ตอนที่ 143 อ้วนขึ้น

บทที่ 143 อ้วนขึ้น

โจวชิงไป๋ไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริง ๆ

เขาบอกว่าอยากออกไปกับเธอด้วย แต่หญิงสาวตอบปฏิเสธ และเมื่อเธอกลับมาถึงบ้าน เธอกลับบอกพวกเขาว่าทั้งพ่อทั้งลูกไม่มีจิตสำนึกเอาเสียเลย

เอ่อ ทั้งหมดทั้งมวลมันก็คือตรรกะของเธอล้วน ๆ

แต่ภรรยาของเขาต้องดูแลคนทั้งครอบครัว เธอคงจะเหนื่อยกับเรื่องนี้

ในคืนนั้นเองโจวชิงไป๋จึงกระทำการชดใช้ให้เธอบนเตียงเตาขณะที่พวกเด็กชายนอนหลับอยู่ข้าง ๆ พวกเขา หลินชิงเหอทำได้แต่อดทนสุดชีวิต ไม่กล้าส่งเสียงร้องออกมา

แม้หลินชิงเหออาจจะบ่นบ้างในบางครั้ง แต่เธอก็พอใจในชีวิตของเธอแล้วจริง ๆ

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในมุ้งหรือเรื่องนอกมุ้ง แค่ก ๆ ผู้ชายของเธอก็ดูแลเธอเป็นอย่างดี

วันต่อมาหญิงสาวก็ขอให้โจวชิงไป๋เป็นคนไปรับเนื้อหมูกลับมา ซึ่งทางเม่ยเจี่ยก็ให้เนื้อสามชั้นมา 7 ชั่ง

เนื้อสามชั้น 7 ชั่งนับว่าค่อนข้างเยอะ แต่เมื่อเนื้อสด 1 ชั่ง ได้กลายเป็นเนื้อสามชั้นหมัก มันก็มีน้ำหนักอย่างมากราว 300 กรัมเท่านั้น ซึ่งไม่ถึง 1 ชั่ง

เนื้อสด 7 ชั่งจะหดเหลือแค่ครึ่งเดียว แต่หลินชิงเหอก็ไม่สนใจ

เมื่อนำเนื้อหมูสดกลับมาที่บ้านแล้ว หญิงสาวก็เริ่มหมักเนื้อ เมื่อหมักจนได้ที่เธอก็นำมาแขวนผึ่งให้แห้งตรงด้าน​หลังบ้าน​ มันคงจะพร้อมทานในอีก 10 วัน

“แม่​ครับ​ ถ้าถึงวันแจกจ่ายเนื้อแล้ว แม่ทำอีกนะครับ” เจ้าสามบอก

“แค่ทำในปริมาณพอให้หายอยากกินก็พอแล้ว ลูกยังอยากจะได้มากกว่านี้อีกเหรอ เนื้อสดก็รสชาติดีเหมือนกันนะ” หลินชิงเหอตอบ

ความจริงก็คือการทำเนื้อหมักมันช่างยุ่งยากจนเธอไม่อยากทำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่าเนื้อหมักฝีมือเธอมีรสชาติดีขนาดไหน

ในวันที่ 15 ของเดือน 12 ทางจันทรคติจะเป็นวันที่ฝ่ายผลิตเชือดหมูและแบ่งเนื้อกัน

หมูสองตัวของบ้านโจวชิงไป๋ถูกต้อนออกมาและสร้างความฮือฮาเป็นอย่างมาก เกรงว่าพวกมันน่าจะมีน้ำหนักตัว 200 ชั่งเป็นอย่างน้อย!

หมูตัวอ้วนใหญ่! อุดมไปด้วยเนื้อติดมันจริง ๆ!

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มันสามารถให้แต้มค่าแรงกับพวกเขาได้เป็นจำนวนมาก แต่มันทำให้พวกเขาได้สิทธิเลือกเนื้อส่วนที่ดีที่สุดในตอนแบ่งเนื้ออีกด้วย

หลินชิงเหอไม่เกรงใจใคร เธอมาพร้อมโจวชิงไป๋และบุตรชายทั้งสาม ส่วนท่านพ่อโจวอยู่ที่บ้านดูแลซูเฉิงน้อยขณะที่ท่านแม่โจวติดตามไปด้วย

พวกเขาได้ลำไส้ใหญ่ ตับหมู กระเพาะหมู ซี่โครง และเนื้อติดกระดูกไป

เมื่อเพิ่มสิ่งเหล่านี้เข้าไป มันก็เป็นมูลค่าไม่มาก และในสายตาของคนส่วนใหญ่ในยุคนี้ พวกมันล้วนเป็นของชั้นเลว

การแบ่งเนื้อจะจัดเป็นเนื้อชั้นหนึ่ง เนื้อชั้นรอง และเนื้อชั้นสาม สิ่งที่ได้กล่าวไปทั้งหมดล้วนเป็นเนื้อชั้นสาม

หลินชิงเหอขออวัยวะเหล่านี้เป็นอันดับแรกจากนั้นก็ขอหัวหมู จากนั้นจึงเป็นเนื้อติดมันและเนื้อสามชั้น เช่นเดียวกับเนื้อแดง ซึ่งเนื้อเหล่านี้คือเนื้อชั้นหนึ่งและเนื้อชั้นรอง

โจวชิงไป๋รวมเนื้อเข้าด้วยกันกับส่วนของท่านพ่อโจว ปริมาณเนื้อที่เขาได้จึงดูค่อนข้างมากมาย

ทั้งครอบครัวแบกเนื้อเหล่านี้กลับบ้านและทำให้ทุกคนต้องตาโตกันอีกครั้ง

โดยเฉพาะตอนที่พวกเขาได้ยินเจ้ารองเอ่ยเสนอ “แม่ครับ คืนนี้เราทานหัวหมูตุ๋นดีไหมครับ?”

หัวหมูตุ๋น…

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะเม้มปาก อาหารเลิศรสแบบนั้นทำให้คนกินสามารถกลืนลิ้นตัวเองลงไปได้เลยทีเดียว

แต่คนทั้งหมดไม่มีเวลาจะมาสนใจ พวกเขาต่างรีบต่อแถวเพื่อรับส่วนแบ่งเนื้อหมู

สะใภ้รองได้เนื้อมาเพียงไม่กี่ชั่ง ใบหน้าของหล่อนยังดูถมึงทึงไม่หายยามกลับไปถึงบ้าน ใน 2-3 ปีที่ผ่านมา หล่อนมักจะกลับมาที่บ้านพร้อมกับความโกรธสุมเต็มอกในทุกครั้งที่มีการแบ่งเนื้อ

พี่ชายรองคุ้นชินกับเรื่องนี้แล้ว เมื่อเขาเห็นหล่อนกลับมาในสภาพนี้ เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไร

สะใภ้รองเริ่มสับเนื้อพร้อมกับมีใบหน้าบูดบึ้ง ซึ่งดูแล้วก็ไม่รู้ว่าหล่อนกำลังสับเนื้อหมูหรือสับใครอยู่กันแน่

ส่วนสะใภ้ใหญ่กับสะใภ้สามต่างมีสีหน้าแช่มชื่น และเริ่มลงมือเตรียมอาหารมื้อพิเศษสำหรับคืนนี้

หลินชิงเหอเองก็ยุ่งเหมือนกัน เธอปล่อยให้โจวชิงไป๋เป็นคนจัดการทำความสะอาดกระเพาะหมูกับลำไส้หมู มีเขาอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องให้ท่านแม่โจวช่วย

นอกจากนี้ยังมีหัวหมูอีก โจวชิงไป๋คงจะมาผ่ามันได้

โจวชิงไป๋ง่วนอยู่กับการจัดการสิ่งเหล่านี้ ขณะที่หลินชิงเหอตัดไขมันหมูออกมาเป็นอันดับแรก จากนั้นก็นำไปเจียวสกัดน้ำมัน

มันหมู 5 ชั่งสามารถสกัดน้ำมันหมูออกมาได้ 2 กระป๋อง เรื่องนี้ทำให้ท่านแม่โจวรู้สึกพอใจมาก “หมูตัวนี้ให้น้ำมันเยอะจริง ๆ”

หลินชิงเหอเก็บกระป๋องบรรจุน้ำมันหมูเข้าที่ จากนั้นก็โรยผงเกลือเล็กน้อยลงบนกากหมูแล้วนำลงผัด มันมีรสชาติเยี่ยมยอด อย่างน้อยเด็ก ๆ ก็รู้สึกว่ามันอร่อยมาก

แต่หลินชิงเหอไม่ได้ให้พวกเขาทานมากนัก แค่บางส่วนพอให้หายอยากอาหารเท่านั้น

เพราะช่วงนี้กำลังมีการแบ่งเนื้อหมูกัน หลินชิงเหอจึงไปหาเม่ยเจี่ยเพื่อสะสมเนื้อหมู เธอไม่ได้กักเนื้อไว้บางส่วนเพื่อไว้กินในคราวหน้า จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะตะกละอยากกินเนื้อขึ้นมา

เป็นเพราะพวกเขาอยากกินเนื้อมากนี่เอง จึงไม่ต้องบอกเลยว่าคืนนี้พวกเขาจะกินเลี้ยงกัน

อาหารค่ำมีหัวหมูตุ๋น ไส้ใหญ่หมูผัดผักดอง ตับหมูผัดต้นหอม และขาดไม่ได้เลยคือน้ำแกงกระดูกหมูหัวไชเท้า ทั้งหมดนี้ทานคู่กับอาหารหลักอย่างหมั่นโถวข้าวโพด

ทั้งครอบครัวต่างอิ่มหนำสำราญหลังได้รับประทานแล้ว และไม่มีเศษเหลือแม้แต่ชิ้นเดียว

โดยเฉพาะเนื้อหัวหมูตุ๋น ที่หลินชิงเหอตักซอสพริกออกมาใส่ถ้วยจิ้มประมาณครึ่งถ้วย แม้มันจะมีรสเผ็ด แต่เมื่อจุ่มเนื้อหัวหมูตุ๋นลงไปในซอสพริกมันก็มีรสโอชาน่าพอใจเป็นพิเศษ

หากใครไม่อยากกินเผ็ดก็ไม่ต้องจิ้มกับซอสพริก หากใครชอบกินเผ็ดก็จิ้มได้ตามสบาย

ของอย่างตับหมูและไส้หมูไม่สามารถอยู่ได้นานท่ามกลางอากาศเย็น จึงต้องปรุงพวกมันทั้งหมดและทานในทันที

ยังมีเนื้อหัวหมูอีกเป็นจำนวนมากหลังจากหลินชิงเหอตัดแบ่งออกมาทำอาหาร ซึ่งมันยังเหลืออีกสามในส่วน จานที่พวกเขากินในคืนนี้เป็นเพียงแค่หนึ่งในสี่ของทั้งหมด แต่มันก็ยังเป็นที่น่าพอใจอย่างมากอยู่

เพราะอากาศในตอนนี้ช่างหนาวเหน็บ จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะเก็บของอย่างเนื้อสามชั้นและซี่โครงหมูไว้ก่อน

เช้าตรู่วันต่อมา หลินชิงเหอก็นำกระเพาะหมูออกมาทำอาหาร

ครั้งนี้เธอไม่ได้ทำต้มจืดกระเพาะหมู แต่ทำเป็นอาหารแห้งอย่างกระเพาะหมูตุ๋นแทน นอกจากนี้เธอยังเริ่มสับเนื้อกับโจวชิงไป๋เพื่อเตรียมทำลูกชิ้นหมูด้วย

ไม่นานนักหลังการแบ่งในครั้งนี้ อาหารในบ้านก็มีมากมายอย่างไม่จำเป็นต้องเอ่ย

มันเยอะเสียจนไม่มีพื้นที่ในกระเพาะเหลือสำหรับหมูสามชั้นหมักที่แขวนไว้หลังบ้าน ในเมื่อมีอาหารให้กินมากมายแบบนี้ก็แขวนหมูสามชั้นหมักรอต่อไปได้ ทำไมจะต้องรีบกินด้วยล่ะ?

