เมื่อผลการตัดสินของฉินมู่หรานมาถึงจวนเสนาบดี น้ำตาของนายหญิงผู้เฒ่าฉินกับต่งซื่อฮูหยินเสนาบดีฉินก็ไหลไม่ขาดสาย รื้อบรรพบุรุษแปดชั่วโคตรของผู้พิพากษาศาลต้าหลี่จ้าวเฉิงซวี่ออกมาด่าหนึ่งรอบ “คนแซ่เฮยจิตใจดำผู้นั้น ผีอายุสั้นผู้นั้น เหตุใดถึงได้เกลียดหลานสุดรักของข้า ภรรยาเหล่าต้า เจ้าเข้าวังไปคุยกับเหนียงเหนียงแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงยังตัดสินให้เนรเทศอีกเล่า ตั้งแต่เล็กหลานสุดรักของข้าก็ไม่เคยห่างจากสายตาของย่าอย่างข้าเลย นี่ไม่ใช่เป็นการทำลายชีวิตของข้าหรือ”
ต่งซื่อก็เจ็บใจราวกับถูกมีดฟัน “เหนียงเหนียงของเราก็พูดอยู่ว่าหรานเอ๋อร์จะไม่เป็นไร ลูกเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเปลี่ยน หรานเอ๋อร์ผู้น่าสงสารของข้าต้องทนรับความลำบากมากเพียงใด!” นางไม่เพียงแต่ปวดใจ ซ้ำยังเป็นกังวล เส้นทางการเนรเทศเดินง่ายเพียงนั้นหรือไร ระหว่างการเดินทางคนมากน้อยเพียงใดที่เดินยังไม่ถึงครึ่งชีวิตก็หาไม่แล้ว
ไม่อาจตำหนิซูเฟยเหนียงเหนียงที่จัดการไม่ดี นายหญิงผู้เฒ่าด่าจ้าวเฉิงซวี่เสร็จก็เปลี่ยนมาด่าลูกชายต่อ “ไป ไปดูสิว่าท่านเสนาบดีของพวกเจ้าทำอะไรอยู่ วันทั้งวันเอาแต่ยุ่งๆๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขายุ่งอะไร แม้แต่เรื่องของลูกตัวเองยังไม่ใส่ใจ เขาจะทำให้ข้าโมโหตายใช่หรือไม่” อารมณ์ฮึกเหิมเกินไป นางไอออกมาอย่างแรง
ต่งซื่อรีบเข้าไปช่วยนางระบายความโกรธ “ท่านแม่ท่านต้องระงับโทสะให้ได้ หากท่านเป็นอะไรไป ใครจะตัดสินใจให้หรานเอ๋อร์เล่า ท่านแม่ ลูกฟังว่าครั้งนี้แม่นางตระกูลจางที่หนีไปผู้นั้นเป็นพยานหรานเอ๋อร์ในศาล ท่านเสนาบดีเองก็หมดหนทางเช่นกัน” เทียบกับนายหญิงผู้เฒ่าฉิน ต่งซื่อรู้มากกว่านางเล็กน้อย
เมื่อได้ยินคำพูดของต่งซื่อ นายหญิงผู้เฒ่าฉินก็มีสีหน้าดุร้าย “แม่นางตระกูลจางอะไรนี่ก็ไม่ใช่คนดี ตระกูลพวกเรารับปากให้นางเข้าจวนแล้ว นางจะเอาอย่างไรอีก หญิงชั่วให้เกียรติไม่เอาเกียรติ นางทำร้ายหลานชายสุดรักของข้า เช่นนั้นนางก็อย่าได้คิดจะอยู่อย่างสงบเลย” นางตบพนักเก้าอี้อย่างหนักหน่วง “วันนี้ข้าจะฝังพวกเขาทั้งครอบครัวลงไปพร้อมกันหลานชายสุดรักของข้า ภรรยาเหล่าต้า เจ้าสั่งคนไปจัดการเรื่องนี้เสีย” ในเมื่อหรานเอ๋อร์ต้องถูกเนรเทศ เช่นนั้นตระกูลจางก็ไม่จำเป็นต้องอยู่อีกต่อไป คิดว่าจวนเสนาบดีรังแกง่ายหรืออย่างไร
