บทที่547 ใช่เขาหรือเปล่า
โบสถ์ที่ประดับตกแต่งได้สวยงามประณีต
เด็กโปรยดอกไม้ที่หน้าตาสดใสน่ารัก
บาทหลวงที่ผมหงอกและเคร่งขรึม
เตรียมได้สวยงามเพอร์เฟคจนไร้ที่ติ
เพียงแต่ ในพิธีงานแต่งกลับไม่มีแขกรับเชิญที่ชมพิธีเลย มีก็แต่คนรับใช้หญิงที่ยืนเรียงแถวกันอย่างเรียบร้อยและบอดี้การ์ดที่ยืนเฝ้าอย่างน่าเกรงขาม
งานแต่งที่หรูหรา เงียบเหงาสุดๆ
เย้นหว่านถูกหยูซือห้านจูงมือไว้ ถูกบังคับให้เดินตามฝีเท้าของเขา เดินเหยียบพรมแดงทีละก้าวๆจนมาถึงตรงหน้าบาทหลวง
ไม่มีคำพูดอะไรที่มากกว่า บาทหลวงก็รีบเข้าสู่ประเด็นโดยตรง
“คุณหยูซือห้าน คุณยอมแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้หรือไม่? จะรักเธอ จงรักภักดีต่อเธอ ไม่ว่าเธอจะจน เจ็บป่วยหรือป่วยจนถึงแก่ชีวิต? คุณยินยอมหรือไม่?”
หยูซือห้านยิ้มมุมปาก และตอบด้วยเสียงแน่วแน่ “ยินยอมครับ”
บาทหลวงพยักหน้าแล้วมองมาที่เย้นหว่าน
“คุณเย้นหว่าน คุณยอมแต่งงานกับผู้ชายคนนี้หรือไม่? รักเขา จงรักภักดีต่อเขา ไม่ว่าเขาจะจน เจ็บป่วยหรือป่วยจนถึงแก่ชีวิต? คุณยินยอมหรือไม่?”
เย้นหว่านเม้มริมฝีปากบางไว้ ยืนอยู่กับที่ด้วยสีหน้าเย็นชา ตั้งครึ่งค่อนวันก็ไม่เปิดปากพูดสักที
รอยยิ้มบนใบหน้าของหยูซือห้านแข็งทื่อเล็กน้อย
บาทหลวงสังเกตเห็นบรรยากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก จึงได้ถามซ้ำอีกครั้ง “คุณเย้นหว่าน คุณยินยอมแต่งงานกับผู้ชายคนนี้หรือไม่ครับ?”
เย้นหว่านยังคงสีหน้าเรียบเฉย และเงียบกริบไม่พูดจาอีกเช่นเคย
หยูซือห้านขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ เขาเขยิบไปใกล้เย้นหว่าน และกัดฟันพูดข่มขู่ “รีบพูดสิว่าคุณยินยอม”
เย้นหว่านหัวเราะเยาะ “ที่นี่เป็นคนของคุณหมด งานแต่งมันก็เป็นแค่พิธีเฉยๆ ทำไมต้องเสแสร้งบอกว่ายินยอมด้วย? ฉันขี้เกียจให้ความร่วมมือกับคุณ ฉันขยะแขยง”
คำพูดเฉียบคม ไม่ไว้หน้าเลยสักนิด
สีหน้าของบาทหลวงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มองหยูซือห้านด้วยสายตาที่ค่อนข้างลำบากใจ
ถึงแม้เขาถูกจ้างมาด้วยค่าตัวสูงลิบลิ่ว และไม่ต้องสนใจว่ายินยอมหรือไม่ ก็จะทำให้งานแต่งงานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แต่เขาก็ไม่กล้าฝ่าฝืนความศรัทธาของท้องถิ่น จำเป็นต้องให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวพูดคำยินยอมออกมาจากปากเอง
เขามองหยูซือห้าน เปิดปากพูดเสียงเบาอย่างลังเล “คุณชายหยู คุณเกลี้ยกล่อมเธอหน่อยสิครับ”
หยูซือห้านอารมณ์เสียสุดๆ ตั้งแต่ต้นจนจบเย้นหว่านไม่เคยเชื่อฟังเขาเลย
ถึงตอนนี้ตกอยู่ในมือของเขาแล้วก็ยังเป็นแบบนี้ เขายื่นมือจับข้อมือเธอไว้ ใช้แรงหนักขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียข่มขู่ “เย้นหว่าน อย่าคิดจะมาต่อกรกับผม ไม่งั้น ผมมีสารพัดวิธีให้คุณได้ทนทุกข์ทรมาน”
ความเจ็บปวดส่งผ่านมาจากข้อมือ
เย้นหว่านเจ็บจนสีหน้าซีดลงมาทันที ราวกับข้อมือจะถูกเขาบีบจนหักยังไงอย่างงั้น
เธอพูดอย่างอารมณ์เสีย “ฉันพูดก็ได้”
หยูซือห้านยกมุมปากขึ้นอย่างพึงพอใจ “แบบนี้สิถึงจะน่ารัก”
เขาได้ปล่อยมือของเย้นหว่าน
เย้นหว่านรีบดึงมือกลับ และนวดข้อมือด้วยความเจ็บปวด
บาทหลวงมองดูสถานการณ์นี้ก็ไม่กล้าพูดอะไร ทันใดนั้นเขาได้ถามอีกรอบ “คุณเย้นหว่าน คุณยอมแต่งงานกับผู้ชายคนนี้หรือไม่?”
“ฉัน……”
สายตารังเกียจของเย้นหว่านจ้องมองหยูซือห้านไว้ เธอกัดฟันและพูดด้วยเสียงแน่วแน่ “ฉันไม่ยินยอม!”
พริบตาเดียว รอยยิ้มบนใบหน้าของหยูซือห้านก็แข็งทื่อไว้
ผู้หญิงที่สมควรตายคนนี้!
เขายื่นมือบีบคอเย้นหว่านด้วยความโกรธ
สีหน้าท่าทางของเขาร้ายกาจสุดๆ “คุณนึกว่าคุณไม่พูด ผมก็ทำอะไรคุณไม่ได้แล้วใช่มั้ย?”
เย้นหว่านหายใจติดขัด แต่กลับมีสีหน้าดื้อดึง “ถึงฉันตาย คุณก็ฝันไปเถอะว่าฉันจะพูดคำว่ายินยอม!”
แต่งงานกับหยูซือห้าน สามารถทำให้เธอสะอิดสะเอียนตายได้
หยูซือห้านโกรธเคือง นิ้วมือใช้แรงหนักมากยิ่งขึ้น อยากจะบีบคอเย้นหว่านให้ตาย
ทันใดนั้นเย้นหว่านขาดออกซิเจนทันที
แก้มเธอแดงก่ำ แต่กลับมองหยูซือห้านอย่างดื้อรั้นสุดขีด
บาทหลวงหายใจเข้าทางปาก มองภาพที่อยู่ตรงหน้าอย่างตัวสั่น เขามาเป็นประธานงานแต่ง ไม่ใช่มาดูฆ่าคนนะ
บ่าวสาวคู่นี้แน่ใจเหรอว่าจะแต่งงานกันจริงๆ? ไม่มีความรักให้กันเลยสักนิด เหมือนศัตรูมากกว่าสิไม่ว่า!
แรงของหยูซือห้านเยอะมาก แก้มของเย้นหว่านยิ่งอยู่ยิ่งแดงก่ำ หายใจยิ่งอยู่ยิ่งลำบาก
สายตาของเธอถึงขั้นเริ่มพร่ามัว
หัวใจที่อัดอั้นได้ผ่อนคลายลงไม่น้อย แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน หยูซือห้านฆ่าเธอ ก็ไม่สามารถแต่งงานกับเธอแล้ว
โห้หลีเฉินก็จะมีโอกาสรอดชีวิตแล้ว
“คุณนึกว่าผมจะให้คุณได้ตายสมปรารถนางั้นเหรอ?” เสียงร้ายกาจของหยูซือห้านเหมือนดั่งปีศาจชั่วร้าย
เขาปล่อยคอของเย้นหว่านกะทันหัน จากนั้นหันไปมองบาทหลวงด้วยความดุร้าย และพูดออกคำสั่ง “เธอบอกว่ายินยอม ต่อเลย!”
“อ๋า?” บาทหลวงยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ด้วยสีหน้ามึนตึ๊บ
เจ้าสาวไม่ได้พูดนี่นา!
ถ้าเจ้าบ่าวพูดนี่มันไม่ได้นะ
“คุณชาย กฎหมายของประเทศเราทำแบบนี้…..” ไม่ได้นะ…..
ยังพูดไม่จบ เสียงของบาทหลวงก็ติดอยู่ในลำคอแล้ว
เขามองปืนสีดำที่จ่ออยู่ตรงทรวงอกตัวเองอย่างตื่นตกใจ
“คุณชาย คุณ คุณ…..”
