บทที่ 2 ตอนที่ 9
「ตามหาผมหรอครับ…?」
「นายนำอาวุธเข้าไปในงานเลี้ยงไม่ได้หน่ะ นายวางแผนจะทำยังไง?」
ผมไม่สามารถเข้าใจเจตนาของคำถามที่แม็กซิมซังถามกับผมได้
「ปกติผมก็ไม่ได้พกอาวุธอยู่แล้วนะครับ」
「งั้นหรอ!? เข้าใจละ… นายเน้นไปทางเวทมนตร์กับต่อสู้ระยะประชิดสินะ」
จริงๆผมทำได้มากกว่าเวทมนตร์กับต่อสู้ระยะประชิดอีก แต่ถ้าผมใช้อาวุธด้วยละก็ ผมจะยิ่งถูกสงสัยเรื่องจำนวนสกิลที่ผมมีนะสิ ดังนั้นผมเลยต้องทำตัวไม่ให้เด่นมากไปกว่านี้
「มันก็มีคนคุ้มกันคนอื่นๆนอกจากผมอยู่ด้วยใช่ไหมละครับ? ผมไม่คิดว่าจะมีการโจมตีเกิดขึ้นหรอกนะครับ」
ที่นั่นมีเหล่าเด็กๆอายุ 12 ปีกับคนคุ้มกันประจำตัวของพวกเขา ถึงคนคุ้มกันจะพกอาวุธเข้าไปไม่ได้ แต่ถ้าสามารถใช้เวทมนตร์ได้ก็ไม่มีปัญหา แถมยังมีวิธีต่อสู้ที่ไม่ต้องใช่อาวุธอยู่อีกตั้งหลายวิธี
「ไม่ นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอก ที่ข้ากังวลก็คือพวกดาบล้ำค่าของลูกชายตระกูลขุนนางต่างหาก」
「ไม่ใช่ว่าพวกเขามีแค่นั้นหรอครับ? พวกเขาจะได้รับหินสกิลหลังจากจบงานเลี้ยงใช่ไหมละครับ?」
ขุนนางในประเทศนี้จะเข้าร่วมงานเลี้ยงที่จัดขึ้นโดยราชันศักดิ์สิทธิ์เมื่ออายุครบ 12 ปี หลังจากนั้นพวกเขาจะถูกยอมรับว่าเป็น “ผู้ใหญ่” แล้วจะได้รับหินสกิล
ผมไม่รู้หรอกนะว่าระบบมันเป็นยังไง แต่ดูเหมือนหินสกิลหายากที่ถูกผลิตจากแท่นบูชาที่ 1 แทบทั้งหมดจะเป็นของขุนนาง ส่วนอันที่เหล่าขุนนางไม่ใช้ก็จะถูกส่งต่อไปยังกิลด์และประชาชน
คุณหนูก็น่าจะได้รับหินสกิลจากท่านเอิร์ลซิวลิซส์หลังจากงานเลี้ยงของวันนี้จบลงเหมือนกัน ทั้งผมและตัวคุณหนูเองก็ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเป็นหินสกินอะไรเหมือนกัน
ในทางกลับกันก็หมายความว่า เหล่าเด็กชายอายุ 12 ปีที่พกดาบล้ำค่าเข้าไปนั้นไม่มีสกิลติดตัวอยู่เลย แบบนั้นก็ไม่เห็นต้องกังวลเลยนี่นา?