คำพูดนี้ตรงใจของต่งซื่อพอดี นางกัดฟันกล่าว “เจ้าค่ะ ท่านแม่วางใจ ลูกทราบแล้ว”
“ไม่ต้อง” ท่านเสนาบดีฉินที่ถูกเรียกเข้ามาได้ยินประโยคนี้พอดี เอ่ยปากห้ามปราม
นายหญิงผู้เฒ่าฉินกับต่งซื่อไม่เข้าใจ “เหล่าต้า หรานเอ๋อร์ยังเป็นลูกเจ้าอยู่หรือไม่ เจ้าทนความโกรธนี้ได้ แต่ข้าทนไม่ได้”
ต่งซื่อเองก็มองสามีของตนอย่างสะอึกสะอื้นไห้ “ท่านเสนาบดี ต่อให้หรานเอ๋อร์จะไม่ได้เรื่องแต่นั่นก็เป็นเลือดเนื้อที่ข้าตั้งครรภ์มาสิบเดือนเพื่อคลอดออกมาให้ท่าน จิตใจของท่านเสนาบดีโหดเ**้ยมเกินไปแล้วหรือไม่”
เห็นแม่เขาเสียใจจนแทบหมดสติ ท่านเสนาบดีฉินก็รีบพูด “ท่านแม่อย่าเพิ่งร้อนใจ ลูกไม่ใช่ไม่อยากจัดการตระกูลจางนั้น วันนี้ออกมาจากศาลต้าหลี่ ลูกก็แอบส่งคนไปจับตาดูละแวกตระกูลจาง แต่คนที่ส่งไปกลับมารายงาน ตระกูลจางทั้งตระกูล แม้แต่ครอบครัวคู่หมั้นของจางหยวนเหนียงผู้นั้น ต่างก็หายไปหมดแล้ว”
ตอนที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาดวงตาของนายท่านเสนาบดีฉินก็เคียดแค้น ท่านเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่เช่นเขาคาดไม่ถึงว่าเรือคว่ำในร่องน้ำสายเล็ก เรื่องนี้หากบอกว่าไม่มีคนวางแผนอยู่เบื้องหลัง เขาก็คงจะปักศีรษะลงดินเป็นลูกบอลให้เตะแล้ว
“อะไรนะ หายไปหมดแล้วหรือ เหล่าต้า เรื่องนี้มันเกิดอะไรขึ้น” เมื่อนายหญิงผู้เฒ่าฉินได้ยินก็จับลูกชายของนางแล้วถามทันที หากหาตระกูลจางนั่นไม่เจอแล้ว ความทุกข์ยากที่หลานสุดรักของนางได้รับใช่จะเสียเปล่าหรือไม่
ต่งซื่อเองก็กล่าว “ก็แค่สกุลชั่วทั้งตระกูล จะวิ่งหนีไปไหนได้ ท่านเสนาบดีไม่สั่งคนให้หาหรือ”
ดวงตาของท่านเสนาบดีฉินกะพริบวาบ หาหรือ เขาย่อมสั่งคนไปหาแล้ว แต่ไหนเลยจะหาเจอ! เขาควบคุมน้ำเสียงกล่าว “ท่านแม่วางใจ เรื่องนี้ลูกไม่ยอมให้จบแบบนี้แน่นอน” ต่อให้พวกเขาสองตระกูลจะหลบอยู่ในรูหนู เขาเองก็ต้องจับคนออกมาให้ได้
จากนั้นก็กล่าวปลอบ “แม้จะบอกว่าเนรเทศ แต่ก็เพียงแค่ห้าร้อยลี้ หลานจื่อเฉินในตระกูลก็เป็นข้าหลวงประจำจังหวัดอยู่ที่นั่น ข้าเรียบเรียงหนังสือหนึ่งฉบับให้คนส่งไปแล้ว ให้เขาดูแลหรานเอ๋อร์ให้ดี ส่วนระหว่างเดินทาง พวกเราก็เพิ่มเงินติดสินบนเจ้าหน้าที่คุมตัวให้มากหน่อย ส่งคนในตระกูลหลายคนติดตามไป หรานเอ๋อร์ไม่ลำบากอะไรหรอก” เขาวางแผนไว้ดีแล้ว
