ดาบสีทองอร่ามทอประกายคมกล้าสั่นคลอนไปทั่วทั้งฟ้าดินประดุจศาสตราวุธทลายสวรรค์ นี่เป็นครั้งแรกที่หลงเฉินสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแห่งเทพบนอาวุธ อีกทั้งยังเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด ให้รู้สึกเสมือนกับอาวุธในมือได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
ในขณะที่คมหมัดอันเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นของจ้าวเม่าหางกำลังพุ่งแหวกอากาศเขามาหาหลงเฉินอยู่นั้น จู่จู่ก็หยุดสภาวะลงในทันทีราวกับว่าไม่อาจสั่นคลอนพลังอันมหาศาลของหลงเฉินได้เลย
จ้าวเม่าหางจ้องมองไปยังบรรยากาศบนร่างกายของหลงเฉินด้วยความรู้สึกขนลุกพองขึ้นมาเป็นสายราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายโบราณตนหนึ่งอยู่ ทว่าด้วยความเกรี้ยวกราดที่พรั่งพรูขึ้นมาก็ได้ทำให้เขาพุ่งคมหมัดออกไปด้วยพลังทั้งหมดที่มี
“ตูม”
ดาบสีทองปะทะกับกำปั้นขนาดใหญ่จนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่แตกระแหงออกเป็นเสี่ยงๆ บริเวณโดยรอบกว่าร้อยลี้เกิดการสั่นสะเทือนเลือนลั่นอย่างรุนแรง แม้แต่กำแพงเมืองขนาดมหึมายังไม่อาจทานรับพลังอันมหาศาลขุมนั้นได้จนสั่นไหวไปมา
“ซูม”
สายลมกรรโชกแรงซัดสาดโดยรอบจนเกิดความวุ่นวาย พลังสภาวะจากการปะทะไหลทะลักออกไปทั่วทุกสารทิศอย่างบ้าคลั่ง
หลงเทียนเซียวจดจ้องไปยังเบื้องหน้าสายตาด้วยความหวาดหวั่น พลันก็รีบตะโกนบอกกล่าวผู้คนทั้งหมดว่า “หมอบลง!”
“ตูม”
ทันทีที่เสียงของหลงเทียนเซียวทอดลง ทุกผู้คนก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองราวกับไม่เป็นของตัวเองอีกต่อไป เงาร่างนับพันนับหมื่นสายลอยคว้างอยู่ท่ามกลางมรสุมที่บ้าคลั่ง ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยแรงกดดันอันมหาศาลที่แทบจะฉีกกระชากร่างกายของพวกเขาออกเป็นชิ้นๆ ความโกลาหลเกิดขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง ฝุ่นละอองของดินทรายคละคลุ้งไปทั่วจนผู้คนทั้งหมดจมอยู่ในทะเลทรายขนาดใหญ่
หลงเทียนเซียวเป็นคนแรกที่สามารถผุดขึ้นมาจากกองดินทรายที่ทับถมอยู่บนร่างกายได้ คิดไม่ถึงเลยว่ากองดินทรายผืนนี้จะลึกถึงสองจั่งเลยทีเดียว พลันก็สอดส่องสายตาที่พร่ามัวไปโดยรอบแล้วก็พบว่าบริเวณหลายสิบลี้ได้กลายเป็นทะเลทรายขนาดใหญ่ไปแล้ว
“ซูม”
ซือเฟิงที่เพิ่งจะผุดขึ้นมาจากกองดินทรายก็ได้แต่ทอสีหน้าแตกตื่นขึ้นมายกใหญ่ราวกับว่ากำลังอยู่ในฝันกลางวันอย่างไรอย่างนั้น เพราะในขณะนี้ทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่กำแพงเมืองได้จมมิดลงไปในทะเลทรายผืนนี้ทั้งหมดแล้ว
หลังจากนั้นก็ได้มีศีรษะของเหล่าพลทหารค่อยๆ ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ โชคยังดีที่พวกเขาอยู่ห่างไกลจากวงต่อสู้เป็นอย่างมากจึงไม่มีผู้เสียชีวิตจากขุมพลังอันน่าหวาดกลัวเมื่อครู่นี้
เมื่อละอองควันที่ปกคลุมทั่วทั้งผืนฟ้าเริ่มเบาบางลงไป สายตาของผู้คนทั้งหมดก็กลับคืนสู่สภาวะปกติอีกครั้ง พลันก็จ้องมองไปยังเงาร่างสองสายที่กำลังประจันหน้ากันอยู่ที่เบื้องหน้า
เงาร่างหนึ่งทอประกายแสงประดุจหยกงามชิ้นหนึ่ง บนแผ่นหลังมีวงแหวนแห่งเทพขนาดใหญ่กว่าร้อยจั่งปรากฏขึ้นมา ดาบขนาดใหญ่ที่มีความยาวกว่าหนึ่งจั่งถูกพาดไว้บนบ่าอย่างเกียจคร้าน เส้นผมยาวสีดำขลับลอยระบำไปมาตามสายลมที่พลิ้วไหว
หลงเฉินในขณะนี้ราวกับเป็นจักรพรรดิแห่งสรวงสวรรค์ลงมาขจัดเหล่ามารร้ายบนโลกหล้าอย่างไรอย่างนั้น ตลอดทั่วทั้งร่างปกคลุมไปด้วยบรรยากาศของผู้ยิ่งใหญ่ที่กำลังเย้ยฟ้าดิน บนใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญและทระนงตน
ดวงตาคู่คมจดจ้องไปยังจ้าวเม่าหางผู้ยโสโอหังมาทั้งชีวิตที่ได้สูญเสียแขนข้างหนึ่งไป ใบหน้าเหี่ยวย่นขาวซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาสั่นไหวมองกลับไปที่หลงเฉินด้วยความหวาดกลัว
“หวาดกลัวอย่างนั้นหรือ? เจ้าคงจะไม่เคยคิดเลยสินะว่ายอดฝีมือขอบเขตปรือกระดูกเช่นเจ้าจะถูกเจ้าหนูขอบเขตก่อโลหิตอย่างข้าโค่นล้มได้อย่างง่ายดาย”
หลงเฉินทอสีหน้าเย้ยหยันแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลันก็กระชับอาวุธทลายมารในมือจนแน่น หรือนี่จะเป็นนามที่แท้จริงของดาบสีทองเล่มนี้กัน?
นี่คืออาวุธหนักที่ชางหมิงต้าป่อได้ตีขึ้นมาให้เขาโดยเฉพาะ ทั้งยังให้นามเอาไว้ว่าทลายมารซึ่งสื่อถึงเจตจำนงของชางหมิงที่ว่าทำลายล้างเหล่ามารร้ายและผดุงความยุติธรรม
และดาบเล่มนี้ก็ไม่ได้ทำให้ปรมาจารย์ผู้หลอมศาตราวุธอย่างชางหมิงต้องรู้สึกผิดหวังเลย เพราะในขณะที่เพิ่งจะถูกชักออกมาจากฝักก็สามารถสาดประกายอันคมกล้าตัดไปที่แขนของยอดฝีมือขอบเขตปรือกระดูกผู้หนึ่งได้ในทันที
“ไม่มีสิ่งใดให้ต้องหวาดกลัวไปหรอก พวกตัวโง่งมอย่างพวกเจ้าเหล่าสำนักนรกโลหิตคงจะเอาแต่ฝันหวานว่าตัวเองยิ่งใหญ่คับฟ้าจึงคิดกระทำการที่สกปรกโสมมเช่นนี้ลงไปได้
