บทที่ 2 ตอนที่ 25
* อีวา ซิวริซส์ *
ตัวเรย์จินั้นถูกแนะนำให้กับอีวาอย่างไม่มีที่มาที่ไปเลย ตัวเธอเองก็คงจะไม่มีทางยอมรับเรย์จิเด็ดขาดถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาช่วยชีวิตพ่อของเธอเอาไว้ เพราะพ่อของเธอนั้นเป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวที่เธอมี เธอรู้ว่าบางครั้งพ่อของเธอก็มักจะทำตาหน้ากลัวออกมาแต่เขาก็ไม่เคยส่งสายตานั้นมาที่เธอเลยสักครั้ง และด้วยการที่เรย์จิช่วยชีวิตพ่อที่หาใครมาแทนไม่ได้ของเธอ ตัวเขาจึงเป็นคนสำคัญมากๆสำหรับอีวามาตั้งต้นแล้วด้วย
เธอทดสอบเรย์จิต่างๆนาๆด้วยการทำตัวเป็นคุณหนูเอาแต่ใจ ทว่าเรย์จิก็ได้ตอบรับเธอในทุกๆครั้งเลย เธอก็เลยได้แรงบันดาลใจมาจากเรย์จิเรื่องที่ผู้คนนั้นควรใช้ชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน ตัวอีวาเองนั้นไม่มีทางรู้เลยเลยว่าความคิดของเรย์จินั้นมาจากชีวิตชาติก่อนของเขาในญี่ปุ่น ซึ่งแตกต่างจากความคิดและบรรทัดฐานของโลกใบนี้อย่างสุดขั่ว
—ถ้าเรย์จิจากไปแล้วละ?
ความคิดนั้นส่งผลอย่างมากกับอีวาในตอนที่เขาออกห่างจากเธอไปในวันนั้น มากพอที่จะเปลี่ยนวิธีคิดของเธอเลยละ
「วันนี้คุณจะไปที่ไหนดีครับ คุณหนู?」
เรย์จิจะถามแบบนั้นในทุกๆเช้า
ขุนนางที่ยุ่งๆอย่างพ่อของเธอนั้นจะวางแผนตารางเวลาล่วงหน้าเป็นเดือนๆเลย ทว่าตัวอีวายังไปไม่ถึงระดับนั้นในตอนนี้
ตัวเธอเองก็มีแผนสำหรับวันนี้แล้วเช่นกัน อย่างไรก็ตาม
「วันนี้ชั้นจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชากับทุกคนจากงานเลี้ยงวันนั้นละ!」
ในวันที่เธอเผชิญหน้ากับพ่อของเธอเรื่อง “ศูนย์จัดการทรัพยากรมนุษย์” พ่อของเธอก็ได้ยอมรับตัวเธอว่าเป็น “ผู้ใหญ่” แล้ว ปรากฏว่าที่พ่อของเธอจัดฉากเรื่อง “ศูนย์จัดการทรัพยากรมนุษย์” ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเพราะคิดว่าตัวอีวาจะต้องไปถึงความจริงได้แน่
เพราะพ่อของเธอพูดออกมาในตอนท้ายว่า:
—ถ้าลูกไม่สามารถยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเองโดยที่ไม่ต้องให้ครอบครัวพยุงละก็ ลูกจะไม่สามารถเอาชีวิตรอดในสังคมขุนนางได้หรอกนะ ยิ่งไปกว่านั้น อะไรอย่าง “การแสดง” เนี้ยเป็นที่ชื่นชอบของขุนนางชั่วมากๆเลยด้วย
ตอนที่เขาพูดถึง “การแสดง” นั้น มันรู้สึกเหมือนกับเขากำลังเหน็บแนมราชันศักดิ์สิทธิ์อยู่เลย ทว่าอีวาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
และเพราะแบบนั้น ท่านพ่อก็เลยอนุญาตให้ทำอะไรได้อย่างอิสระแล้วเข้าหาเพื่อนๆได้
「เข้าใจแล้วครับ」เรย์จิพูดขึ้นในขณะที่พยายามรักษาระยะห่างเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย
อีวาคิดริเริ่มที่จะเข้าหากลุ่มสมาชิกในโต๊ะอาหารเย็นวันนั้นด้วยตัวเอง — ทั้งหลุยส์, อีธาน, ชาร็อต, และ มีร่า ตัวคลูฟชราทนั้นไม่ได้รับอยุญาตจากราชันศักดิ์สิทธิ์เนื่องจาก “มันอันตรายเกินไป” เหล่าขุนนางคนอื่นๆเองก็เข้าใจแล้วว่าตัวราชันศักดิ์สิทธิ์นั้นรักคลูฟชราทมากแค่ไหน
เหล่าสมาชิกคนอื่นๆนั้นไม่สามารถออกจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ได้จนกว่าจะจบงานมอบหินสกิล อีวาก็เลยเริ่มแลกเปลี่ยนจดหมายกับมีร่าก่อนงานเลี้ยงน้ำชาจะเริ่มซะอีก
อีวา-ซิวริสซ์ อายุ 12 ปี ได้ก้าวเดินไปตามความฝันอันยิ่งใหญ่ของตนอย่างมั่นคง
* คนคุ้มกัน: เลเลนอร์ *
ตระกูลดยุคเอเบนนั้นเป็นหนึ่งใน 6 ดยุคผู้ยิ่งใหญ่ และคฤหาสน์ของพวกเขานั้นได้ตั้งอยู่ใกล้กับประตูทางไปเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 1 จากทางเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2 ในตอนที่ราชันศักดิ์สิทธิ์ล้มป่วยลงเมื่อ 200 ปีก่อนนั้น พวกเขาได้พัฒนายารักษาอาการป่วยขึ้นมาได้สำเร็จ รวมถึงสามารถกักกันการระบาดของโรคได้อีกด้วย เพราะความสำเร็จในครั้งนั้น ต่อให้พวกเขาสูญเสียสีฟ้าศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วก็ตาม พวกเขาก็ยังได้รับอนุญาตให้ใช้ตำแหน่งดยุคต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม ดินแดนของพวกเขานั้นห่างไกลจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ ผู้นำตระกูล เอเบน ที่จะอาศัยอยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้น ต้องเลื่อนการกลับดินแดนไปเนื่องจากเรื่องการพยายามลอบสังหารเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์ ทั่วทั้งคฤหาสน์ก็เลยเกิดความโกลาหลขึ้นจากการเปลี่ยนแผนกลางคันของเขา
「เอาเถอะ มันก็นานแล้วนะที่ชั้นไม่ได้มีวันหยุดแบบนี้」
ตัวเลเลนอร์นั้นอยู่ในบล็อก 5 ร้านค้าและบ้านเรือนนั้นถูกจัดเรียงอย่างดี มีพื้นที่เดินสำหรับผู้คนบนท้องถนน, ความปลอดภัยในสาธารณะนั้นจะเริ่มเสื่อมลงไปหลังจากบล็อก 6 ที่การเดินไปยังตรอกซอกซอยนั้นอันตรายอย่างมาก, บล็อค 7 นั้นมีเพียงแค่ถนนหลักเท่านั้นที่ปูด้วยหิน, ถัดจากบล็อค 7 ก็คือภายนอกเมืองศักดิ์สิทธิ์แล้ว
ถึงเธอมักจะแต่งตัวสุภาพในฐานะคนคุ้มกันของอีธาน แต่เลเลนอร์เองก็ยังคิดว่ามันเคร่งเกินไปอยู่ดี ตัวเธอที่เกิดและเติบโตในชนบทนั้น รู้สึกสบายใจกับเสื้อผ้าหลวมๆที่เธอใส่ตอนนี้มากกว่า รวมถึงกำไลข้อมือหลากสีที่สวมอยู่ที่มือแต่ละข้างด้วย
เมื่อเธอแต่งตัวอย่างนี้ เหล่าพนักงานในคฤหาสน์ก็มักจะพูดว่า “มันจะดูไม่ดีต่อเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 2 นะ ดังนั้นขึ้นรถม้าไปจนถึงบล็อก 4 ซะ” เธอก็เลยต้องนั่งรถม้ามาจนถึงบล็อก 4 พร้อมกับความรู้สึกที่เจ็บปวด
(ถึงฮาร์ฟลิงทุกคนจะแต่งตัวแบบนี้เสมอเลยก็เถอะ แต่ทุกคนก็มักจะวางท่าตลอดเลย เพียงแค่เพราะพวกเราอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้นแท้ๆ)
เลเลนอร์เดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย ซื้อพาสต้ากินจากร้านแผงลอย มันไม่ใช่พาสต้าแป้งหรอกนะ แต่มันเป็นพาสต้าสามเหลี่ยมที่ดูเหมือนกับครึ่งสี่เหลี่ยมของแป้งลาซานญ่ามากกว่า ตัวพาสต้านั้นอยู่ในซุบมะเขือเทศที่เต็มไปด้วยเครื่องเทศต่างๆเสิร์ฟในถ้วยไม้ เธอตักมันเข้าปากคำโตๆด้วยช้อน และเคี้ยวเนื้อพาสต้าที่เหมือนกับเยลลี่ ส่งผลให้ความเปรี้ยวได้กระจายไปทั่วปากของเธอเลย
「อร่อยมากๆเลยละ ลุง!」
「ขอบคุณสำหรับคำชมนะ หนูน้อย!」
เธอไม่อาจลิ้มลองอาหารพวกนี้ได้เลยในตอนที่เธอทำหน้าที่คุ้มกันอยู่
หลังจากนั้น เธอก็ได้ตระเวนไปตามร้านอาหารแผงลอยหลายร้านๆ และจนเมื่อเธออิ่มท้อง เธอก็ได้มาที่จุดหมายของเธอซักที
「นานแล้วนะเนี้ย…」
อาคาร 3 ชั้นที่ทำจากหิน ประตูบานใหญ่ที่มีลวดลายเฉพาะตัวนั้นเปิดกว้าง — ลวดลายที่เหมือนๆกับกิลด์นักผจญภัยในทุกๆที่
อย่างไรก็ตาม การตกแต่งภายในนั้นมักจะต่างกันออกไป ที่ราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์นี้ เสาหลักจะทำจากหินคอยค้ำจุนโครงสร้างที่ตรงกลางจนส่งกลิ่นอายโอ่อ่าออกมา ที่ใช้หินนั้นเนื่องจากไม้ในประเทศนี้มีราคาสูงมากกว่าประเทศอื่นๆ
กิลด์นักผจญภัยนั้นตั้งอยู่ในบล็อก 5 กับบล็อก 7 ตัวกิลด์ในบล็อก 5 นั้นเต็มไปด้วยนักผจญภัยระดับสูงเพราะพวกเขามักจะได้นับคำร้องจากเหล่าขุนนาง จริงๆมันก็มีกิลด์นักผจญภัยอยู่ในเขตศักดิ์สิทธิ์ที่ 3 เหมือนกัน ทว่าที่นั้นจะไม่รับนักผจญภัย จะมีเพียงเจ้าหน้าที่กิลด์เท่านั้นที่ประจำการอยู่ที่นั่นคอยปฏิสัมพันธ์กับตระกูลขุนนาง
(หืมม มีผู้คนที่มีอุปกรณ์ดีๆใช้เพิ่มขึ้นมามากมายในเวลาสั้นๆที่ชั้นไม่ได้แวะมาที่นี่ขนาดนี้เลยหรอเนี้ย…)
เธอเห็นชายที่สวมเกราะสีแดงแวววับ – ที่น่าจะทำมาจากชิ้นส่วนมอนสเตอร์ นักดาบหญิงที่สะพายดาบสองเล่มเอาไว้บนหลัง และนักเวทย์ที่ถือไม้เท้าเวทมนตร์ที่ดูจะเก็บมานาเอาไว้ได้เยอะ
ทั้ง 3 คนนั้นไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาเป็น คนแคละ, มนุษย์สัตว์เผ่าจิ้งจอก, และดาร์คเอลฟ์ที่มีผมสีเงินและผิวคล้ำดำ — ถึงตัวเรย์จิจะไม่รู้เรื่องนี้ก็ตาม แต่ตัวเลขานุการลำดับที่ 2 สเปคคูล่าเองก็เป็นดาร์คเอลฟ์เหมือนกัน
เหล่านักผจญภัยนั้นให้ความสำคัญกัยความสามารถของพวกเขา ดังนั้นกำแพงเผ่าพันธ์ุจึงไม่อาจหยุดยั้งการเจริญรุ่งเรืองของพวกเขาได้ ในทางกลับกัน มนุษย์ที่มีความสามารถทางเวทย์มนตร์ค่อนข้างสูงนั้นมีอยู่มากมายในหมู่พนักงานกิลด์ เนื่องจากราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่มีการเหยียดเผ่าพันธุ์ เผ่าต่างๆก็เลยอยู่ร่วมกันโดยไม่รู้สึกตะคิดตะควงใจใดๆ เพราะตัวราชันศักดิ์สิทธิ์เองก็เป็นมนุษย์ที่มีลักษณะพิเศษอย่าง “สีฟ้าศักดิ์สิทธิ์” ด้วย
「เลเลนอร์!」
มีเสียงชื่อเลเลนอร์ดังขึ้น ในขณะที่เธอกำลังประเมินเหล่านักผจญภัยอย่างคร่าวๆ
「โอ๊ะ มิมิโนะ! ไม่เจอกันนานเลยนะ!」
เสียงนั้นมาจากผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรหญิงคนหนึ่งที่เป็นเผ่าฮาร์ฟลิงเหมือนกันกับตัวเธอ