ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 236-1 ท่านพูดความจริง ข้ารับปากว่าจะไม่ตีท่านตาย

 

 

“บอกมาเร็ว พ่อท่านทำเรื่องอะไรไว้ข้างนอกกันแน่” เมื่อกลับไปถึงเขตแดนของตนเองเสิ่นเวยก็ดึงแขนเสื้อของสวีโย่ว ในดวงตาเต็มไปด้วยประกายความอยากนินทา “บอกมาเร็ว บอกมาเร็ว” ระหว่างทางนี้นางอึดอัดจะแย่อยู่แล้ว

 

 

สวีโย่วมองตาคู่โตที่เป็นประกายแวววับคู่นั้นของเสิ่นเวย อดยื่นมือไปบีบแก้มเล็กๆ ของนางคราหนึ่งไม่ได้ เหตุใดน้องสี่ของเขาถึงได้น่ารักเพียงนี้

 

 

หัวเราะเสร็จแล้ว มุมปากของสวีโย่วก็ยกสูง กล่าวด้วยความเหยียดหยันอย่างถึงที่สุด “บุรุษจะยังมีเรื่องอะไรที่ไม่อาจให้พระชายารู้ได้อีกเล่า”

 

 

ดวงตาของเสิ่นเวยเบิกโต ไม่ใช่หรอกกระมัง ไม่ใช่อย่างที่นางคิดหรอกกระมัง พระชายาจิ้นอ๋องไม่ใช่รักแท้ของจิ้นอ๋องหรือ

 

 

สบสายตาที่สงสัยของเสิ่นเวยสวีโย่วก็พยักหน้าอย่างมั่นใจ “ถูกต้อง เขาเลี้ยงภรรยาน้อยอยู่ข้างนอก ให้กำเนิดบุตรสาวอายุสามปีแล้ว ในท้องสตรีผู้นั้นก็อุ้มครรภ์อยู่อีกหนึ่งคน เกือบห้าเดือนแล้ว”

 

 

ดวงตาของเสิ่นเวยเบิกโตยิ่งขึ้น ว่าไงนะ นางไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่ จิ้นอ๋องไม่เพียงแต่เลี้ยงภรรยาน้อยไว้ข้างนอก แต่ยังมีบุตรด้วยกันอีกหรือ หากพระชายาจิ้นอ๋องรู้เข้า นี่จะทำให้นางทนรับได้อย่างไร ฮ่าๆ เช่นนั้นก็สนุกแล้วสิ เสิ่นเวยนึกสภาพพระชายาจิ้นอ๋องหลังจากรู้เรื่อง หัวเราะคิกคักขึ้นมา

 

 

สวีโย่วเองก็นึกถึงจุดนี้เช่นกัน แววตาปรากฏความเหยียดหยาม เขายังคิดว่าพ่อเขารักใคร่ลึกซึ้งกับพระชายามากมาย ที่แท้แล้วก็เป็นเช่นนี้ สตรีข้างนอกผู้นั้นเขาเคยเห็นภาพวาด เยาว์วัยกลับเยาว์วัยอย่างยิ่ง ตอนที่อยู่กับเสด็จพ่อของเขาเพิ่งจะอายุสิบสี่ปี ตอนนี้ก็เพิ่งจะอายุสิบแปดปี อายุมากกว่าน้องสาวลูกอนุภรรยาผู้นั้นของเขาเพียงแค่สองสามปี ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นเสด็จพ่อของเขาลงมือทำได้อย่างไร

 

 

เสิ่นเวยจ้องมองสวีโย่ว กลอกดวงตาจากนั้นสีหน้าก็เคร่งขรึมลง “ท่านเพิ่งจะบอกว่าบุรุษยังจะมีเรื่องอะไรได้อีก เช่นนั้นท่านที่เป็นบุรุษใช่แอบเลี้ยงหวานใจอะไรคนรู้ใจอะไรไว้ข้างนอกลับหลังข้าหรือไม่ หืมม์” มือทั้งคู่เท้าเอว คิ้วงามตั้งขึ้น ท่าทางเหมือนกาน้ำชา