「ไม่ ไม่หรอก! เวทมนตร์ที่ร่ายลงบนดาบของพวกเขาค่อนข้างน่ากังวลเลยนะ」
「เวทมนตร์หรอครับ?」
「นายไม่รู้หรอ? ดาบของข้าเองก็มีเวทมนตร์ที่เสริมพลังโจมตึอยู่นะ」
「จริงหรอครับ!?」
จากนั้นผมก็ขอแม็กซิมให้อธิบายเพิ่มเติม ดูเหมือนว่าในตอนที่แม็กซิมกับผมสู้กัน เขาใช้ดาบปลอมสู้กับผม ดังนั้นมันเลยไม่มีเวทมนตร์ร่ายอยู่บนดาบ แต่ในการต่อสู้จริงนั้น เขาจะถือดาบที่ทรงพลังมากกว่านั้นมาก ถึงในตอนนี้เขาจะไม่ได้พกมันมาด้วยก็เถอะ การแบกดาบใหญ่ไปมาในคฤหาสน์ก็คงจะลำบากเกินไปละนะ
「มีเวทมนตร์อะไรบ้างหรอครับที่สามารถร่ายลงบนดาบได้?」
「นึกก่อนนะ… นอกจากเวทมนตร์ที่เพิ่มความคมกับแรงกระแทกแล้ว ยังมีเวทมนตร์ที่สามารถเพิ่มระยะของดาบได้สักระยะอยู่ แถมมีเวทมนตร์ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายหรือพลังกายของผู้ใช้ด้วยเหมือนกัน แต่แน่นอนว่ามันเองก็มีขีดจำกัดอยู่ ผลการทำงานของพวกมันก็น่าจะประมาณหินสกิล 1 ดาวหน่ะนะ」
「หา…」
「และมันยังสามารถร่ายลงบนชุดเกราะได้อีกด้วยนะ ทว่าชุดเกราะต้องเป็นโลหะเท่านั้น」
「หมายความว่าชุดเกราะของคุณเองก็มีเวทมนตร์เสริมเอาไว้หรอครับ?」
「ใช่แล้วละ… ก็อยากจะพูดแบบนั้นอยู่หรอก แต่ชุดเกราะหน่ะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ」
「เป็นไปไม่ได้หรอครับ?」
「มันแพงมากเลยหน่ะสิ」
「โหว」
ผมประหลาดใจมากเลยละ
ผมคิดจริงๆนะว่ามันแปลกที่หัวหน้ากองทหารของเอิร์ลแห่งราชอาณาจักรครูวารศักดิ์สิทธิ์จะอ่อนแอกว่าดันเต้ซังที่มีร่างกายเป็นหินไปครึ่งตัวหน่ะ
งั้นเขาจะได้รับความช่วยเหลือจากเวทมนตร์สินะ นั่นหมายความว่าวิธีการต่อสู้ของเขาต้องได้รับความช่วยเหลือจากเวทมนตร์อย่างงั้นหรอ?
ไม่ เขาก็ค่อนข้างแข็งแกร่งแม้จะใช้ดาบปลอมนะ… แล้วถ้าเขาได้ความช่วยเหลือจากเวทมนตร์ด้วยละ?
(…ผมคิดว่าถ้าเป็นแบบนั้นผมจะต้องไม่หยุดการโจมตีของเขาด้วยมือเปล่าแล้ว)
ผมนึกถึงตอนที่ผมรับหมัดของเขาด้วยมือเปล่า
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าตอนนั้นแม็กซิมซังได้รับความช่วยเหลือจากเวทมนตร์กัน?
「คนที่จะมีของพวกนี้ได้ก็มีแค่พวกขุนนางกับอัศวินเท่านั้นละนะ ถึงข้าจะเคยได้ยินว่าพวกนักพจญภัยชั้นหนึ่งจะสวมเกราะเสริมเวทมนตร์ก็เถอะ」
「ก็คงจะยังงั้นละนะครับ คิดจะใช้อุปกรณ์ลงเวทมนตร์ครบเซ็ตแบบนั้นคงจะต้องจ่ายแพงน่าดูเลยครับ」
「ข้าคิดว่าอย่างต่ำก็น่าจะเกิน 100 เหรียญทองศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว แต่เทียบกับชีวิตของตัวเอง ราคานั้นก็ถูกมากเลยนะ คนที่มีความคิดแบบนี้คงจะใช้มันอย่างแน่นอน」
อุปกรณ์ที่มีราคามากกว่า 500 ล้านเยนงั้นหรอ… ผมคิดว่าเอาไว้ตั้งโชว์ที่บ้านก็น่าจะดีกว่านะ
「ยังไงก็ตาม มีความเป็นไปได้สูงที่ลูกชายขุนนางพวกนั้นที่ได้ถือดาบล้ำค่าครั้งแรก – และยังไม่รู้จักยั้งคิด – จะต้องอยากลองเหวี่ยงมันเล่นแน่ๆ ระวังตัวเอาไว้ละ」
「เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ」
「พวกเราจะไปเตรียมพร้อมเอาไว้ที่นอกสถานที่จัดงานนะ」
แม็กซิมยกมือข้างหนึ่งขึ้น ก่อนจะเดินจากไป
เกราะเวทมนตร์งั้นหรอ… ผมจะจำไว้ให้ขึ้นใจเลย
คุณหนูใช้เวลาเตรียมตัวนานมาก เมื่อเกือบจะถึงพลบค่ำและผมกำลังนั่งหาวอยู่นั้น ประตูก็ได้เปิดออก
หัวหน้าเมดก็จ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาคมกริบ
「เรย์จิซังคะ โปรดอย่าพูดอะไรหยาบคายออกมานะคะ」
「ผมดูเป็นคนแบบนั้นงั้นหรอครับ?」
「ดิชั้นกลัวเด็กผู้ชายเพราะพวกเขามักจะไม่คิดก่อนพูดนะคะ」
จากมุมมองของหัวหน้าเมด (30 ต้นๆ) คนนี้ ผมก็เป็นแค่เด็กละนะ
「ชมคุณหนูอย่างพอประมาณนะคะ คุณเป็นผู้ชายคนแรกที่จะได้เห็นคุณหนูแต่งตัวเต็มยศขนาดนี้」
「ผมเข้าใจแล้วครับ」
「ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่คุณก็ไม่ควรชมอย่างอ้อมๆค่ะ และการชมอย่างตรงไปตรงมาเองก็ไม่ดีเหมือนกัน」
「………」
…หลายขั้นตอนเกินไปไหมเนี้ย?