ได้ยินท่านเสนาบดีฉินพูดเช่นนี้ สีหน้าของนายหญิงผู้เฒ่าฉินกับต่งซื่อก็ดีขึ้นเล็กน้อย นายหญิงผู้เฒ่าฉินก็ยิ่งจับมือลูกชายแล้วกล่าว “เหล่าต้า ไม่มีวิธีอื่นหรือ หรานเอ๋อร์ไม่ไปไม่ได้หรือ พวกเราให้เงินเพิ่มอีก…” นางกระทั่งเกิดความคิดโยนความผิดให้แพะรับบาป
ทว่ากลับถูกท่านเสนาบดีฉินปฏิเสธทันควัน “ท่านแม่ เกรงว่าจะไม่ได้ ท่านต้องรู้ว่า หรานเอ๋อร์เพียงแค่ถูกตัดสินให้เนรเทศไปเพียงห้าร้อยลี้ อีกทั้งที่ที่ถูกเนรเทศยังเป็นอาณาเขตของพวกเขา นี่ล้วนแต่เป็นผลจากการที่ซูเฟยเหนียงเหนียงกับองค์ชายรองออกหน้าจึงได้มา” หากได้คืบจะเอาศอกอีก เขาเองก็กลัวจะยั่วยุคนที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง!
“เช่นนั้นเหล่าต้าเจ้าต้องส่งคนในตระกูลสองคนที่มีความสามารถมากไปดูแล อย่าให้หลานสุดรักของข้าลำบาก” นายหญิงผู้เฒ่าฉินกำชับ “ต่อให้จะต้องใช้เงินมาก็ไม่เป็นไร อีกประเดี๋ยวเหล่าต้าก็เอาทรัพย์สินส่วนตัวหนึ่งหมื่นตำลึงนี้จากแม่ไป”
ท่านเสนาบดีฉินปฏิเสธอย่างต่อเนื่อง “ท่านแม่ ไม่ต้อง หรานเอ๋อร์เป็นลูกข้า จะใช้เงินส่วนตัวของท่านได้อย่างไร”
ทว่านายหญิงผู้เฒ่าฉินกลับไม่ซาบซึ้ง ถลึงตากล่าว “ข้ายินดีให้เงินหลานสุดรักของข้าแล้วอย่างไร คนแก่อย่างข้าน่าสงสารไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีชีวิตอยู่ถึงวันที่หลานสุดรักกลับมาหรือไม่” เบือนหน้าไปเช็ดน้ำตาอีกครั้ง
ท่านเสนาบดีฉินทำสีหน้าเหยเกทันที กล่าวประนีประนอม “ขอรับๆ แล้วแต่ท่านแม่” พลางส่งสายตาให้ต่งซื่อข้างๆ บอกเป็นนัยให้นางรีบปลอบนายหญิงผู้เฒ่า
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ต่งซื่อกับนายหญิงผู้เฒ่าฉินแม่สามีลูกสะใภ้คู่นี้มีท่าทีลำเอียงต่อเรื่องของฉินมู่หรานเหมือนกัน บ้านใหญ่เองก็เป็นเพราะฉินมู่หรานจึงได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย ต่งซื่อไม่อยากสูญเสียที่พึ่งที่สำคัญนี้ไป รีบยกมุมปากกล่าว “ท่านแม่ในใจท่านคิดถึงหรานเอ๋อร์ ข้ากับท่านเสนาบดีก็มีเพียงความซาบซึ้งดีใจ ท่านอย่าได้เสียใจไปเลย บำรุงกำลังวังชาให้ดี รอวันที่หรานเอ๋อร์ออกจากเมืองหลวงพวกเราก็ไปส่งเขา หากให้เขาเห็นท่านซีดเซียว เขาก็คงจะไปด้วยความไม่สบายใจ!”
คำพูดนี้พูดกระทบส่วนลึกในใจของนายหญิงผู้เฒ่าแล้ว “ใช่ ใช่ ข้ายังต้องไปส่งหลานสุดรักของข้า หลานสุดรักของข้าเป็นเด็กที่มีจิตใจดีที่สุดแล้ว ข้านอนไม่หลับแค่คืนเดียวเขาก็ดูออก” นึกถึงภาพที่หลานชายอยู่ตรงหน้าเมื่อก่อน น้ำตาของนายหญิงผู้เฒ่าฉินไหนเลยจะเก็บได้อยู่
ท่านเสนาบดีฉินยังคิดจะตามหาตระกูลจางและตระกูลซั่งออกมาให้ได้ เขาไหนเลยจะรู้ว่าภายใต้ความช่วยเหลือของเสิ่นเวย ตระกูลจางกับตระกูลซั่งได้ทำหลักฐานการเดินทางและทะเบียนบ้านเรียบร้อยเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ย้ายออกไปพันลี้นานแล้ว
ปัญญาชนแซ่จางได้ยินที่ลูกสาวเล่า ทั้งยังนึกถึงชายวัยกลางคนที่ช่วยเหลือดูแลพวกเขาทุกอย่างและส่งพวกเขาออกไป ในใจก็มั่นใจว่าพวกเขาสองตระกูลได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลสูงส่ง มิเช่นนั้น อย่าว่าแต่จากมาอย่าสงบ คาดว่าพวกเขาคงจะไม่เหลือแม้แต่ชีวิตแล้ว
“ส่งออกไปแล้วหรือ” เสิ่นเวยถามเสี่ยวตี๋ที่กลับมารายงาน
เสี่ยวตี๋พยักหน้า “คนของพวกเราเห็นตระกูลจางกับตระกูลซั่งขึ้นเรือกับตา มุ่งไปทางตะวันตกแล้ว ส่วนพวกเขาจะเลือกไปอยู่ที่ใด นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเขาเองแล้ว” สามารถช่วยถึงขั้นนี้ได้ ก็นับว่าจวิ้นจู่เมตตาเป็นพิเศษแล้ว
เสิ่นเวยพยักหน้าบอกเป็นนัยว่ารับรู้ จากนั้นจึงถาม “ใช่แล้ว ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของจวนเสนาบดีฉินมีอะไร ศาลบรรพบุรุษหรือ เจ้ามั่นใจหรือว่ามีเพียงแค่ศาล”
เสี่ยวตี๋เม้มปากกล่าว “ถูกต้อง จวิ้นจู่ นอกจากศาลาริมน้ำหนึ่งหลังแล้วก็มีเพียงศาลบรรพบุรุษ ข่าวที่คนสามคนส่งออกมาล้วนเหมือนกัน”
เสิ่นเวยหลุบตา ท่าทางคล้ายครุ่นคิด ครึ่งเค่อจึงกล่าว “อืม ให้พวกเขาจับตามองศาลาริมน้ำกับศาลบรรพบุรุษ สังเกตการณ์เคลื่อนไหวของท่านเสนาบดีฉินให้มาก” ตั้งแต่ต้นจนตอนนี้นางมีความสงสัยต่อการกระทำของท่านเสนาบดีฉินในคืนนั้น
ขุนนางใหม่สร้างปรากฎการณ์ สวีโย่วก็ไม่เว้นเช่นกัน หลังวันเกิดของเสิ่นเวยผ่านไปคบไฟอันแรกของเขาก็ลุกไหม้โชติช่วงขึ้นมา เริ่มปรับปรุงราชนิกุลและบุตรหลานสูงศักดิ์ที่เกียจคร้านในกองปัญจทิศรักษานคร