 

 

สวีโย่วตกใจ ทันใดนั้นในดวงตาก็มปรากฏแววตาที่แปลกออกไป “เรื่องนี้ไม่มีจริงๆ ข้าเป็นคนเช่นไรเวยเวยยังไม่รู้อีกหรือ” มือที่เรียวยาวอดลูบแก้มของเสิ่นเวยอีกครั้งไม่ได้

 

 

เสิ่นเวยแสยะปากปัดมือของเขาออก เขย่งปลายเท้าชี้จมูกเขากล่าว “ท่านพูดความจริงมา ข้ารับปากว่าจะไม่ตีท่านตาย!” ท่าทางโหดเ**้ยมทำให้สวีโย่วอยากจะกดนางจมอกแล้วกอดรัดฟัดเหวี่ยงเสียจริงๆ อืม ดีที่สุดก็คือสามารถกดไว้ใต้ร่างแล้วปู้ยี่ปู้ยำสักหนึ่งรอบ

 

 

“เวยเวยต่อให้เจ้าตีข้าตายจริงๆ ข้าก็ไม่มี!” ท่าทีของสวีโย่วไร้ความผิด “เจ้าไม่รู้หรือไร ข้ากลัวภรรยา ไหนเลยจะกล้าเลี้ยงหวานใจหญิงรู้ใจอะไรลับหลังเวยเวย เจ้าจะไม่แทงข้าพันรอบหมื่นรอบเลยหรือ” เขาทำท่าทีหวาดกลัว

 

 

เสิ่นเวยแทบจะหมดแรง กลัวภรรยางั้นหรือ มารตนนี้ยังกล้าพูดจริงๆ ซ้ำยังพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจเช่นนั้น แต่ว่าการพูดเช่นนี้เหตุใดนางถึงได้ชอบเพียงนั้นเล่า แววตาของเสิ่นเวยปรากฏรอยยิ้ม วางท่าทางว่าเจ้ารู้ไว้ก็ดีแล้ว “หึๆ เชื่อท่านชั่วคราวก็ได้”

 

 

ท่าทีพอใจนั้นทำให้มุมปากสวีโย่วกระดกขึ้น ชั่วขณะก็ดึงเสิ่นเวยเข้ามาในอ้อมอก ลูบไล้อย่างออกแรง กลิ่นหอมรัญจวนที่ฟุ้งกระจายทั่วปลายจมูกทำลายหมอกดำในใจเขา เวยเวย แม่นางที่เข้าอกเข้าใจเขา! เวยเวยของเขาจะต้องดูออกว่าเข้าไม่พอใจ จึงพูดติดตลกทำให้เขามีความสุขเช่นนี้

 

 

หลังสวีโย่วกับเสิ่นเวยไปแล้ว พระชายาจิ้นอ๋องก็เช็ดน้ำตาร้องทุกข์กับจิ้นอ๋อง “ท่านอ๋อง ท่านเห็นกับตาแล้ว ไม่ใช่ข้าที่ปฏิบัติต่อโย่วเอ๋อร์สองสามีภรรยาไม่ดี แต่เห็นชัดๆ ว่าพวกเขาไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาแม้แต่นิดเดียว อย่างไรเสียข้าก็เป็นแม่เลี้ยงของพวกเขา ข้าจะเอาหน้าไปวางไว้ที่ไหน!”

 

 

จิ้นอ๋องเองก็เคร่งขรึมไม่พอใจ “พอแล้ว โย่วเอ๋อร์สองสามีภรรยาอายุยังน้อย เจ้าก็ให้อภัยหน่อยเถิด” จุดอ่อนของตนอยู่ในกำมือลูกชาย เขาไหนเลยจะมีความกล้าไปหนุนหลังพระชายา “รอพวกเขามีลูกของตัวเองแล้วก็จะรู้ถึงความลำบากของผู้เป็นพ่อแม่” เขาปลอบพระชายาจิ้นอ๋องเช่นนี้

 

 

ทว่าในใจกลับคิดเงียบๆ โย่วเอ๋อร์รู้ได้อย่างไรว่าเขาเลี้ยงภรรยาน้อยไว้ข้างนอก รู้เยอะเพียงใด ไม่ได้ ตรอกอวี๋ซู่ไม่อาจอยู่ได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องเปลี่ยนเรือนให้มั่นเอ๋อร์

 

 

เสียงร้องไห้ของพระชายาจิ้นอ๋องดังไม่ขาดสาย ฟันกรามด้านในบดกระทบกัน “ข้ายังให้อภัยไม่มากพออีกหรือ พวกเขาบอกว่าไม่เคารพ ข้าก็ยกเว้นการเคารพของพวกเขา พวกเขาบอกว่าไม่ให้ข้ายุ่งเรื่องในเรือนพวกเขา ข้าก็ตามใจพวกเขา ต้องให้ข้าทำเช่นไรอีก ใช่ข้าต้องคว้านหัวใจออกมายกให้พวกเขาตรงหน้าพวกเขาถึงจะพอใจหรือไม่”

 

 

“พูดจาโทสะอันใด ข้ารู้ว่าเจ้าลำบาก แต่ข้าก็ยืนอยู่ฝั่งเจ้ามิใช่หรือ กับลูกของเรามีอะไรให้คิดเล็กคิดน้อย กลับไปข้าจะไปพูดกับโย่วเอ๋อร์ให้” จิ้นอ๋องตบบ่าพระชายาอย่างขอไปที

 

 

ทว่าพระชายาจิ้นอ๋องกลับยิ่งถูกกระตุ้น ดึงแขนเสื้อของจิ้นอ๋อง “จากเรื่องในวันนี้ แม้เสิ่นซื่อจะเพิ่งเข้าจวน แต่นางก็เป็นสะใภ้คนโต น้องสะใภ้แพ้ท้องนางก็ควรช่วยดูแลมิใช่หรือ นางกลับไม่ทำ ตนออกจากจวนไปเดินเล่น ยังมีโย่วเอ๋อร์ ข้าคิดว่าเขาอยู่บนเขาหลงหู่หลายปีเพียงนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสนิทกับผู้เฒ่าหมอเทวดาหลายส่วนมิใช่หรือ ยังไม่สามารถเชิญหมอเทวดาลงเขามาช่วยได้อีกหรือ เพียงแค่เรื่องที่เอ่ยไปตามใจปาก เหตุใดถึงหลายเป็นการฝืนใจเขาแล้วเล่า เขาไม่ยอมช่วย ซ้ำยังหาข้ออ้างมากมาย นั่นคือลูกคนแรกของน้องชายเขา ข้าคิดแล้วก็รู้สึกเจ็บปวด เหตุใดจิตใจของโย่วเอ๋อร์สองสามีภรรยาถึงได้เ**้ยมโหดเพียงนั้น ไร้เมตตาเพียงนั้น” นางกุมหน้าสะอึกสะอื้นไห้

 

 

จิ้นอ๋องจนปัญญาอย่างมาก ซ้ำยังถูกพระชายาจิ้นอ๋องร้องไห้ใส่จนหงุดหงิดหลายส่วน “พอแล้ว นิสัยของโย่วเอ๋อร์ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่รู้ เป็นคนแปลกประหลาดที่สุด พรุ่งนี้ข้าจะเข้าวังไปขอให้เสด็จพี่ส่งหมอหลวงที่ชำนาญด้านนี้มาดูแลที่จวน คราวนี้เจ้าก็วางใจได้แล้วใช่หรือไม่” เขาคาดหวังต่อทารกในครรภ์นี้ของลูกสะใภ้สามเป็นอย่างมาก

 

 

กว่าจะปลอบพระชายาให้สงบลงได้ จิ้นอ๋องก็กลับไปยังเรือนนอกประหนึ่งวิ่งหนี คิดแล้วคิดอีกก็ยังคงไม่วางใจ เรียกบ่าวรับใช้เข้ามา สั่งให้เขาไปหาเรือนที่เหมาะสมแห่งใหม่พรุ่งนี้เช้า มั่นเอ๋อร์อยู่ที่ตรอกอวี้ซู่เขาไม่วางใจจริงๆ!

 

 

หลังจากที่เสิ่นเวยกับสวีโย่วออกจากจวนจงอู่โหว เสิ่นเสวี่ยก็มาถึงทันที ก้มหน้างุด ดูท่าแล้วน่าจะทะเลาะกลับบ้านฝั่งมารดา

 

 

เมื่อเสิ่นเสวี่ยเข้าประตูใหญ่จวนจงอู่โหวแล้วก็วิ่งตรงไปยังเรือนซงเฮ่อของย่านางทันที นายหญิงผู้เฒ่าเห็นหลายสาวกลับมาเวลานี้ ก็ตกใจสะดุ้งโหยง “เสวี่ยเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น สามีเจ้าไม่ได้กลับมาพร้อมเจ้าหรือ”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าเพิ่งจะพูดจบ น้ำตาของเสิ่นเสวี่ยก็หยดลงมา

 

 

“เป็นอะไรไปเสวี่ยเอ๋อร์ ทะเลาะกับสามีเจ้ามาหรือ” คราวนี้นายหญิงผู้เฒ่าก็ยิ่งลนลาน

 

 

เสิ่นเสวี่ยเพียงแค่ส่ายหน้า ไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว นายหญิงผู้เฒ่าร้อนใจแทบแย่แล้ว ชี้สาวใช้อี่ชุ่ยที่กลับมาพร้อมเสิ่นเสวี่ยแล้วกล่าว “เจ้าพูดมา แท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ นายเจ้าถูกใครรังแกมา”

 

 

อี๋ชุ่ยโถมตัวคุกเข่า กล่าวด้วยความโมโห “นายหญิงผู้เฒ่า อันที่จริงแล้วเป็นฮูหยินหย่งหนิงโหวที่รังแกคนเกินไปแล้ว นาง…นางไม่แยกแยะผิดถูกก็ตบหน้าคุณหนูของพวกเราแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

“อะไรนะ ตบหน้าเสวี่ยเอ๋อร์งั้นหรือ” นายหญิงผู้เฒ่าตกใจจนลุกพรวดขึ้นมา ดึงหลานสาวเข้ามาดูหน้านางอย่างละเอียด มองเห็นรอยฝ่ามือสีจางจริงๆ นี่ต้องใช้แรงมากเพียงใด! เรื่องที่รับไม่ได้เช่นนี้ มิน่าเล่าเสวี่ยเอ๋อร์ถึงไม่ยอมพูด

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าทั้งตกใจทั้งโมโห ฮูหยินหย่งหนิงโหว นี่ไหนเลยจะตบหน้าเสวี่ยเอ๋อร์ เห็นชัดๆ ว่าตบหน้าจวนจงอู่โหวต่างหาก “ไป เชิญฮูหยินใหญ่มา” นางสั่งด้วยมาดขรึม เรื่องเช่นการออกหน้าหนุนหลังหลานสาวเช่นนี้ย่อมต้องตกเป็นหน้าที่ของโหวฮูหยินสวี่ซื่อ

 

 

“ท่านย่า หลานไม่มีหน้าจะอยู่ต่อไปแล้ว” เสิ่นเสวี่ยโผเข้ามาในอ้อมอกนายหญิงผู้เฒ่าโหว ร่ำไห้อย่างเสียอกเสียใจ นางเสียใจจริงๆ แม่สามีปกป้องหญิงชั่วผู้นั้นยังไม่เท่าไร ทว่าแม้แต่สามีก็ไม่เรียกร้องความยุติธรรมให้นางเลยสักคำเดียว นี่จะไม่ทำให้นางเสียใจได้อย่างไร

