บทที่ 2 ตอนที่ 2
ผมนึกย้อนไปยังตอนที่ผมได้ช่วยชีวิตของท่านเอิร์ล วิกเตอร์ เดอ ซิวลิซส์ เอาไว้ แต่มันก็ไม่ใช่เหตุการณ์ดราม่าอะไรหรอก มันอยู่แค่ระดับที่ว่า “อ่าห์ มาคิดดูดีๆแล้วมันก็เคยมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นนี่นะ” อะไรแบบนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์สัตว์เผ่าแมวเซอรี่ซังนั้น ดียิ่งกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก! ผมดีใจจริงๆที่เธอมากับผมด้วย
หลังจากที่ออกมาจากเมืองหลวงแห่งอาณาเขตดยุคอเคนบาค ผมก็ได้มุ่งหน้าไปที่ราชอาณาจักรอัศวินนักบุญด้วยการนำทางของเซอรี่ซัง มันมีจุดตรวจชายแดนเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ทว่า มันก็ยังมีเส้นทางลับของพวกที่ทำธุรกิจมืดอยู่ ดังนั้นเซอรี่ซังเลยพาผมข้ามชายแดนโดยใช้เส้นทางพวกนั้น
มันต้องใช้เงินเล็กน้อยเพื่อที่จะทำแบบนั้น แต่ว่าเซอรี่ซังก็ไม่ได้มีเงินมากพอสำหรับ “เล็กน้อย” นั่นหรอก ดูเหมือนว่าเธอพอจะจ่ายได้จากการหาเงินเพิ่มเล็กน้อยภายในเมือง
ราชอาณาจักรอัศวินนักบุญเป็นประเทศที่ปกครองโดยราชันอัศวิน และด้วยความที่เป็นประเทศที่มีอำนาจทางการทหารมาก มันจึงไม่ค่อยมีที่ที่ให้พวกนักพจญภัยทำงานของพวกเขาเลย ดังนั้น พวกเราจึงแค่ผ่านมันไป
ถัดจากประเทศนี้ก็จะเป็นราชอาณาจักรคูวานศักดิ์สิทธิ์ เป็นประเทศที่มีหลากหลายเผ่าพันธ์ุอาศัยอยู่ร่วมกัน มันมีชีวิตชีวามากแต่ก็มีอาชญากรรมเยอะมากเช่นกัน สำหรับผม มันดูเหมือนกับเป็นประเทศที่เปิดกว้างในหลายๆเรื่องเลยละ
แล้วก็อีกอย่าง จะสามารถได้ยินประโยคพวกนี้บ่อยมากเลยด้วย
「แสงแห่งราชันศักดิ์สิทธิ์จะส่องสว่างถึงทุกคนในราชอาณาจักร」
「ราชันศักดิ์สิทธิ์นั้นปกครองด้วยสันติ」
เสียงเชียร์สรรเสริญราชันศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นเรื่องปกติมาก
ผมวางแผนที่จะลงทะเบียนในฐานะนักพจญภัยในเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งคูวานยู แล้วก็จะฝึกใช้งาน【World Ruler】ให้ชำนาญในเวลาเดียวกัน
「เธออยากจะเป็นนักพจญภัยเพื่อดูว่าพวกนักพจญภัยคนอื่นเขาสู้กันยังไงอย่างงั้นหรอ…? ไม่ ไม่อะ ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้หรอก〜 ผู้คนไม่เปิดเผยสกิลของพวกเขาง่ายๆหรอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเธอดูตัวเล็กมากเลยด้วย ดังนั้นไม่มีใครคิดจะรับเธอเข้าปาร์ตี้ด้วยหรอกนะ หนุ่มน้อย〜 เธอจะเอาแบบนี้ไหม ให้ชั้นไปเป็นนักพจญภัยหาเงิน ส่วนเธอก็ไปหางานที่มันมั่นคงมากกว่านี้ทำเป็นไง?」เซอรี่ซังพูดขึ้นมาแบบนั้น เนื่องจากที่เธอพูดมามันก็มีส่วนถูก ดังนั้นผมจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับข้อเสนอของเธอ
เซอรี่ซังก็ยังคงเกาะติดผมมาด้วยแม้จะมาถึงจุดหมายปลายทางแล้วก็ตาม ผมคิดว่ามันก็คงไม่เป็นไรหรอก ถึงเธอจะทำตัวสนิทสนมมากเกินไปและกวนประสาทในบางครั้ง แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไร
กลับมาที่เรื่องของผม ผมได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรติที่เรียกว่า “คนทำความสะอาดของภาคีอัศวินที่ 18 แห่งราชันศักดิ์สิทธิ์”เหล่าอัศวินที่แข็งแกร่งภายใต้ตำแหน่ง “ภาคีอัศวินแห่งราชันศักดิ์สิทธิ์” นั้นต้องผ่านการฝึกที่โหดหิน เมื่อเสร็จจากการฝึก พวกเขาก็จะกลับไปยังหอพักแล้วหลับเป็นตายเลย เนื่องจากพวกเขาเองก็มีเงิน พวกเขาก็มักจะเข้าไปในเมืองภายในวันหยุดของพวกเขาที่หาได้ยากมาก
ถึงผมจะเป็นแค่คนทำความสะอาด – แต่ห้องของพวกเขามันสกปรกมากๆ แถมจำนวนผ้าที่ต้องซักก็เยอะเกินปกติอีกด้วย
ผมทำความสะอาดห้องพวกนั้นให้ดูสะอาดวิบวับโดยการผสมผสานสกิล【เวทย์น้ำ】,【เวทย์ไฟ】,และก็【เวทย์ลม】เข้าด้วยกัน ผมเองก็ทำแบบเดียวกันนี้กับการซักผ้าด้วย สภาพอากาศภายในเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้นั้นพิเศษเป็นอย่างมาก มันมีฝนตกไม่ค่อยบ่อยนัก ทว่าถ้าฝนได้ตกละก็ มันจะไม่หยุดเป็นอาทิตย์เลยละ ดังนั้น พวกเขาเลยดีใจมากที่ผมสามารถทำให้ภายในห้องแห้งสนิทได้
บางครั้งพวกอัศวินก็จะให้ทิปกับผมด้วยเมื่อเห็นว่าห้องสะอาดเหมือนใหม่ และถ้าผมมีเวลาว่าง ผมก็จะไปเฝ้าดูพวกเขาฝึกซ้อมกันเพื่อที่จะเรียนรู้สกิลหลากหลายแบบ
…การพบกับท่านเอิร์ลนั้นยังคงอยู่หลังจากนี้อีกสักหน่อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อผมอายุได้ 10 ขวบ ผมก็ได้รับชื่อเล่นลึกลับว่า “นักทำความสะอาดในตำนาน” ผมถูกนับถือจากเหล่าอัศวินเพราะงานที่ผมทำ ถูกนับถือจากเหล่าป้าแม่ครัวที่ผมผลิตน้ำร้อนให้ แลถูกนับถือจากเหล่าช่างตีเหล็กเผ่าคนแคระจากการทำความสะอาดห้องทำงานของพวกเขา
เมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี่นั้นใหญ่มาก ดังนั้นในวันหยุด ผมก็จะออกไปเดินเที่ยวเล่นแล้วก็ทานอาหารอร่อยๆ
ผมค่อนข้างมีความสุขกับการใช้ชีวิตในเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี่มากเกินไปหน่อย ถึงผมจะหาเพื่อนไม่ได้เลยก็เถอะ เป็นเพราะว่าผมมีอายุน้อยที่สุดในหมู่คนที่ผมเคยพบด้วย
ข่าวลือเกี่ยวกับผมได้กระจายไปยังกองอัศวินอื่นๆด้วย และผมต้องคอยไปนู้นไปนี่เพื่อทำความสะอาดให้กับพวกเขา มันน่าแปลกใจมากที่ผมเริ่มที่จะได้รับเงินเดือนของอัศวินด้วย ถึงจะพูดแบบนี้แต่เงินเดือนมันก็แค่ผลพลอยได้เท่านั้น จริงๆก็คือผมมีความสุขมากที่ผมสามารถฝึกเวทมนตร์ได้โดยที่ไม่ผิดและสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของสกิลที่ผมเรียนรู้มาได้ต่างหาก ปริมาณมานาของผมก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ – แต่นั่นก็เป็นเพราะผมสามารถควบคุมสกิล【เพิ่มปริมาณมานา】ที่ผมเรียนรู้มาจากคริสต้า-ลา-คริสต้าได้แล้วก็เท่านั้นเอง
ผมยังคงฝึกซ้อมอย่างลับๆ ถ้าไม่ได้ใช้สกิลละก็จะไม่มีวันชำนาญแน่ เพราะแบบนั้น ผมเลยมีความคิดที่จะถอนสกิล【World Ruler】ออกมาจากนั้นค่อยใช้สกิล