ในอดีต แม้ว่ากองปัญจทิศรักษานครจะมีจำนวนคนไม่น้อย แต่ที่ทำงานจริงๆ กลับมีไม่เยอะ บางคนก็มีเบื้องลึกเบื้องหลัง เพียงแค่มีชื่อไว้ประดับก็เท่านั้น หนึ่งปีโผล่หน้ามาได้สามถึงห้าครั้งก็นับว่าดีแล้ว แต่เงินเดือนกลับรับเต็มจำนวน
หลังจากที่สวีโย่วรับตำแหน่งผู้บัญชาการนี้ ก็ประกาศให้มาลงชื่อเข้างานทุกวัน คนที่ไม่ลาล่วงหน้า ลงชื่อไม่ถึงสามครั้งก็จะถูกถอนถอนตำแหน่งไล่กลับบ้าน ขออภัย ในเมื่อเจ้าเป็นคนใหญ่คนโตแบบนี้ เช่นนั้นพวกเราก็เรียกใช้เจ้าไม่ได้ รีบกลับบ้านไปพักเสียดีกว่า
สวีโย่วสั่งคนให้แจ้งกฎใหม่นี้ไปยังทุกๆ คน เจ้าไม่มาทำงานที่ว่าการมิใช่หรือ ไม่เป็นไร เราส่งคนไปแจ้งเจ้าแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในจวน หรือว่าขดตัวอยู่ในหอเสพสำราญบ่อนพนัน ต่อให้จะอยู่ในคฤหาสน์ที่ซ่อนชู้คนงามไว้ เราก็จะแจ้งข่าวไปถึงเจ้า เช่นนี้เจ้าก็ไม่สามารถอ้างว่าไม่รู้ได้แล้วมิใช่หรือ
ความสามารถของเจ้าธรรมดาไม่กลัว มิใช่สามารถเรียนรู้ได้หรอกหรือ อย่างไรเสียไม่ว่าใครก็ไม่สามารถทำงานเป็นตั้งแต่เกิด แต่ทั้งปีเจ้าไม่รู้กระทั่งว่าประตูของกองปัญจทิศรักษานครเปิดไปทางไหน เช่นนั้นก็ไม่สมควรแล้ว ในเมื่อข้าจวิ้นอ๋องรับตำแหน่งผู้บัญชาการนี้ เช่นนั้นก็ไม่อนุญาตให้ทำนิสัยเลวทรามอย่างแต่ก่อนได้
เมื่อกฎใหม่ออกมา คนที่ไม่มีเบื้องหลังคอยหนุน กระทั่งบุตรหลานลูกคุณชายที่ขี้ขลาดส่วนหนึ่งต่างก็มาลงชื่อฟังคำสั่งอย่างว่าง่าย แต่ก็ยังมีคนที่หัวแข็งหลายคนยังคงทำตามอำเภอใจตัวเอง ไม่เห็นสวีโย่วอยู่ในสายตา หลานชายของฮองเฮาเหนียงเหนียง ญาติผู้พี่ของท่านไท่จื่อ ชีเว่ยคุณชายรองจวนเฉิงเอินกงก็เป็นหนึ่งในนั้น
คนผู้นี้ก็เป็นคนประเภทที่เอาแต่กินดื่มเที่ยวผู้หญิงติดพนันต่างๆ ด้วยความที่ป้าของตนเป็นฮองเฮา แต่ไหนแต่ไรก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา เมื่อเขารู้กฎใหม่ที่สวีโย่วประกาศ ก็แค่นเสียงขึ้นจมูก ยังคงทำตัวตามอำเภอใจ กระทั่งประกาศต่อสาธารณะ “ก็แค่คนขี้โรค เอาขนไก่มาเป็นธนู ข้าไม่ไปหรอก ข้าจะดูว่าเขาจะทำอะไรข้าได้”
คำพูดนี้ก็ดังไปถึงหูของสวีโย่วเช่นกัน หนังตาของเขาไม่แม้แต่จะเหลือบขึ้น บนใบหน้าก็ยิ่งดูไม่ออกว่าโมโหหรือเดือดดาล ทำให้คนเดาความคิดที่แท้จริงในใจเขาไม่ออก