 

 

“เด็กโง่ พูดจาเหลวไหลอะไร เจ้าวางใจ มีย่าอยู่ช่วยเจ้า ไม่อาจทำให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมใดได้” นายหญิงผู้เฒ่าลูบหลานสาวในอ้อมอกปลอบขวัญ

 

 

เสิ่นเสวี่ยสะอื้นพูดจาออกมาไม่เป็นประโยค เพียงแค่ซุกหน้าลงในอ้อมอกนายหญิงผู้เฒ่า น้ำตาไหลเป็นสาย

 

 

ช่วงนี้สวี่ซื่อยุ่งจริงๆ เพิ่งจะส่งหลานสี่ออกจากเรือน ก็จัดการเรื่องสมรสให้ลูกชายของตนแล้ว ปีนี้ลูกชายอายุสิบเก้าปีแล้ว คนที่อายุเท่าเขาในเมืองหลวงแทบจะเป็นพ่อคนกันหมดแล้ว ลูกก็วิ่งออกข้างนอกได้แล้ว แต่เขายังอยู่ตัวคนเดียว จะไม่ทำให้สวี่ซื่อทุกข์ใจได้อย่างไร

 

 

นางวางแผนไว้ดีแล้ว แม้เชียนเอ๋อร์จะอยู่ไกลถึงซีเจียง ทว่าตั้งแต่โบราณกาลเรื่องมงคลสมรสก็เป็นคำสั่งของพ่อแม่เป็นวาจาของแม่สื่อ นางเห็นสมควรแล้วก็เป็นคนกำหนด จากนั้นก็เชิญพ่อสามีหรือสามียื่นสาส์นกราบทูลต่อฝ่าบาท ลูกชายเพียงแค่กลับมาสิบวันครึ่งเดือนก็สามารถจัดงานสมรสให้เสร็จสรรพได้ แต่งงานแล้วนางก็ไม่ต้องให้ลูกสะใภ้อยู่รับใช้ข้างกาย สองสามีภรรยากลับซีเจียงด้วยกันจึงจะถูกต้อง นางไม่ใช่แม่สามีที่ไม่มีความรู้เหล่านั้น เก็บลูกสะใภ้ไว้รับใช้ข้างกายจะให้กำเนิดบุตรได้อย่างไร ลูกชายแต่งงานก็ช้าแล้ว ทายาทจะช้าอีกไม่ได้ สองสามีภรรยารักใคร่ปรองดองกันเป็นเรื่องดียิ่งกว่าอะไรมิใช่หรือ

 

 

ตอนที่หู่พั่วเข้ามาเชิญนางนางกำลังหารือถึงบุตรสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานของจวนต่างๆ ในเมืองหลวงกับแม่นมคนสนิท แม้นางจะไม่ค่อยชอบหลานห้าผู้นี้นัก แต่ก็โมโหตกใจอย่างถึงที่สุดเช่นกัน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือศักดิ์ศรี! ต่อให้เสวี่ยเอ๋อร์จะไม่ดี นั่นก็คือคุณหนูที่ออกจากจวนจงอู่โหว จวนหย่งหนิงโหวของเจ้าหมายความว่าอย่างไร ไม่เห็นจวนจงอู่โหวอยู่ในสายตาหรือ

 

 

อีกอย่าง ผู้เป็นแม่สามีสามารถสั่งสอนลูกสะใภ้ได้ แต่ทั่วเมืองหลวงก็ไม่เคยได้ยินว่ามีแม่สามีตระกูลใดตบหน้าลูกสะใภ้ อย่าว่าแต่ตระกูลสูงศักดิ์ แม้แต่ชาวบ้านธรรมดาที่มีเหตุมีผลก็ทำเรื่องเช่นนี้ไม่ได้ ในใจสวี่ซื่อเต็มไปด้วยความเหยียดหยามฮูหยินหยงหนิงโหวอวี้ซื่อ

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset