บทที่ 116 ผู้ชายมีน้ำใจ
ภายใต้ดวงดาวฤดูร้อน ทั้งครอบครัวต่างมีความสุขไม่น้อยในคราวนี้ ต่อให้มันจะเป็นวันที่ย่ำแย่ก็ตาม
ไม่ว่าจะเป็นโจวชิงไป๋หรือเด็กชายทั้งสาม
ต่อให้เด็กชายสามพี่น้องนี้จะโตขึ้น และหลอกล่อได้ยากขึ้นก็ตาม
แต่ในภาพรวมแล้ว หลินชิงเหอก็ยังพอใจกับชีวิตในตอนนี้อยู่ดี
พอเห็นว่าได้เวลาแล้ว หญิงสาวก็ลุกขึ้นและตักถั่วเขียวต้มน้ำตาลให้กินทั้งครอบครัว
ถั่วเขียวต้มน้ำตาลข้นหนืดหวานปะแล่มนี้เป็นของชอบของเด็กทั้งสาม หลินชิงเหอต้มให้พวกเขากินหนึ่งหม้อทุกวันในช่วงฤดูร้อนอบอ้าวเช่นนี้
ถั่วเขียวต้มหม้อหนึ่งไม่ได้มีมาก แต่ละคนได้ทานกันเพียงคนละหนึ่งถ้วยเท่านั้น แต่ก็ยังพอใจที่ได้ดื่ม
เมื่อถึงเวลาเข้านอน หลินชิงเหอก็กางมุ้งให้กับเด็ก ๆ
การนอนในมุ้งเป็นเรื่องยุ่งยากนิดหน่อย แต่มันก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอนในมุ้งแบบนี้ยังดีกว่าถูกยุงหาม
หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ก็นอนในมุ้งเหมือนกัน ช่วงฤดูหนาวหญิงสาวชอบนอนใกล้เขาเป็นพิเศษเพราะตัวของเขาอุ่นดีเหมือนเตาผิงในยามอากาศหนาว แต่ในฤดูร้อนแบบนี้เธอทนไม่ได้ คิดอยากจะนอนห่าง ๆ กับเขาสักหน่อย
แต่โจวชิงไป๋ก็ไม่พอใจที่ต้องนอนห่างกันคนละฝั่ง
หลินชิงเหอพบว่าชายคนนี้แข็งกร้าวแต่ภายนอก เขาเงียบมากและสามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่ลึก ๆ แล้วกลับยึดเธอไม่ยอมปล่อย
อย่างเช่นในตอนนอน เธอไม่คุ้นกับการนอนหนุนแขนของเขา แต่เขากลับชอบมาก
แต่ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะทำใจให้ชอบ หลินชิงเหอนอนแบบนี้แล้วไม่สบายตัวจริง ๆ หากต่างคนต่างนอนได้จะดีกว่า
“ร้อน” หลินชิงเหอเอ่ยเมื่อรู้สึกว่าเขาขยับเข้ามาใกล้ขึ้น
โจวชิงไป๋จึงพัดให้เธอ แต่ยังคงนอนกอดเธอไม่ยอมปล่อย
“ภรรยาครับ เมื่อสถานการณ์ข้างนอกสงบเมื่อไหร่ ผมจะพาคุณไปเที่ยวนะ” โจวชิงไป๋บอก
หลินชิงเหอพึมพำกลับด้วยอาการง่วงงุนเล็กน้อย “นั่นยังอีกนานเลยนะคะ”
ตอนนี้เป็นปี ค.ศ. 1971 เธอต้องรอจนถึงปีค.ศ. 1977 กว่าจะมีการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งหมายความว่ายังเหลืออีก 7 ปี ตั้ง 7 ปีเชียวนะ เธอต้องรออีกกี่ชั่วรุ่นกัน
โจวชิงไป๋ไม่ได้ตอบอะไรและยังคงพัดให้เธอ
ขณะที่หลินชิงเหอบังเกิดพลังใจขึ้นมาและเอ่ยขึ้น “ชิงไป๋ คุณไปขอจดหมายแนะนำหรืออะไรทำนองนั้นไว้ใช้เข้าเมืองหลวงได้ไหมคะ?”
“คุณอยากเข้าเมืองหลวงเหรอ?” โจวชิงไป๋เลิกคิ้ว
“ฉันแค่อยากลองไปดูน่ะค่ะ” ดวงตาของหลินชิงเหอกลอกไปมา
ในเมืองหลวงตอนนี้ใครจะรู้ว่ามีของดีมากมายขนาดไหนถือเป็นขยะไร้ค่า เธออยากไปที่นั่นเพื่อดูว่าจะเก็บของอะไรที่ตกหล่นเพื่อจะนำมาเก็งกำไรในอนาคตได้ไหม?
“ปีนี้ผมจะไปดูให้นะ” โจวชิงไป๋บอก
ได้ยินดังนี้ หลินชิงเหอก็ดีใจจนเนื้อเต้นและกอดโจวชิงไป๋ไว้พลางอุทานออกมา “ชิงไป๋ คุณนี่สุดยอดเลยค่ะ”
การที่เขาบอกว่าจะไปดูให้นั่นหมายความว่าเขาตกลง เธอรู้จักสามีของเธอดี
โจวชิงไป๋หัวเราะ “คุณจะตอบแทนผมยังไงล่ะ?”
“ระหว่างคู่สามีภรรยาแล้วจะตอบแทนด้วยอะไรได้ล่ะคะ?” หลินชิงเหอบอก
โจวชิงไป๋จ้องมองเธอ หลินชิงเหอจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเขาหมายความว่าอะไร เธอจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างขัดเขิน “คุณไม่เหนื่อยเหรอคะ?”
“ไม่เหนื่อย” โจวชิงไป๋ตอบชัดเจน
ในเมื่อเขาไม่เหนื่อย งั้นก็ทำกันเลยแล้วกัน
ท่าทางในคืนนี้ต่างจากครั้งที่ผ่าน ๆ มา เหมือนกับประตูสู่โลกใหม่ที่เปิดโลกของโจวชิงไป๋
หลังจากนั้นหลินชิงเหอก็ประเมินตัวเองแล้วว่า ถ้าไม่ทำก็ไม่ตาย
ทำไมเธอถึงไม่ทำอะไรอย่างอื่นนะ? ทำไมเธอถึงต้องลองท่าทางใหม่นี้กับเรื่องพรรค์นี้ด้วย? ตอนนี้เธอทำมันลงไปแล้ว ทันทีที่เขาเชี่ยวชาญเรื่องนี้ มันก็เป็นเรื่องง่ายที่เขาจะตามทัน ซึ่งบางครั้งมันก็ทำให้เข่าทั้งสองข้างของเธอถึงกับถลอก!
หากถามว่าทำอะไรกัน เธออธิบายไม่ได้หรอก
วันนั้นเองหลินชิงเหอก็ได้พาสามพี่น้องเข้าไปในอำเภอ
เจ้าสามนั่งตรงเก้าอี้เด็กที่ทำเป็นพิเศษด้านหน้าจักรยาน ส่วนเจ้าใหญ่กับเจ้ารองนั่งซ้อนท้าย ถึงจะเป็นอย่างนั้นมันก็ยังตัดกำลังของหลินชิงเหอขณะปั่นจักรยานพาสามพี่น้องเข้าไปในอำเภอ
ตลอดทางมีพื้นที่ลาดชันสูงอยู่มาก เธอต้องให้เจ้าใหญ่กับเจ้ารองลุกออกจากจักรยานเวลาปั่นขึ้นเนินจากนั้นก็ค่อยนั่งซ้อนท้ายต่อ
เมื่อพวกเขามาถึงตัวอำเภอ หญิงสาวก็ซื้อไอศกรีมให้พวกเขาคนละแท่ง แล้วก็ให้พวกเขานั่งรอตามกฏเดิม
“แม่ไปทำอะไรน่ะ?” เจ้าใหญ่ถามขณะทานไอศกรีมแสนอร่อย
“ไม่รู้เหมือนกัน” เจ้ารองส่ายหน้า เขากับเจ้าสามชินกับเรื่องนี้แล้ว
“รอแม่เถอะ” เจ้าสามบอก
ดูจากสายตาของน้อง ๆ แล้ว เจ้าใหญ่ก็ไม่ได้ถามต่อ เพราะพวกเขาไม่รู้จริง ๆ ต่อให้เขาจะเค้นถามก็ตาม
การที่เธอมีพื้นที่มิติกับตัวทำให้หลินชิงเหอมีความปลอดภัยมากขึ้นหลังถูกตรวจสอบซ้ำนับตั้งแต่ที่เธอเริ่มขายเนื้อหมู
เพราะระหว่างที่ได้รับการตรวจค้นมันไม่มีอะไรจริง ๆ ก็เลยไม่มีอะไรต้องพูด
แต่เรื่องนี้ทำให้หลินชิงเหอจำขึ้นใจถึงกฎระเบียบของยุคนี้ เธอจึงทำตัวให้เป็นปกติที่สุดและไม่กล้าเอ่ยอะไร
หญิงสาวตกลงกับชิงไป๋ของเธอ ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นมา เธอก็จะปิดธุรกิจของเธอเสีย
แต่จะทำนั้นได้อย่างไร? เธอค้นพบหนทางทำเงินแล้วหลังผ่านความยากลำบากตั้งมากมาย อย่าได้ประมาทว่าเธอมีเวลาเดินทางเข้าอำเภอสองหรือสามครั้งต่อเดือนเชียว เงินที่เธอได้มาจากการขายเนื้อหมูนั้นมากกว่าเงินเดือนพนักงานโดยเฉลี่ยเสียอีก
ถ้าเธอหาคูปองเนื้อได้เธอก็จะรับมันไว้ ถ้าไม่ เธอก็จะขึ้นราคาของทีละน้อย
หลินชิงเหอพุ่งเป้าไปที่กลุ่มหญิงชราโดยเฉพาะ หญิงชรากลุ่มนั้นจะผ่านร้อนผ่านหนาวมามากและจะไม่สร้างปัญหา สิ่งสำคัญที่สุดก็คือพวกนางจะต้องมีหลาน ๆ อยู่ที่บ้าน เป็นแบบนี้แล้วพวกนางจะต้องการเนื้อมากขนาดไหนกันล่ะ?
ต่อให้มันเป็นแค่เศษเนื้อ มันก็ยังถือว่าเป็นของล้ำค่า
พวกนางต้องการซื้อเนื้อเพื่อให้หลานชายกับหลานสาวตัวน้อย ๆ ได้กิน แล้วเหตุใดพวกนางถึงจะก่อปัญหา? กลับเอาตัวเองเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
หลินชิงเหอใช้เวลาไปครึ่งชั่วโมงในการระบายขายเนื้อหมู
เมื่อหญิงสาวกลับมาหาลูก ๆ เธอก็พบว่าซูต้าหลินกำลังจอดจักรยานและเดินมาหาเด็ก ๆ
“พี่…พี่สะใภ้สี่” ซูต้าหลินรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นหลินชิงเหอกลับมา
เขาเพิ่งขี่จักรยานผ่านไปแล้วเห็นหลาน ๆ ของภรรยา เขาเลยหยุดจอดและยืนรอ
“น้องเขยเดินทางผ่านมาเจอเหรอจ๊ะ?” หลินชิงเหอเห็นสายตานั้นก็เข้าใจและยิ้มให้
“ผ่าน…ผ่านมาเจอครับ” ซูต้าหลินยิ้มกริ่ม
“ลูกเพิ่งกินไอติมไปหมาด ๆ แล้วก็ขอให้คุณอาซื้อให้อีกเหรอ?” หลินชิงเหอจ้องมองเด็กชายทั้งสาม
“ไม่…ไม่เป็นไรหรอกครับ…แค่…แค่ไอติมไม่กี่แท่งเองครับ” ซูต้าหลินแย้งอย่างรวดเร็ว
“แล้วขอบคุณคุณอาแล้วหรือยัง?” หลินชิงเหอพูด
“ขอบคุณแล้วครับ!” เจ้าใหญ่ผู้เป็นหัวหน้าน้อง ๆ เอ่ยในทันที
จากนั้นหลินชิงเหอจึงคุยกับซูต้าหลินสักเล็กน้อย แล้วก็ทราบว่าตอนนี้โจวเสี่ยวเม่ยกำลังท้องแก่ ลองนับเดือนดู เท่ากับว่าตอนนี้หล่อนท้องได้ 7 เดือนกว่าแล้ว
นับว่าหล่อนท้องได้หลายเดือนแล้วเหมือนกับสะใภ้สาม
หลังพูดคุยกันเล็กน้อย ซูต้าหลินก็กลับไป จากนั้นหลินชิงเหอก็กวาดสายตามองเด็ก ๆ “รู้ตัวไหมว่าทำอะไรผิด?”
“เราไม่คิดว่าคุณอาจะให้ไอติมนี่ครับ เขาตั้งใจซื้อให้ด้วยตัวเองแล้วมันก็จะน่าเสียดายหากเราไม่ได้กิน” เจ้ารองบอก
“ผมสัญญาครับว่าจะไม่มีครั้งหน้าอีก!” เจ้าใหญ่เอ่ยเสียงดังฟังชัด
“ไม่อร่อย” คราวนี้เป็นการประเมินจากเจ้าสาม
หลินชิงเหอกระแอมก่อนจะถามคำถามกับพวกเขา “ถ้าเป็นคนอื่นให้ไอติมอร่อย ๆ แบบนี้ล่ะ? ลูกจะรับไว้ไหม?”
“จะเป็นไปได้ยังไงครับ?” เจ้าใหญ่ตอบทันควัน
“ใช่แล้ว เป็นใครยังไม่รู้จักเลย ผมไม่กินอาหารจากคนอื่นอยู่แล้วล่ะครับ” เจ้ารองเอ่ยเช่นกัน
“ไม่กิน!” เจ้าสามเอ่ย
ได้ฟังดังนี้ หลินชิงเหอก็พักเรื่องนี้ไว้
………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พ่อไป๋คือพ่อบุญทุ่มจริง ๆ ค่ะ ภรรยาอยากได้อะไรตามใจหมด
เอ่อ…แม่คะ แม่บอกว่าจะไม่ชี้แจงรายละเอียดว่าทำอะไรกับพ่อไม่ใช่เหรอคะ ทำไมผู้แปลอ่านแล้วก็ได้แต่ยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ในใจ…ใช่สิ ฉันมันคนใจบาป 555
โชคดีที่เป็นต้าหลินผ่านมานะคะเนี่ย ถ้าเป็นคนอื่นนี่ไม่อยากจะคิด แต่เด็ก ๆ ก็ฉลาดพอตัว คงไม่รับของจากคนแปลกหน้าหรอกมั้งคะ
แม่จะลงโทษเด็กๆ อย่างไรบ้าง ติดตามตอนหน้าค่ะ
ไหหม่า (海馬)