้าที่นั่นให้ มาซาฮิโกะ แล้ว แม้ว่านายจะแข็งแกร่งกว่าเขา แต่เรื่องนี้ต้องใช้ประสบการณ์มากกว่าความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว” ผู้นำตระกูลปฏิเสธด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ท่านผู้นำ อย่างตำหนิเขาเลย เพราะหลายคนในที่นี่ก็คิดว่าฉันแก่และอ่อนแอกว่า…ซึ่งมันก็จริง” มาซาฮิโกะ พูด
หลังจากที่เขาพูดจบแล้วบรรยากาศก็สงบลงและทุกคนก็ยิ้มและบางคนก็หัวเราะออกมาเบา ๆ
ทันใดนั้นประตูห้องประชุมก็เปิดออกและคนเฝ้าประตูก็เข้ามาแล้วพูดว่า “ท่านผู้นำ…ขบวนอารักขามาถึงแล้วครับ”
“อะไรนะ? มาเร็วกว่าที่เราคิดไว้สะอีก เอาละทุกคนออกไปต้อนรับพวกเขากันเถอะ” ผู้นำตระกูล สั่ง
สมาชิกสภาลุกขึ้นมาตั้งแถวอยู่หลับผู้นำตระกูล จากนั้นพวกเขาก็เดินออกจากห้องไป
ด้านนอกมีกลุ่มคนคนหนึ่งรออยู่ด้านนอก มี โจนินระดับผู้บัญชาการ 3 คน และ โจนินระดับสูงอีก 8 คน นอกจากนี้ก็ยังมี โจนินระดับสามัญที่กำลังแบกเกี้ยวอยู่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี้เป็นขบวนอารักขาของตระกูลเซนจู (เกี้ยว : เสลี่ยง : แคร่หาม)
“นานแล้วสินะที่เราได้เห็นภาพนี้ในการ์ตูน ในโลกนี้มีเกี้ยวเหมือนในการ์ตูนจริง ๆ ด้วย และเกี้ยวนี้ก็ถูกหามด้วย โจนินระดับสามัญ 4 คน” มาซาฮิโกะ พึมพำกับตัวเองด้วยความตื่นเต้น
“เป็นอะไรไปรึเปล่า มาซาฮิโกะ?”
“ไม่เป็นไร”
จากนั้นเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่งก็ออกมาจากเกี้ยว เขามีรอยขีดสีแดง 3 รอยบนในหน้าของเขาซึ่งแตกต่างจาก ตระกูลเซนจู คนอื่น ๆ
“พระเจ้าช่วย! ในที่สุดฉันก็ได้เห็นด้วยตาตัวเอง โฮคาเงะ รุ่นที่ 2!” มาซาฮิโกะ ตัวแข็งทื่อด้วยความตื่นเต้น
ผู้นำตระกูล เคยเตือนเขาไว้แล้วว่าห้ามพูดอะไรที่ไม่เหมาะสมกับ โทบิรามะ เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน เพราะเขามักพูดพึมพำอะไรออกมาที่ดูไม่เหมือนกับคนในโลกนี้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำมันตั้งแต่วินาทีแรก ซึ่งนั่นทำให้ ผู้นำตระกูล หันมามองเขาด้วยสายตาตำหนิทันที
และผู้นำตระกูลก็พูดกับ โทบิรามะ ขึ้นมาทันทีว่า “อย่างไปสนใจเขาเลย เขาก็เพ้อเจอแบบนี้เป็นประจำ ท่านเดินทางมาไกล คงจะเหนื่อย ๆ เชิญท่านพักผ่อนให้สบายเถอะ”
โทบิรามะ ตอบเขากลับไปว่า “ไม่เป็นไร เมื่อพี่สาวพร้อม เราจะออกเดินทางทันที เราต้องกลับถึงบ้านก่อนมืดเพื่อเข้าพิธีแต่งงาน”
“สุภาพกว่าที่คิดแฮะ” มาซาฮิโกะ ตอนนี้จิตใจของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว เขาไม่รู้ตัวว่าเขาพูดอะไรออกไปและไม่รู้ตัวด้วยว่าสิ่งที่เขาพูด คนอื่นก็ได้ยิน
โทบิรามะ ดูสับสนกับสิ่งที่ มาซาฮิโกะ พูด แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมากนักเพราะ มาซาฮิโกะ ก็ดูเหมือนชายแก่จริง ๆ
ผู้นำตระกูล มองไปที่คนเฝ้าประตูและพูดว่า “รีบไปพาเจ้าหญิงมาที่นี่เร็ว!”
ผู้นำตระกูล เดินเข้าไปใกล้ โทบิรามะ และพูดกับเขาว่า “ยินดีต้อนรับท่าน โทบิรามะ เป็นเกียรติ์มากที่ได้พบท่าน ฉันขอแนะนำให้ท่านรู้จักกับสมาชิกระดับสูงของตระกูล อุซึมากิ มาซาฮิโกะ เขาจะเป็นคนดูแล้ว มิโตะ ของเราและติดตามขบวนอารักขาไปด้วย”
โทบิรามะ พยักหน้า
ในที่สุด มาซาฮิโกะ ก็ตื่นจากพวัง “เป็นเขาจริง ๆ ด้วย!…เอ้อ… ท่านผู้อาวุโสและท่านผู้นำไม่ต้องเป็นกังวลไป ขบวนอารักขาของเรามีนินจา โจนินระดับผู้บัญชาการ 3 คน และ โจนินระดับสูงอีก 8 คน และแน่นอนมีฉันด้วย ขอให้พวกท่านจงมันใจได้เลยว่าการเดินทางในครั้งนี้จะปลอดภัยอย่างแน่นอน”
“ฉันไม่ได้เป็นห่วงนาย……เธอคือลูกสาวของฉัน ฉันควรจะไปกับเธอแต่ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ ฉันจะรออยู่ที่นี่จนกว่านายจะกลับมา และบอกฉันถึงรายละเอียดทุกอย่างที่เกิดขึ้น ฉัน…ฉันอยากอยู่ที่นั่นในฐานะพ่อ มันคืองานแต่งของลูกสาวฉัน” ผู้นำตระกูลพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังปนเศร้า
ในที่สุด มิโตะ ก็มาถึงพร้อมกับนินจาหญิงอีก 2 คน เธอเดินอย่างสง่างามมาที่ผู้นำตระกูลแล้วโค้งคำนับให้เขา จากนั้นก็โค้งคำนับให้ผู้อาวุโส และพยักหน้าเบา ๆ ให้กับสมาชิกตระกูลคนอื่น ๆ แล้วขึ้นไปนั่งบนเกี้ยว
“ถ้าทุกอย่างพร้อมแล้ว เราจะออกเดินทางกันเลย ท่านผู้นำ…ท่านผู้อาวุโส” โทบิรามะ พูดคำลาแล้วโค้งคำนับพวกเขาด้วยความเคารพ
“เอาล่ะ ระวังตัวให้ดีละ มาซาฮิโกะ ช่วยดูแล มิโตะ ตัวน้อยแทนฉันด้วย” ผู้นำตระกูล กล่าว
“ไม่ต้องกังวลไปท่านผู้นำ ฉันจะดูแลเธอให้ดีที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้” มาซาฮิโกะ ยิ้มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและด้วยดวงตาที่แน่วแน่ของเขา
“ไปกันเถอะ!” จากนั้นขบวนอารักขาก็เดินทางออกจากบ้านตระกูลอุซึมากิ…
และการเดินทางครั้งใหม่ของ มาซาฮิโกะ ก็เริ่มต้นขึ้น…