ถ้าผมนำสกิล【World Ruler】ออกมา ผมก็จะใช้สกิลที่ผมเคยเรียนรู้มาไม่ได้ ทว่าความทรงจำของสกิลยังคงอยู่ในหัวของผม ดังนั้น ผมจึงสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ตามความทรงจำของสกิลพวกนั้นแล้วค่อยๆเพิ่มประสิทธิภาพของมัน เป็นเรื่องลึกลับมากเลยละ เมื่อผมดูดกลืน【World Ruler】เข้ามาอีกครั้ง ผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าเข้าใจสกิลที่ผมเคยเรียนมามากขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วย
ต้องขอบคุณเรื่องนี้ที่ทำให้ผมสามารถต่อสู้ได้แม้สกิลจะถูกปิดการทำงานไป
ขณะที่ผมคอยเก็บออมเงินเอาไว้จากการทำงาน เซอรี่ซังที่พูดว่าจะหาเงินจากการเป็นนักพจญภัยก็ได้ใช้เงินของตัวเองไปทั้งหมดกับการพนันแล้วก็เป็นหนี้ – หนี้ที่ผมต้องจ่ายให้ก่อนด้วยเงินเก็บทั้งหมดของผม และแล้ว 3 ปีก็ได้ผ่านไปแบบนั้น
ผมเริ่มคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะทำอะไรด้วยตัวเอง
ถึงผมจะไม่รู้ว่าเธออยู่ไหน แต่ผมก็อยากจะเจอ “พี่สาว” ของผม ลาร์ค
แล้วผมเองก็อยากจะเจอ ลูลูช่า ด้วย หลานสาวของตาแก่ฮินกาที่สอนผมถึงเรื่องต่างๆบนโลกใบนี้ การจะบรรลุเป้าหมายพวกนี้ได้ ผมก็ต้องรวบรวมข้อมูลในขณะที่เดินทางผ่านพวกเมืองใหญ่ๆ
ผมที่กำลังคิดถึงแผนในอนาคตของผมแบบนั้น – ในกลางดึกของช่วงต้นฤดูใบไม่ผลิ – ผมก็ได้พบเข้ากับรถม้าและคนคุ้มกันหลายคันขับอยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์ ในตอนที่ผมกำลังฝึกใช้สกิล【ทักษะการวิ่ง】กับ【ทักษะการกระโดด】วิ่งไปตามหลังคาอยู่นั้น รถม้าก็ได้ถูกโจมตีจนลุกไหม้
คนขับรีบหยุดรถม้าทันทีก่อนจะช่วยเหลือชายดูท่าทางจะเป็นขุนนาง – อืม แน่นอนว่าเขาก็คือท่านเอิร์ล วิกเตอร์ เดอ ซิวลิซส์ฺนั่นเอง – ออกมาจากรถม้า
ทว่าลูกธนูก็ได้ลอยลงมาจากบนฟ้าปักเข้าที่คนขับจนเขาล้มลงไป อัศวินที่อยู่รอบๆรถม้าต่างก็ล้มลงไปทีละคน
(ฉลาดมาก ลูกธนูถูกทาด้วยสีดำ ดังนั้นมันจึงหลบได้ยากมาก)
ขณะที่กำลังประทับใจในความรอบรู้ของผู้โจมตี ผมก็กำลังคิดถึงสิ่งที่จะทำต่อไป
(ผมช่วยพวกเขาดีไหมนะ? แต่ผมไม่รู้ว่าขุนนางคนนั้นเป็นใครหน่ะสิ… เขาอาจจะเป็นขุนนางชั่วร้ายก็ได้ใครจะรู้)
เอาเถอะ ปรากฏว่าท่านเอิร์ลซิวลิซส์เป็นประเภท “นิสัยเสีย” มากกว่าจะเป็นประเภท “ชั่วร้าย” ละนะ
กลับมาเข้าเรื่องหลักกันต่อ ผมทำเพียงแค่เฝ้ามองเหตุการณ์นั้น
เมื่อเหลือท่านเอิร์ลเพียงแค่คนเดียวใกล้ๆกับรถม้าที่กำลังลุกไหม้ มือสังหาร 5 คนก็ปรากฏตัวขึ้นล้อมรอบเขา เหล่ามือสังหารที่สวมใส่ชุดสีดำและหน้ากากที่แสดงแค่ดวงตาได้พูดอะไรบางอย่างกับท่านเอิร์ล
「—เตรียมตัวเอาไว้ซะ… คำขอของผู้ว่าจ้าง… มากที่สุดเท่าที่จะทำได้」
ผมได้ยินเพียงแค่คำบางคำขณะที่ผมกำลังแอบฟังด้วยสกิล【เสริมการได้ยิน】
ผมคิดว่าขุนนางคนนั้นต้องถูกฆ่าแน่นอน ทว่า เขากลับยังคงดูสงบและไม่สะทกสะท้านใดๆเลย
ผมตรวจดูขุนนางคนนั้นให้ระเอียดมากขึ้น
ผมสีบอร์นเงางามของเขายังคงสวยงามเด่นชัดท่ามกลางความมืดยามราตรี และดวงตาสีแดงสดของเขาที่ดูจะแบกรับความเศร้าโศกเอาไว้นั้นสวยงามขนาดที่ตัวผมเองที่เป็นผู้ชายก็ยังรู้สึกตราตรึงใจ
เขาอายุ 20 ปลายๆรึปล่าวนะ?
(อ่าห์ คนๆนี้… เขาไม่ได้กลัวความตายเลยแม้แต่นิดเดียว)
ภาพซ้อนทับของไรเครียซังก็ได้เด้งเขามาในหัวของผม