「เรย์จิซัง วันนี้เป็นวันที่สำคัญมากๆสำหรับคุณหนูค่ะ ดิชั้นขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือนะคะ」
「……ครับ」
หัวหน้าเมดยื่นมือของเธอมาหาผมก่อนจะแก้ตราสัญลักษณ์เบี้ยวๆที่เนคไทของผมให้
「คุณเองก็เป็นคนหน้าตาดีนะคะถ้าคุณทำตัวเงียบๆ อย่าพูดอะไรเกินเลยในงานเลี้ยงนะคะ」
「เข้าใจแล้วครับ」
เป็นครั้งแรกเลยที่ผมถูกบอกว่าหน้าตาดี ใช่ไหมนะ?
เมื่อผมตามหลังหัวหน้าเมดเข้าไปในห้อง ผมก็เห็นคุณหนูนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่กลางห้อง
「—เรย์จิ?」
เมื่อคุณหนูหันมาทางนี้ ผมก็ลืมหายใจไปเลย
ผมสีบอร์นของเธอถูกหวีอย่างประณีตมากกว่าทุกๆครั้งจนเงาวับ มันถูกปล่อยลงมาอย่างลื่นไหลโดยที่ไม่ติดขัดกับชุดเลมเดรส มันช่วยดึงความสวยงามของผมบอร์นนั้นออกมาได้อย่างดีเยี่ยมเลย
เพราะเธอสวมชุดเดรสที่ไม่มีสายรัดไหล่ ไหล่อันบอบบางของคุณหนูจึงเผยออกมาจนเห็นถึงความอ่อนนุ่มของผิวสีขาวนั้น
ใบหน้าของคุณหนูที่เปล่งออร่ามุ่งมั่นออกมานั้นถูกแต่งแต้มไปด้วยเมคอัพบางๆ ริวและฝีปากของเธอเองก็ถูกทาด้วยลิปสติกให้เข้ากับชุดเดรสสีแดงสว่าง
ดวงตาของคุณหนูที่เน้นขึ้นด้วยอายไลเนอร์ – ดวงตาเวทมนตร์ของเธอที่ขนาดตัวผมเองก็ยังหวั่นไหว – นั้นสะกดผมเอาไว้
「คะ-คุณหนูครับ…」
คุณหนูที่เติบโตจากเด็กสาวไปเป็นหญิงสาวนั้นปลดปล่อยออร่าเย้ายวนออกมา
…อ่าห์ ผมเริ่มตาลายแล้วสิ
มันมีคำที่ถูกเรียกว่า「ความงามที่ไม่มีใครเทียบ」อยู่
มันถูกเขียนอยู่ในหัวข้อ「ความโดดเดี่ยวที่ไม่มีใครเสมอเหมือน」ที่อยู่ในหนังสือจีนเล่มหนึ่ง
「ความโดดเดี่ยวที่ไม่มีใครเสมอเหมือน」— การดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยว (ความงาม) ที่ไม่มีใครเสมอเหมือนในโลกใบนี้
หลังจากนั้นมันก็เขียนต่อไปว่า
「ปราสาทด้านเดียว」— เมื่อเธอมองไปด้านเดียว ปราสาทก็จะพังทลาย
「อีกด้านหนึ่งของประเทศ」— เมื่อเธอมองข้ามอีกด้าน ประเทศก็จะล่มสลาย
ถ้าคุณหนูยังเติบโตขึ้นแบบนี้เรื่อยๆละก็ ทั่วทั้งประเทศจะต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตัวเธอจนสุดท้ายต้องล่มสลายลงไปแน่ๆ เมื่อคิดแบบนั้นผมก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา