หลังจากนั่งลงครู่หนึ่ง ไคลน์ยกมือขึ้นลูบหน้าผาก ตามด้วยการลุกยืนและเดินถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าไปในสายหมอก
ชายหนุ่มเสกเกอร์มัน·สแปร์โรว์และทำทีสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูล ส่งต่อข้อความไปยังเดนิสและเฮอร์มิท แคทลียาตามลำดับ
สำหรับรายแรก เป็นคำเตือนให้ระวังลัทธิเร้นลับ แม้ไคลน์ไม่คิดว่าซาราธจะจ้องเล่นงานเดนิสโดยตรง แต่ชายคนนี้มีจุดเชื่อมโยงกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ การตักเตือนไว้จึงไม่ใช่เรื่องเสียหาย – ในฐานะจอมอาคมพิสดาร ไคลน์พอจะรู้จักอุปนิสัยของเส้นทางนักทำนายเป็นอย่างดี โดยเชื่อว่าบุคคลที่สามารถเลื่อนลำดับไปได้ไกลจะต้องมีความรอบคอบสูงมาก จริงอยู่ บางคนอาจพึ่งพาโชคจนถึงลำดับสูง แต่สำหรับเทวทูตลำดับ 1 อย่างซาราธ ความระวังตัวของชายคนนี้ย่อมไม่ธรรมดา
ในสถานการณ์ปัจจุบัน สำหรับเทวทูตซึ่งมีข้อมูลในมือพอสมควร เดนิสนั้นไม่ต่างอะไรกับ ‘เหยื่อล่อ’ ตัวใหญ่ ใหญ่เกินไปจนน่าสงสัยว่าจะเป็นกับดัก ซาราธจึงไม่บุ่มบ่ามเข้าหาเดนิส แต่จะส่งคนของลัทธิเร้นลับมาสืบข่าวไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
ในทำนองเดียวกัน สารจากไคลน์ถึงแคทลียาก็มีเนื้อหาค่อนข้างคล้ายคลึง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก สิ่งสำคัญคือการขอให้เธอช่วยติดต่อราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดตในทันที แจ้งว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ต้องการนัดพบโดยด่วน นอกจากนั้น ไคลน์ยังแจ้งพลเรือเอกดวงดาวว่า ชุมนุมทาโรต์ในสัปดาห์ถัดไปจะถูกเลื่อน จึงต้องการให้เธอตัดสินใจว่าจะซื้อสูตรโอสถของเส้นทาง ‘นักเพาะปลูก’ หรือไม่ ทั้งลำดับห้าดรูอิดและลำดับสี่ นักถลุงโลหะโบราณ
…
เขตตะวันตกของทะเลคลั่ง เกาะไซรอส
เดนิสซึ่งอยู่ระหว่างภารกิจรวบรวมเบาะแสของพลเรือโทโรคภัย กำลังอยู่ในท่าถือแก้วเบียร์สีทอง แต่ทันใดนั้น ใบหน้าของมันพลันเคร่งขรึม
“มีอะไร? นายเห็นหน้าใครบางคนจนหวนนึกถึงประสบการณ์ที่ยากจะอธิบายในอดีต?” แอนเดอร์สันเขย่าแก้วแลงติร้อนแรงที่กลั่นด้วยมอลต์ พลางหัวเราะในลำคอเพื่อเย้ยหยันเดนิสซึ่งมีสีหน้าแปลกไป
เดนิสจิบเบียร์ ก่อนจะใช้หลังมือเช็ดปากและกล่าวด้วยสีหน้าค่อนข้างดำมืด
“หลังจากนี้พวกเราต้องคอยระวังคนของลัทธิเร้นลับ…”
นับตั้งแต่รู้จักกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ มันมักได้ยินประโยคที่คล้ายคลึงกันบ่อยครั้ง ส่งผลให้อากัปกิริยาตื่นตระหนกในช่วงต้น เหลือแค่สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
มันสงสัยว่าสักวันหนึ่ง ตนอาจถูกหมายหัวจากทุกองค์กรบนโลก ยกเว้นเพียงองค์กรของเดอะฟูลแห่งเดียว
แอนเดอร์สันมองเดนิสหัวจรดเท้าสองสามรอบ จากนั้นก็หัวเราะ
“ในบางครั้ง เกอร์มัน·สแปร์โรว์ก็เป็นนักล่ามากกว่าฉันเสียอีก… หืม… แปลว่านายเพิ่งติดต่อด้วยวิธีพิเศษสินะ ไม่จำเป็นต้องอัญเชิญผู้ส่งสาร”
ขณะเดนิสเตรียมโต้แย้ง ณประตูทางเข้าโรงแรม คนของอินทิสรีบพรวดเข้ามารายงานข้อความจากโทรเลข
“ฟุซัคโจมตีเบ็คลันด์ และอาณาจักรโลเอ็นได้ประกาศสงครามอย่างเป็นทางการแล้ว!”
ประกาศสงคราม? แอนเดอร์สันและเดนิสมองหน้ากัน อาศัยความพิเศษของเส้นทางตัวเอง พวกมันได้กลิ่นของสงครามใหญ่
…
ฟุซัคโจมตีเบ็คลันด์กับท่าเรือพริสต์ และนั่นทำให้โลเอ็นประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ… กองเรือหุ้มเกราะทั้งสามมิได้อยู่ในท่าเรือในเวลาดังกล่าว จึงไม่เกิดการสูญเสีย ปัจจุบันกำลังทยอยกลับไปยังชายฝั่งโลเอ็น… กองเรือของพลเรือเอกดวงดาวซึ่งแวะเกาะโอลาวี ทำการรวบรวมข้อมูลจำนวนมากจากโทรเลข
ขณะเธอกำลังคิดว่ากลุ่มโจรสลัดของตนควรทำตัวอย่างไร สายหมอกสีเทาไร้ขอบเขตพลันปรากฏขึ้นในการมองเห็นพร้อมกับคำพูดของเกอร์มันสแปร์โรว์
“จงระวังลัทธิเร้นลับ… รวมถึงซาราธ…” แคทลียาซึ่งถือเป็นชาวอินทิสในแง่หนึ่ง ให้ความสนใจกับประเด็นที่สำคัญน้อยที่สุดก่อน
ด้วยเหตุผลข้างต้น เธอจึงไม่คลางแคลงคำขอร้องของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่ต้องการพบราชินีอย่างเร่งด่วน โดยเชื่อว่านั่นคือผลสืบเนื่องจากประเด็นเกี่ยวกับลัทธิเร้นลับและซาราธ
ท้ายที่สุด หญิงสาวขยับริมฝีปากแผ่วเบาพลางกระซิบชื่อโอสถสองชนิด:
“ดรูอิด… นักถลุงโลหะโบราณ… นี่คงเป็นชื่อใหม่ เพราะชื่อเก่าคือ ‘นักถลุงมนุษย์’ …”
แคทลียาเดินไปยังหน้าต่างตามความเคยชินและก้มมองต่ำ ปัจจุบันแฟรงค์·ลีกับ ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์กำลังเอนกายบนกราบเรือเพื่ออาบแดด สีหน้าของรายแรกกำลังผ่อนคลายและสุขสบายสุดขีด แต่ก็มีความฉงนเล็กๆ ในดวงตา ราวกับกำลังขบคิดปัญหาที่แก้ไม่ตก ส่วนรายหลังมีสีหน้าซีดเซียว ริมฝีปากสั่นเทาและมีเห็ดกระจัดกระจายบนเสื้อผ้า
ดรูอิด… นักถลุงโลหะโบราณ… เป็นอีกครั้งที่พลเรือเอกดวงดาว แคทลียาทวนทั้งสองชื่อ ภายในใจอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
ผ่านไปราวสิบวินาที แคทลียาดันแว่นตาหนาเตอะบนดั้งจมูกพลางปลอบใจตัวเอง
มิสเตอร์ฟูลมิได้ห้ามปราบ… แปลว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่…
ด้วยความคิดดังกล่าว แสงดาวพลันสว่างวาบรอบตัวหญิงสาวพร้อมกับโปรยปรายออกไปนอกหน้าต่าง เกิดเป็นบันไดแห่งแสงพาดผ่านห้องกัปตันลงไปยังดาดฟ้าเรือ
แคทลียาเดินลงบันได ตรงไปยังทิศทางของแฟรงค์·ลีและชาฟฟ์
สองสามวินาทีถัดมา แคทลียาถาม
“แฟรงค์… ความฝันของคุณคือสิ่งใด”
แฟรงค์·ลีที่เพิ่งตระหนักว่ากัปตันมาหา รีบยันตัวลุกขึ้น
“ความฝัน?”