เจ้าเชื่อมั่นในพลังฝีมือของตัวเองจนดวงตามืดบอด คิดไปว่าด้วยขอบเขตอันสูงส่งของเจ้าจะสามารถกดขี่ผู้คนที่มีพลังการฝึกยุทธ์ด้อยกว่าได้อย่างนั้นหรือ? เหอะ สมกับเป็นตัวโง่งมเสียจริง
ข้าจะบอกให้เจ้าทราบเอาไว้ว่าหากเทียบพลังฝีมือของเจ้ากับผู้อาวุโสขอบเขตปรือกระดูกในหมู่ตึกพลิกสวรรค์เหล่านั้นแล้ว ไม่ต้องคิดให้มากความก็สามารถตอบได้ทันทีว่าเจ้าเป็นได้แค่หอยทากตัวหนึ่งบนขุนเขาขนาดใหญ่เท่านั้น แม้แต่จัดให้อยู่ในระดับเดียวกันก็ยังไม่สมควรเลยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว”
จ้าวเม่าหางทอสีหน้าปั้นยากขึ้นมาทันที แม้แต่นึกฝันก็ยังเคยคาดคิดว่าตัวเองจะต้องมาพ่ายแพ้ให้กับเจ้าหนูที่มีพลังอยู่ในขอบเขตก่อโลหิตผู้หนึ่งได้อย่างไร้ซึ่งหนทางเอาคืน “ข้าไม่เชื่อ จ้าวเม่าหางผู้นี้โลดแล่นอยู่ในเส้นทางแห่งยุทธ์มากว่าครึ่งค่อนชีวิตแล้ว มีหรือที่จะมาพ่ายให้กับเจ้าหนูที่ไม่รู้ความอย่างเจ้าได้ จงตายไปซะ!”
จ้าวเม่าหางทอแววตาแดงก่ำขึ้นมาประดุจสุนัขบ้าคลั่งตัวหนึ่ง ภายในจิตใจเกิดความขัดแย้งขึ้นมาอย่างรุนแรงจนไม่อาจแบกรับผลลัพธ์เช่นนี้ได้ กำปั้นข้างหนึ่งมีบรรยากาศอันน่าหวาดกลัวปะทุขึ้นมาอีกครั้งแล้วพุ่งเข้าไปหาหลงเฉินในทันที
หลงเฉินส่ายหน้าอย่างเอือมระอาแล้วเก็บดาบทลายมารลงไป วงแหวนแห่งเทพที่ปรากฏอยู่ทางด้านหลังก็ค่อยๆ มลายหายไปพร้อมกับหันกายเดินจากไป
“เจ้าหนู อย่าคิดหันหลังให้ข้า……พรวด”
คมวายุขนาดใหญ่สายหนึ่งตัดผ่านแผ่นหลังของจ้าวเม่าหางอย่างหนักหน่วงจนร่างกายของชายชราแยกออกจากกันเป็นสองส่วนไปในทันที ในขณะที่ร่างกายส่วนบนกระเด็นออกไปไกลนั้น จ้าวเม่าหางก็พบเห็นเงาร่างขนาดมหึมาของหมาป่าหิมะแดงเพลิงที่ยืนอยู่เบื้องหลังของเขามาตลอด
หลงเฉินแสะยิ้มเย็นชาขึ้นมา บนใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยัน พลังทำลายของดาบทลายมารมีความรุนแรงอย่างไร้ที่เปรียบทว่าก็ทำให้สิ้นเปลืองพลังไปมากด้วยเช่นกัน หากไม่มีการหนุนเสริมจากวงแหวนแห่งเทพก็คงไม่อาจใช้ดาบเล่มนี้ได้
หลังจากที่ได้ทดสอบพลังทำลายของดาบทลายมารจนจ้าวเม่าหางไม่อาจสร้างความคุกคามให้กับเขาได้อีกต่อไป เขาจึงคร้านที่จะต้องลงมือด้วยตัวเอง เสี่ยวเสว่ยกับเขามีจิตวิญญาณที่เชื่อมโยงถึงกันอยู่ตลอดเวลา มันจึงทราบว่าหลงเฉินกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อครู่นี้จึงได้ปล่อยคมวายุออกมาสังหารจ้าวเม่าหางอย่างไร้ซึ่งสภาวะและซุ่มเสียง
“ซูม ซูม ซูม ซูม……”
ทันทีที่พลังชีวิตของจ้าวเม่าหางดับลง บริเวณเบื้องหน้าสายตาของผู้คนก็ได้มีเงาร่างสามสายปรากฏขึ้นมา บรรยากาศบนร่างกายของพวกเขาเป็นพลังสภาวะของขอบเขตปรือกระดูกกันทั้งหมดเลยก็ว่าได้
หลงเฉินเกิดการตื่นตกใจขึ้นมาเล็กน้อย พลันก็รีบเรียกให้เสี่ยวเสว่ยเข้ามาอยู่ข้างกาย ดวงตาคู่คมจดจ้องไปยังเงาร่างทั้งสามสายอย่างไม่ละสายตาและระแวดระวังตัว เมื่อพิจารณาดูอย่างชัดเจนแล้วก็พบว่าชายชราเหล่านั้นเป็นผู้อาวุโสของสำนักนรกโลหิตนั่นเอง
ผู้ที่เพิ่งมาเยือนทั้งสามคนปรายตามองไปที่ซากศพของจ้าวเม่าหางด้วยสีหน้าปั้นยากอย่างรุนแรง แล้วหนึ่งในสามเฒ่าชราก็หันมาตวาดใส่หลงเฉินว่า “เจ้าหนู ผู้ใดเป็นคนสังหารผู้อาวุโสจ้าวกัน?”
“เป็นข้าเอง” หลงเฉินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ใบหน้าเหี่ยวย่นของพวกเขาทั้งแตกตื่นและเดือดดานขึ้นมาในทันที จากนั้นชายชราอีกคนหนึ่งก็ด่าทอขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราดว่า “เดรัจฉานน้อย เจ้ากล้าเล่นละครตบตาเหล่าเฒ่าชราเช่นข้าอย่างนั้นหรือ? เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถถลกหนังและเลาะกระดูกของผู้คนทั้งตระกูลของเจ้าได้เลย”
หลงเฉินไม่กล่าวอันใดตอบกลับไป ทว่าภายในร่างกายของเขากลับเกิดเสียงดังผึงขึ้นมา จากนั้นพลังสภาวะมหาศาลก็ปะทุขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง บนแผ่นหลังทอประกายเจิดจ้าของวงแหวนแห่งเทพอีกครั้งหนึ่ง ดาบทลายมารในมือชี้ไปทางชายชราผู้นั้น “ข้าไม่เชื่อ หรือถ้าหากจะลองดูก็ย่อมได้ว่าผู้เฒ่าโง่เง่าอย่างพวกเจ้าจะทำให้ข้าสมปรารถนาได้หรือไม่?”
หลังจากที่หลงเฉินกระตุ้นวงแหวนแห่งเทพออกมา ตลอดทั้งร่างก็เปี่ยมไปด้วยสำนึกแห่งการสังหารขึ้นมาจนท่วมท้น สิ่งที่เขาเกลียดชังมากที่สุดก็คือผู้คนที่ชอบเอ่ยปากจะสังหารคนรอบข้างของเขา
ผู้อาวุโสทั้งสามคนถูกพลังกดดันของหลงเฉินทำให้เกิดอาการแตกตื่นตกใจขึ้นมาจนถึงขีดสุด ก่อนหน้านี้พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังการต่อสู้ของยอดฝีมือขอบเขตปรือกระดูกถึงสองสายจึงรีบรุดหน้าเดินทางเข้ามายังจุดเกิดเหตุ
หลังจากที่เดินทางผ่านขุนเขาลูกสุดท้ายมาก็พบว่าจ้าวเม่าหางได้ล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้นแล้ว ทว่ากลับไม่ได้พบเห็นว่าผู้ใดเป็นคนสังหาร คำตอบจากหลงเฉินไม่อาจทำให้พวกเขาเชื่อถือได้ลงเพราะบนตัวของหลงเฉินไม่เพียงพอที่จะสังหารผู้อาวุโสขอบเขตปรือกระดูกผู้หนึ่งลงได้
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน?” หนึ่งในสามคนนั้นเอ่ยถามขึ้นมา