เสียงของเขาสั่นคลอน แม้แต่สีหน้าก็ซีดเหมือนไข่ต้มแล้ว
สีหน้าท่าทางของหยูซือห้านเย็นชา แต่ละถ้อยคำเหมือนดั่งปีศาจชั่วร้าย
“จะทำพิธีต่อ หรือว่าตาย?”
“ผมๆๆ…..ทำพิธีต่อครับ” บาทหลวงเหงื่อแตก และตอบอย่างเสียงสั่น รีบเอาแหวนแต่งงานที่อยู่ข้างๆมาอย่างมือสั่นคลอน
“ตอนนี้….ตอนนี้ก็ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวสวม….สวมแหวนให้กันและกันครับ”
สวมแหวนเสร็จก็เป็นอันจบเสร็จสิ้นพิธี
ลงทะเบียนแต่งงานเสร็จ พวกเขาก็เป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
ทีนี้สีหน้าของหยูซือห้านถึงเปลี่ยนมาดีขึ้นบ้าง มุมปากมีรอยยิ้มที่สุภาพบุรุษและไม่มีพิษไม่มีภัยอีก
เขาหยิบแหวนเจ้าสาวมา และจูงมือของเย้นหว่านไว้อย่างเผด็จการ “เสี่ยวหว่าน พอสวมแหวนแล้ว เราก็จะกลายเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วนะ”
เย้นหว่านยังอ้าปากสูดหายใจอยู่ ก็ถูกหยูซือห้านจับมือเอาไว้แล้ว
หัวใจเธอหนาวสั่นไปทั้งดวง
“ไม่ ปล่อยฉัน!”
เธอขัดขืนอย่างตื่นตระหนกสับสน พยายามคิดจะสลัดมือของหยูซือห้านทิ้ง
แต่แรงของหยูซือห้านเยอะกว่าเธอมาก เขาจูงมือเธอไว้ เธอดึงยังไงก็ดึงไม่ออก
ได้แต่ทนดูหยูซือห้านถือแหวนไว้ และเข้าใกล้นิ้วนางของเธอทีละนิดๆ
พร้อมสวมใส่เข้ามาทีละนิดๆ
แหวนแต่งงานที่เย็นเฉียบนั้น ก็เหมือนกุญแจที่กักขังกรงหนึ่ง ได้วงล้อมเธอไว้
พอสวมแหวนแล้ว เธอก็กลายเป็นสถานะแต่งงานแล้ว ในช่องสถานะ ชื่อของคู่สมรสก็จะกลายเป็นหยูซือห้าน!
พอสวมแหวนแล้ว ชาตินี้เธอก็ต้องราวีไม่เลิกกับหยูซือห้านแล้ว และจะกลายเป็นนกขมิ้นที่เขาเลี้ยงดูและกักขัง
พอสวมแหวนแล้ว โห้หลีเฉินก็ไม่มีพื้นที่ให้พลิกฟื้นอีกแล้ว
เย้นหว่านสีหน้าซีดเซียว หนาวเย็นไปทั้งตัว แต่ขัดขืนยังไงก็ไม่มีประโยชน์
เธอมองแหวนที่สวมใส่เข้ามาที่นิ้วนางทีละนิดๆอย่างสิ้นหวัง
จบเห่แล้ว
ทุกอย่างจบเห่แล้ว
เธอตกอยู่ในกำมือของหยูซือห้านอย่างสิ้นเชิงแล้วจริงๆ
เย้นหว่านหน้ามืด สมองเออเร่อ สิ้นหวังจนปากขมขื่น
“ปัง——”
ในขณะที่แหวนกำลังจะสวมเข้ามาในนิ้วมือของเย้นหว่านหมด เสียงได้ดังสนั่นขึ้นเสียงหนึ่ง ประตูโบสถ์ที่ถูกปิดเอาไว้ ถูกคนกระทืบมาจากด้านนอก
แรงนั้นเยอะมาก ประตูไม้สูงๆสองบานถึงขั้นถูกกระทืบออกจากขอบประตูและตกลงสู่พื้นโดยตรง
ประตูตกลงมาจนกลีบดอกไม้ปลิวขึ้น
เย้นหว่านตกใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นได้หันไปมองที่ประตูทันที ทันใดนั้นม่านตาเธอหดทันที
เธออ้าปากค้างอย่างเหลือเชื่อ สงสัยว่าตัวเองเกิดภาพลวงตา
เขา เป็นเขาได้ยังไง?
เขากลับมาได้ยังไง?
เธอไม่กล้าเชื่อ พริบตาเดียวดวงตาของเธอก็แดงก่ำ เรียกชื่อที่เธอคิดถึงจนจะเป็นบ้าอยู่แล้วออกมาอย่างเสียงสั่น
“โห้หลีเฉิน……”