‘นักชีววิทยา’ รายนี้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนจะตอบ
“ผมอยากศึกษาเกี่ยวกับดิน พืชผล และเทคนิคการผสมข้ามสายพันธุ์อย่างไร้ขีดจำกัด มนุษย์จะได้ไม่ต้องอดอาหาร ทุกคนจะเท่าเทียม สิ่งที่คนหนึ่งทำได้ อีกคนก็ต้องทำได้ สิ่งคนหนึ่งปลูกได้ อีกคนก็ต้องปลูกได้…”
ได้ยินเช่นนี้ ‘ช่างฝีมือ’ ชาฟฟ์ด้านข้างพยุงตัวนั่งคุกเข่าอย่างเงียบงัน จากนั้นก็อ้าปากและอาเจียน
แฟรงค์·ลีมิได้แยแส
“การจะสร้างโลกแบบนั้น เราต้องมีอาหารและทรัพยากรที่เพียงพอ ผมจึงอยากสร้างสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดที่เอาตัวรอดได้ในทุกสภาพแวดล้อมและทุกเงื่อนไข… ฮุฮุ… แต่ทุกคนย่อมมีรสนิยมของตัวเอง ผมชอบปลา วัว และเห็ดเป็นพิเศษ…”
พลเรือเอกดวงดาว แคทลียายืนฟังคำตอบของแฟรงค์โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า แต่ในระหว่างนั้น เธอดันแว่นตาหนาเตอะบนสันจมูกถึงสามครั้ง
หลังจากเงียบงันสักพัก แคทลียาถาม
“งานวิจัยล่าสุด… คุณอยู่ห่างอีกแค่ก้าวเดียวใช่ไหม”
“ใช่… ตอนนี้ขาดแค่แรงกระตุ้นจากพลังของดรูอิด… ถ้าผมยังหาสูตรโอสถไม่ได้ คงต้องให้ชาฟฟ์ช่วยสร้างสมบัติวิเศษจากตะกอนพลังของดรูอิดที่มีอยู่” แฟรงค์ตอบอย่างใจเย็น
“ไม่! ฉันจะไม่ช่วยนาย! ไอ้ปีศาจ!” ชาฟฟ์ที่คุกเข่าอาเจียนเงียบงัน เงยหน้าขึ้นพลางตะโกนด้วยสีหน้าเจือความกังวล
แคทลียายืนมองฉากตรงหน้าโดยไม่กล่าวคำใด ก่อนจะพลิกฝ่ามือพร้อมกับเสกเหรียญทองออกจากความว่างเปล่า
กิ๊ง!
เหรียญทองถูกดีดขึ้นฟ้าและตกลงบนฝ่ามือแคทลียา ด้านที่หงายขึ้นคือ ‘หัว’
“เกอร์มัน·สแปร์โรว์หาสูตรโอสถให้คุณได้แล้ว ราคาห้าพันปอนด์” แคทลียาเล่ารายละเอียด ราวกับต้องการแจ้งให้ชาฟฟ์ทราบว่า ใครคือ ‘คนร้าย’ ตัวจริงของเรื่องนี้
ดวงตาแฟรงค์·ลีพลันท่วมท้นไปด้วยความปีติ
“เขาเป็นคนดีมาก! เอ่อ… กัปตัน ตอนนี้ผมมีเงินเก็บแค่สามพันปอนด์ คุณช่วยออกอีกสองพันปอนด์ให้ก่อนได้ไหม”
เงินออมเกือบทั้งหมดของแฟรงค์ถูกใช้ไปกับตะกอนพลังดรูอิด ถึงขั้นต้องขายสมบัติบางชิ้น
แคทลียาเงียบงันอีกครั้ง จนกระทั่งสองสามวินาทีถัดมา เธอพยักหน้าตอบรับสายตาคาดหวังจากแฟรงค์
“ตกลง”
…
เขตเหนือ โรงพยาบาลในเครือโรงเรียนแพทย์เบ็คลันด์
ยูโดร่ากำลังนอนบนเตียงโรงพยาบาลด้วยสีหน้าว่างเปล่า ปราศจากความร่าเริงของหญิงสาว
เธอฟื้นจากอาการโคม่าแล้ว แต่ยังไม่ยอมลืมตา ทำเพียงแอบฟังหมอแจ้งกับพ่อแม่ว่า ขาขวาข้างที่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีทางอากาศ คงกลับมาเป็นปรกติไม่ได้แล้ว ทางออกเดียวคือการตัดทิ้ง
นับแต่นั้นเป็นต้นมา เธอเอาแต่นอนนิ่งแม้จะมีผู้คนมากมายแวะเวียนมาเยี่ยม จากบรรดาแขกทั้งหมด มิสออเดรย์แห่ง ‘กองทุนการกุศลเพื่อการศึกษา’ ซึ่งแต่เดิมมาเพื่อเยี่ยมนักเรียนในกองทุนเตียงข้างเคียง ตัดสินใจช่วยออกค่าพยาบาลหลังจากทราบเรื่องของเธอ – อธิการบดีของมหาวิทยาลัยอย่างพอร์ตแลนด์·โมมงต์เองก็สัญญาว่า จะทำขาเทียมรุ่นใหม่ที่ช่วยให้เธอใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปรกติ
แต่เหตุการณ์ดังกล่าวมิได้ขจัดความโศกเศร้าและสิ้นหวังในหัวใจยูโดร่า
เธอยังอายุไม่ถึงสิบแปด ยังไม่ทันได้เป็นสาวงาม ชีวิตของเธอก็สูญเสียขาที่ยาวสลวยซึ่งเคยเป็นความฝัน
ครอบครัวของยูโดร่ามิได้ร่ำรวย บิดาเป็นเจ้าของร้านขายของชำผู้ศรัทธาในวายุสลาตัน เป็นคนหยาบกระด้างและอารมณ์รุนแรง ไม่คิดจะใช้เหตุผลกับผู้หญิง มารดาของเธอทั้งขี้กลัวและร่างกายอ่อนแอ ต้องพึ่งพาเงินจากบิดาในการดำรงชีวิต หากไม่ใช่เพราะเป็นลูกคนเดียว ยูโดร่าคงไม่ถูกส่งเสียให้เล่าเรียน แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นการบังคับให้เข้าโรงเรียนเทคนิคเบ็คลันด์ซึ่งออกมาทำงานได้เร็ว
จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ยูโดร่าพรรณนาถึงความโชคดีที่โรงเรียนเทคนิคเบ็คลันด์ถูกบูรณะใหม่กลายเป็นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเบ็คลันด์ รวมถึงเรื่องที่เธอสอบผ่านและกลายเป็นนักศึกษาเต็มตัว ส่งผลให้ยูโดร่ากลายเป็นหญิงสาวอารมณ์ดีที่มักส่งต่อความสุขให้ผู้คนด้วยบทกวี
ความฝันของยูโดร่าคือการเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเดิม แต่งงานกับสามีที่เธอรักและรักเธอ ระหว่างนั้นก็ใช้เวลากับบทกวีที่ชื่นชอบ พยายามตีพิมพ์ลงนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์
แต่ปัจจุบัน ทุกสิ่งถูกทำลายด้วยระเบิดที่ตกลงมาจากฟากฟ้า เป็นการบดขยี้อย่างโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ยูโดร่าดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าอย่างเงียบงัน ตามด้วยการปล่อยโฮแผ่วเบาราวกับเสียงร้องของลูกสัตว์
เสียงสะอื้นดังขึ้นสักพัก จนกระทั่งยูโดร่าเลิกผ้าห่มลงและเห็นเงารางยืนอยู่ข้างเตียง
ใบหน้ากว่าครึ่งของบุคคลดังกล่าวถูกปกคลุมไปด้วยเห็ด ส่วนอีกครึ่งเป็นหญ้า ในกำลังมือถือไม้เท้าสีไม้
“…” ยูโดร่าร้องไม่ออก หัวใจเต้นแรงราวกับจะทะลุหน้าอกออกมา
เงารางดังกล่าวสัมผัสเธอด้วยปลายไม้เท้า
ทันใดนั้น หัวใจของยูโดร่าเริ่มกลับเป็นปรกติ ขาขวาเย็นเยียบอย่างผิดวิสัย ประสาทสัมผัสกลับคืนมาอย่างน่าประหลาด
เมื่อมองไปที่ข้างเตียงอีกครั้ง เงาดำได้อันตรธานหายไปจากจุดที่เคยอยู่
ท่ามกลางความงุนงง ยูโดร่าลองขยับขาขวาและพบว่าปราศจากความเจ็บปวด ประหนึ่งไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน
เธอดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหน้าอีกครั้ง
หลายสิบวินาทีถัดมา เสียงสะอื้นอันเปี่ยมไปด้วยความหวาดผวา ปีติยินดี และคลางแคลงดังขึ้นจากใต้ผ้าห่ม
………………………………….