“หลงเฉิน”
“ว่าอย่างไรนะ? เจ้าคือหลงเฉินอย่างนั้นหรือ?” ผู้อาวุโสทั้งสามคนนั้นทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง เพียงแค่ได้ยินนามนั้นก็สามารถเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดขึ้นมาได้ทันที
เรื่องราวของเหมืองศิลาปราณในครั้งนั้นได้สร้างตราบาปให้กับสำนักนรกโลหิตอย่างถึงที่สุด จวบจนมาถึงการเปิดศึกของฝ่ายธรรมะและอธรรมในครั้งนี้ก็เป็นสิ่งที่ผู้คนภายในสำนักนรกโลหิตทราบดีอยู่แล้ว ทั้งการปล่อยให้ศิษย์ฝ่ายอธรรมเข้ามาโจมตีจักรวรรดิเฟิงหมิง ทั้งการไล่ล่าหลงเทียนเซียวแล้วสังหาร
“สามหาว เจ้าเป็นศิษย์ของหมู่ตึกพลิกสวรรค์ไม่ใช่หรือ? ส่วนเขตคุ้มกันของเจ้าก็ไม่ใช่สถานที่แห่งนี้ เห็นได้ชัดว่าเจ้ามีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน เจ้าคือสายลับของฝ่ายอธรรมสินะ จงรับความตายไปซะ!”
ชายชราผู้หนึ่งตะโกนเสียงดังขึ้นมา จากนั้นเขาก็แทงหอกยาวในมือมาทางหลงเฉินอย่างรวดเร็วและเผ็ดร้อน หมายที่จะทุ่มคมหอกเข้าสู่จุดตายของหลงเฉิน
และทันทีที่ชายชราผู้นั้นทะยานร่างออกมา อีกสองคนที่เหลือก็ไม่รีรออีกต่อไป พวกเขาต่างก็ชักนำอาวุธพุ่งใส่หลงเฉินอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยเช่นกัน
“ตาแก่โง่งมเหล่านี้ไม่คิดที่จะหาข้ออ้างอื่นที่ดีกว่านี้บ้างหรืออย่างไรกัน?”
หลงเฉินด่าทอออกมาด้วยความรำคาญพร้อมกับกวาดดาบทลายมารออกไปยังเงาร่างทั้งสามสาย ดาบเล่มนี้มีน้ำหนักมากถึงเก้าสิบสามหมื่นชั่ง อีกทั้งยังแฝงพลังทำลายอันมหาศาลเอาไว้
“ตูม”
ผู้อาวุโสทั้งสามคนทอดวงตาโง่งมมองไปยังดาบสีทองของหลงเฉินที่แฝงเอาไว้ด้วยพลังสภาวะที่กำลังคุกคามชีวิตของพวกเขาอยู่ และในขณะที่กำลังโจมตีออกไปอย่างพร้อมเพรียงกันอยู่นั้นก็ได้ร่ายอาวุธในมือเปลี่ยนมาป้องกันกันพัลวัน
“ตูม”
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งบริเวณ จากนั้นก็มีเงาร่างสามสายลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ด้วยพลังอันมหาศาลบนดาบสีทองก็ได้สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวประทับอยู่บนหน้าอกของพวกเขา อีกทั้งยังรู้สึกว่าร่างกายกำลังกลับตาลปัตรจนแทบจะกระอักโลหิตออกมา
ดวงตาทุกคู่เบิกกว้างขึ้นมาด้วยความแตกตื่นมองไปที่หลงเฉิน พวกเขาเป็นถึงผู้อาวุโสที่เป็นยอดฝีมือขอบเขตปรือกระดูกย่อมมีประสาทการรับรู้ที่แหลมคมเป็นอย่างยิ่ง ด้วยดาบเล่มนี้ของหลงเฉินไม่ใช่ทักษะยุทธ์ชนิดใดเลย ทว่าเป็นเพียงการหยิบยืมพลังจากกายเนื้อเท่านั้น
“ใช้ทักษะยุทธ์”
เสียงตะโกนของผู้อาวุโสคนหนึ่งดังขึ้นมาเป็นสาย หอกยาวและกระบี่ถูกกระชับจนแน่นแล้วฟาดออกไปทางหลงเฉินจนเกิดเป็นกระแสลมกรรโชกแรง
“ทลายเขี้ยวหมาป่า”
“พลังตัดวายุ”
“คลื่นถล่มขุนเขา”
ผู้อาวุโสทั้งสามคนไม่อาจพลาดท่าเสียทีได้อีกครั้งหนึ่ง พลันก็แยกย้ายกันใช้ทักษะยุทธ์ระดับพสุธาออกมาทั้งหมด จนบรรยากาศโดยรอบเกิดเป็นพลังทำลายมหาศาลที่สะเทือนไปทั่วฟ้าดิน
“ตูม ตูม ตูม……”
ดาบทลายมารเองก็ได้ร่ายรำไปมาเข้าปะทะกับศาสตราวุธของชายชราเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่ง ผืนแผ่นดินหลายร้อยลี้ต่างก็เกิดการสั่นไหวขึ้นมาไม่หยุด กำแพงเมืองเก่าแก่ที่อยู่ด้านหลังสั่นสะเทือนจนค่อยๆ พังทลายลงมา
หลงเทียนเซียวที่อยู่ห่างไกลออกไปก็ได้ทอใบหน้าขาวซีดมองมาที่วงต่อสู้อันวุ่นวาย ภายใต้การสั่นไหวอย่างรุนแรงสายนั้นได้ทำให้พลทหารบางส่วนถึงกับเกิดอาการปวดเศียรเวียนเกล้าจนสลบเหมือดไปตามๆ กัน
ทะเลทรายที่ปกคลุมบนพื้นที่กว้างก็ได้ก่อเป็นพายุหมุนขนาดมหึมา ฝุ่นละอองฟุ้งกระจายไปทั่วทุกสารทิศจนไม่อาจมองเห็นเงาร่างของพวกเขาได้เลย เพียงแต่สัมผัสได้ถึงขุมพลังอันน่าหวาดกลัวที่กระจายไปทั่วทุกหนแห่ง
“ตูม”
การโจมตีของทั้งสองฝ่ายกวาดผืนทะเลทรายขนาดใหญ่จนราบเป็นหน้ากลอง เงาร่างทั้งสี่สายกระเด็นถอยออไปไกลจากกันหลายสิบจั่ง
หากยังตกอยู่ภายใต้สามรุมหนึ่งเช่นนี้คงจะต้องย่ำแย่อย่างแน่นอน เพราะพลังทั้งหมดคงจะใช้ออกไปได้ไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น หรือหากจะจบศึกในครั้งนี้ให้เร็วที่สุดก็มีพลังไม่เพียงพอเนื่องจากดาบทลายมารนั้นใช้พลังที่มากเกินไปนั่นเอง
และทันใดนั้นหลงเฉินก็สัมผัสได้ว่ามีเงาร่างอีกสิบสายกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ทั้งยังเป็นถึงยอดฝีมือที่มีพลังอยู่ในขอบเขตปรือกระดูกทั้งหมดอีกด้วย
หลงเฉินจึงได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึกคำหนึ่ง ในเมื่อมาเพื่อปกป้องก็จะต้องทานรับเอาไว้จนถึงที่สุด ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้น ฉะนั้นจึงต้องรีบสะสางเฒ่าชรากลุ่มนี้ให้จงได้ ทันใดนั้นเองพลังภายในจุดดารากักวายุก็ไหลเวียนขึ้นมาอย่างรวดเร็วพร้อมที่ใช้เบิกสวรรค์ออกมา
“กรงขังแห่งฟ้าดิน”
ทว่าจู่จู่ก็ได้เสียงอันคุ้นหูดังแทรกการต่อสู้ขึ้นมาจนทำให้หลงเฉินต้องทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง
.