และในวันที่ 25 ของเดือน โจวเสี่ยวเม่ยก็กลับมาเยี่ยมพร้อมกับซูต้าหลิน

“พ่อกับแม่ทำไมดูอ้วนขึ้นขนาดนี้คะ?” โจวเสี่ยวเม่ยเอ่ยอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นบิดามารดาของตัวเอง

“คุณปู่กับคุณย่าเจริญอาหารดีมากเลยครับ แต่ละมื้อพวกท่านกินจุมาก ตอนนี้พวกท่านไม่ต้องทำงานแล้ว ก็เลยดูอ้วนแบบนี้แหละครับ” เจ้าสามที่ยังเด็กตอบคำถามอย่างไวหลังได้ยินดังนี้

“ฉันได้ยินจากต้าหลินว่าพ่อกับแม่กินข้าวที่บ้านสะใภ้สี่แล้วใช่ไหมคะ?” โจวเสี่ยวเม่ยถาม ส่วนซูต้าหลินนั้นเอาแต่กอดลูกชายไม่ปล่อย

“ใช่แล้วล่ะ เรากินข้าวกับพี่สะใภ้สี่ของแกนั่นแหละ” ท่านแม่โจวตอบ

“งั้นก็ไม่แปลกใจเลยค่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยพยักหน้า “ไม่รู้จะชมฝีมือการทำอาหารของพี่สะใภ้สี่ให้สมใจอย่างไรดี”

“ต้าหลิน เธอกลับมากับเสี่ยวเม่ยได้ก็ดีแล้วล่ะ ทำไมต้องเอาของมาให้ตั้งมากมายขนาดนี้?” ท่านแม่โจวถาม

ครั้งนี้เขานำของกลับมาหลายอย่าง มีไก่ 1 ตัว เนื้อ 2-3 ชั่ง และข้าวกระสอบหนึ่ง แถมยังมีปลาแช่แข็งในถุงตาข่ายหนึ่งตัวและไข่อีกครึ่งตะกร้าด้วย

นอกจากนั้นยังมีนมผงสำหรับซูเฉิงน้อย ลูกอมกระต่ายขาวสำหรับหลานชายและหลานสาว ซึ่งชายหนุ่มนำของเหล่านี้กลับมามากมาย

“มัน…มันจำเป็นน่ะครับ” ซูต้าหลินยิ้มกริ่ม

ชายคนนี้รู้สึกปิติยินดีอย่างมากที่ได้อุ้มลูกชาย เขาไม่สามารถบอกว่าทิศเหนืออยู่ทางไหนได้อีกแล้ว

“ปีนี้เราจะอยู่ค้างจนถึงวันที่เจ็ดของวันปีใหม่เลยน่ะค่ะ เราเลยเอาของกลับมามากหน่อย” โจวเสี่ยวเม่ยอธิบาย

“ส่งของพวกนี้ไปให้พี่สะใภ้สี่ของแกเถอะ ถึงตอนนั้นเราก็ไปกินข้าวด้วยกันที่บ้านของสะใภ้สี่” ท่านแม่โจวพูด

“เรื่องนี้…จะไม่…เป็นปัญหา…กับพี่…พี่สะใภ้สี่เหรอครับ?” ซูต้าหลินเอ่ย

“มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลยนะคะที่จะต้องทำอาหารให้คนหลายคนกิน ฉันต้องไปขอพี่สะใภ้สี่ก่อนค่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยหยิบลูกอมบางส่วนเตรียมไปให้เจ้าใหญ่กับน้อง ๆ จากนั้นก็หันมาพูดกับเจ้าสาม “เจ้าสาม หนูอยากไปกับอาไหมจ๊ะ?”

………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อาหารบ้านแม่อุดมสมบูรณ์ดีจังค่ะ ผู้แปลขอไปร่วมโต๊ะด้วยได้ไหมคะ /โดนคนทั้งบ้านมองแรง/ เอ่อ…ก็ได้ค่ะ ทำกินเองก็ได้ ไม่รบกวนแล้วค่ะ ฮือออ

สะใภ้รองพอเถอะ สับหมูดี ๆ เขียงพังหมดแล้ว

เสี่ยวเม่ยกับต้าหลินมาค้างด้วยยาว ๆ แบบนี้ บ้านแม่ต้องครึกครื้นแน่นอนค่ะ

ไหหม่า (海馬)

Comment

Options

not work with dark mode
Reset