พูดเรื่องสมรสของหร่วนเหิงจบแล้ว หร่วนเจิ้นเทียนก็เปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง “ไม่ใช่ว่ากันว่าเจ้าไปวัดต้าเจวี๋ยมาอีกแล้วหรือ” เขามองประเมิณหลานสาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าปราดหนึ่ง รู้สึกว่าคราวนี้จะต้องเป็นฉากบังตาอีกแน่นอน คราวก่อนวิ่งไปกระโดดโลดเต้นที่ซีเจียงเที่ยวหนึ่ง คราวนี้ไปไหนมาอีกเล่า
เสิ่นเวยก็ไม่คิดจะปิดบังท่านตานาง “ไปอวิ๋นโจวมาเที่ยวหนึ่ง” ไม่รอให้ตานางไต่ถามนางก็เล่าให้ฟังด้วยตัวเอง “ข้ามีท่านอาอยู่คนหนึ่งใช่หรือไม่ ตอนนั้นไม่ใช่ว่าแต่งงานกับเด็กยากจนหรอกหรือ เด็กยากจนผู้นี้กับครอบครัวของเขาเป็นพวกจอมปลอม ใช้สินเดิมของท่านอามีชีวิตที่ดี แต่กลับรังเกียจท่านอาที่ไร้ประโยชน์ ไม่สามารถให้ตำแหน่งขุนนางที่ใหญ่กว่านี้แก่เขาได้ ชีวิตของท่านอาไปต่อไม่ได้แล้ว ท่านปู่รู้เรื่องจึงให้วิ่งไปอวิ๋นโจวเที่ยวหนึ่งพาท่านอากับลูกผู้น้องกลับมา เลี่ยงไม่ให้พวกนางตรอมใจตาย”
“หย่าหรือ” หร่วนเจิ้นเทียนเลิกคิ้วขึ้น
“ก็แน่น่ะสิ มาถึงขั้นนั้นแล้วจะยังเหลือความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาอะไรอีก ตัดขาดเสีย ข้ากลับจวนโหวไปเป็นสตรีสูงศักดิ์ของข้าเหมือนเดิม พวกเจ้าก็กลับไปยังที่ดินสองหมู่[1]นั่นที่บ้านเก่าพวกเจ้าต่อ ผืนฟ้ากว้างแผ่นดินกว้าง หย่ากันแล้วใครกันแน่ที่จะอยู่ไม่ได้” เสิ่นเวยกล่าวอย่างไม่สนใจ
หร่วนเจิ้นเทียนเหลือบมองหลานสาวปราดหนึ่ง กล่าว “ดูไม่ออกว่าเจ้าเป็นคนถือหางให้ท้าย”
เมื่อเสิ่นเวยได้ยินดังนี้ก็ไม่พอใจแล้ว วางถาดผลไม้ลงบนโต๊ะ วางมาดเตรียมจะถกเถียงกับตานาง “ดูท่านตาพูดเข้า ถือหางให้ท้ายแล้วอย่างไร ญาติของตัวเอง จะไม่ถือหางได้อย่างไร ถือหางให้ท้ายถือเป็นข้อดีของข้า! ลูกผู้พี่ลูกผู้น้องคนไหนบ้างที่ข้าไม่ถือหาง นึกถึงตอนนั้นที่ลูกผู้น้องถูกเด็กแซ่ฉินผู้นั้นรังแกข้างถนน เดิมข้าไม่คิดจะยุ่งเรื่องคนอื่น ต่อมาได้ยินว่านี่คือลูกผู้น้อง ข้าก็สั่งคนไปจัดการเด็กคนนั้นทันทีไม่ใช่หรือ ยังมีลูกผู้พี่ ที่ซีเจียงมีครั้งไหนบ้างที่เขาออกรบแล้วข้าไม่ตามไป ไม่ใช่ว่ากลัวเขาเป็นอะไรไปแล้วจะส่งผลกระทบต่อการสืบสกุลตระกูลหร่วนหรอกหรือ อย่าว่าแต่ท่านที่ลำบาก ต่อให้เป็นแม่ข้า ก็ต้องวิ่งกลับมากลางดึกพูดคุยกับข้า! คิดว่าง่ายนักหรือ”
สาธยายยืดยาว แต่สิ่งที่พูดก็ดันเป็นเรื่องจริง ชั่วขณะหร่วนเจิ้นเทียนก็รู้สึกปวดหัว รีบหัวเราะตัดบทนาง “พอๆๆ เป็นตาที่พูดผิดไปเอง เจ้าถือหางลูกผู้พี่ลูกผู้น้อง ตาซาบซึ้งบุญคุณเจ้า”
เสิ่นเวยกล่าวอย่างจริงจัง “พูดว่าซาบซึ้งบุญคุณก็เหินห่างไปหน่อย ใครให้พวกเราเป็นญาติแท้ๆ เล่า ไม่ไว้หน้าใครก็ยังต้องไว้หน้าแม่ข้าบ้าง นางอุส่าให้กำเนิดข้า บุญคุณที่ใหญ่เท่าฟ้า ยังไม่รอข้าโตตอบแทนบุญคุณนางนางก็ไม่อยู่แล้ว ผู้ที่เป็นลูก ข้าก็ต้องทำอะไรให้นางบ้างมิใช่หรือ นอกจากน้องชายที่นางวางใจไม่ได้ที่สุดตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็คือบ้านท่านตานี่แหละ ข้าจึงต้องพยายามปกป้องแทนนางบ้าง”
คำพูดเหล่านี้พูดจนหร่วนเจิ้นเทียนคนใจแข็งผู้นี้แทบจะน้ำตาไหล คิดอยู่เสมอว่าบุตรสาวโชคร้ายเกินไป ให้กำเนิดลูกสาวที่ดีเพียงนี้แล้วแต่กลับไม่มีสักวันที่ได้เสพสุข หากนางยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ แม้ว่านิสัยจะอ่อนแอ สุขภาพจะไม่ดี แต่มีเวยเจี่ยเอ๋อร์ลูกสาวคนนี้อยู่ ไม่ว่าใครก็แตะต้องตำแหน่งเรือนหลังของนางไม่ได้ เสิ่นหงเซวียนหลานชั่วผู้นั้นจะกล้าปฏิบัติไม่ดีต่อบุตรสาวเขาแม้แต่นิดเดียวเชียวหรือ ไม่ต้องให้เขาออกหน้า เวยเจี่ยเอ๋อร์ก็จัดการเขาได้อย่างเสร็จสรรพ
ชะตาเอ๋ย นี่ล้วนเป็นชะตา! บุตรสาวที่ชะตาขมขื่นไม่มีชะตาที่ได้เสพสุขเลย!
ในใจหร่วนเจิ้นเทียนเศร้าสลด แววตาที่เหลือบมองเสิ่นเวยก็ยิ่งเมตตา เขาลูบหนวดแล้วกล่าว “ข้าเลื่อมใสปู่เจ้าก็ตรงนี้ หากเป็นตระกูลอื่น อย่าว่าแต่หย่า เกรงว่ายังจะกดดันบุตรสาวของตนให้อดทนด้วยตัวเอง ก็เพื่อชื่อเสียงที่ว่านั่น” บนใบหน้าเขาเผยความเหยียดหยัน
จุดนี้เสิ่นเวยเองก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง กล่าวด้วยสีหน้าภูมิใจ “ถูกต้อง สติปัญญาของปู่ข้าเทียบกับคนทั่วไปได้หรือ หากไม่ใช่พวกข้าปู่หลานจะมีใครนิสัยตรงกันเช่นนี้ได้อีก ท่านตา ข้าจะบอกท่านให้ หากไม่ใช่ปู่ข้าสายตาดีเพียงนี้ ไม่หัวโบราณ ไม่คร่ำครึ ไม่ดูถูกสตรี ข้าจะคงจะปลดระวางไปนานแล้ว ข้าจะสนหรือว่าซีเจียงของท่านจะปกป้องไว้ได้หรือไม่ จะสนหรือว่าท่านจะเป็นจะตาย ข้าจะสนหรือว่าจวนจงอู่โหวของท่านจะมีอำนาจค้ำฟ้าหรือล่มสลายเป็นฝุ่นผง สตรีผู้หนึ่งเช่นข้าไหนเลยจะส่งผลกระทบถึงชีวิต แต่จะว่าไป หากไม่ใช่ท่านปู่ ก็ไม่มีใครยอมให้ข้าออกหน้าหรอก!”
ชื่นชมปู่นางรอบหนึ่ง เสิ่นเวยก็เปลี่ยนเรื่องเปิดฉากเสียดสี “ข้าเกลียดตระกูลใหญ่ตระกูลโตที่สุด พูดให้น่าฟังว่านั่นคือกฎระเบียบเคร่งครัด อันที่จริงก็ไร้ความปรานี บุตรสาวเจอคนชั่วทำร้ายไม่อยากลงโทษคนชั่ว กลับแต่งบุตรสาวเข้าไปเพื่อชื่อเสียงอะไรนั่น ไม่ก็ส่งไปที่วัด ยังมีคนที่ใจร้ายยิ่งกว่าต้องการจะเอาชีวิตบุตรสาว บุตรสาวถูกรังแกที่บ้านสามี แทบจะเอาชีวิตไม่รอด บ้านฝั่งมารดากลับกดดันไม่ยอมให้หย่า แม้ว่าจะหย่าก็ไม่ให้เข้าบ้าน กฎบ้าอะไรกัน! ยังมีอะไรสำคัญกว่าชีวิตของบุตรสาวอีก ไม่เห็นบุตรสาวเป็นคน บุตรสาวที่แต่งออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกไปอะไรกัน ไม่มีสตรีแล้วใครจะให้กำเนิดเจ้า”
แม้ว่าหร่วนเจิ้นเทียนจะไม่คร่ำครึแม้แต่นิดเดียว ทั้งยังไม่ดูถูกสตรี แต่เขาก็ยังคงถูกคำพูดนี้ของหลานสาวทำให้ตกตะลึงจนพูดไม่ออก เนิ่นนานกว่าจะกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน “เวยเจี่ยเอ๋อร์ เอ่อ คำพูดนี้เจ้าพูดต่อหน้าตาก็พอ อย่าได้พูดข้างนอกเชียวล่ะ!”
เสิ่นเวยกรอกตาขาว “แน่นอนอยู่แล้ว” นางเองก็บ่นต่อหน้าที่คนสนิทและไว้ใจก็ทันนั้น อยู่ข้างนอกปากของนางปิดสนิท นางไม่โง่จนไปท้าทายกฎระเบียบในยุคสมัยนี้หรอก
“ข้าเลยรู้สึกโชคดีอย่างยิ่งที่ตัวเองเป็นหลานสาวของท่านปู่ ตอนนี้ท่านปู่หนุนหลังให้ท่านอาได้ ไม่สนคำวิพากย์วิจารณ์ของมวลชนสนับสนุนให้นางหย่า ทั้งยังรับกลับมาดูแลในจวนอย่างดี เช่นนั้นในภายหน้าหากข้ามีชีวิตที่ไม่ดี เขาเองก็สามารถหนุนหลังให้ข้าได้” นี่เองก็เป็นเหตุผลสำคัญที่เสิ่นเวยยอมทุ่มเทแรงให้จวนจงอู่โหว หากเจอผู้อาวุโสที่เชื่อใจไม่ได้ นางหลบไปไกลได้เท่าไรก็คงจะหลบไปไกลเท่านั้น
“นั่นกลับไม่จำเป็น” หร่วนเจิ้นเทียนมองหลานสาวของเขาปราดหนึ่งแล้วกล่าว “เจ้ายังบอกเองเลยว่าคนที่อาเจ้าแต่งงานด้วยเป็นเด็กยากจน จะหย่าก็เป็นเรื่องที่ปู่เจ้าสั่งได้มิใช่หรือ แต่เจ้าไม่เหมือนกัน ที่เจ้าแต่งด้วยคือราชนิกุล นั่นคือหลานชายแท้ๆ ของฝ่าบาท แม้ว่าปู่เจ้าจะอยากออกหน้าแทนเจ้า แต่ก็ทำไม่ได้! เขาจะเป็นใหญ่ไปกว่าราชนิกุลได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นการสมรสพระราชทานจากฝ่าบาท การหย่าเป็นเรื่องที่ไม่ต้องแม้แต่จะคิดเลย เจ้าคิดว่าจะใช้ชีวิตให้ผ่านไปได้ด้วยดีอย่างไรจึงจะถูก”
เห็นหลานสาวไม่พูด หร่วนเจิ้นเทียนก็กล่าวต่อ “ได้ข่าวคุณชายสวีโย่วบ้างหรือไม่ อาการป่วยเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ไม่ใช่บอกว่าดีขึ้นแล้วหรือ เหตุใดโรคเก่าถึงกำเริบอีกแล้วเล่า” ดวงตาของเขามีความกังวลแวบผ่าน คู่หมั้นผู้นี้ของเวยเจี่ยเอ๋อร์ดีทุกอย่าง อย่างเดียวที่ไม่ดีก็คือสุขภาพของคุณชายใหญ่สวีไม่ดี ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าคุณชายใหญ่สวีสร้างคุณูปการที่ซีเจียงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋อง หลานชายของเขาก็บอกเช่นกันว่าคุณชายใหญ่สวีนอกจากจะดูผอมไปหน่อยนอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรไม่ดี หัวใจดวงนี้ของเขาเพิ่งจะวางลง คุณชายใหญ่สวีก็มีโรคเก่ากำเริบ หากว่าเขา…เช่นนั้นชั่วชีวิตหลานสาวผู้นี้ของเขาใช่จะต้องพังทลายหรือไม่
มือที่ถือส้มของเสิ่นเวยหยุดชะงัก หลังจากนั้นก็กล่าวราวกับไม่เป็นปัญหา “ไม่มี ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร น่าจะไม่เป็นไรหรอกกระมัง” สุดท้ายนางก็ไม่ได้บอกว่าคุณชายใหญ่สวีนำพระราชการโองการลับออกไปทำงานข้างนอก ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจท่านตา แต่ไม่จำเป็นต้องให้เขารู้แล้วเป็นกังวล
ความกังวลในแววตาของหร่วนเจิ้นเทียนก็ยิ่งมากขึ้น “ไม่ได้สืบถามกับจวนจิ้นอ๋องหรือ ทางฝ่าบาทจะต้องมีข่าวบ้างสิ เขาไม่ได้หลุดปากบอกปู่เจ้าบ้างเลยหรือ”
เสิ่นเวยส่ายหน้า “ไม่มี ท่านปู่ไม่ได้พูดอะไร” ใครจะรู้ว่าตอนนี้เขาไปซ่อนตัวอยู่ที่มุมไหน
หร่วนเจิ้นเทียนยังคิดว่าคุณชายใหญ่สวีป่วยหนัก ถอนหายใจขึ้นมา กล่าวเตือน “เวยเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าต้องเตรียมใจไว้บ้าง หากว่า หากว่าคุณชายใหญ่สวี…” เขามองดวงตาที่ใสกระจ่างของหลานสาว พูดไม่ออกแล้ว ถุยๆๆ ต้องเป็นเขาที่คิดมากไปแน่ๆ หลานสาวเขาคงไม่โชคร้ายเพียงนั้นหรอก
ทว่าเสิ่นเวยกลับกล่าวอย่างปลอบโยน “ท่านตา ไม่เป็นไร ฟังว่าบนเขาลูกนั้นที่คุณชายใหญ่สวีไปรักษามีหมอเทวดาอาศัยอยู่ เขาจะต้องไม่เป็นไรแน่นอน
ในใจกลับไม่ยอมรับ อย่าว่าแต่สวีโย่วคนโรคจิตผู้นั้นไม่ได้มีโรคเก่ากำเริบอย่างสิ้นเชิง ต่อให้เขาจะมีชะตาไม่ดีตายม่องเท่งจริงๆ แล้วอย่างไร จากประสบการณ์ในวันเวลาเหล่านี้ นางรู้ดีว่าต่อให้ตอนนี้นางจะไม่ได้แต่งเข้าไป แต่มีพระราชโองการพระราชทานสมรสอยู่ นางก็คือสะใภ้ราชนิกุลอย่างไม่อาจเลี่ยง แม้สวีโย่วจะไม่อยู่แล้ว แต่นางก็ไม่อาจเปลี่ยนคู่สมรสได้ ต้องครองตัวเป็นหม้ายไปตลอดชีวิต
หลังจากเข้าใจสถานะของสะใภ้ราชนิกุลแล้วนางก็ไม่คัดค้านแม้แต่นิดเดียว เหมือนอย่างเช่นนาง เดิมทีนางก็เป็นจวิ้นจู่อยู่แล้ว แต่งเข้าไปก็เป็นจวิ้นหวังเฟย ตำแหน่งนับว่าสูงอย่างยิ่ง บวกกับที่นางครองตัวเป็นหม้าย ราชวงศ์ก็จะให้อภิสิทธิ์มากเป็นพิเศษไม่ใช่หรือ ด้วยเหตุนี้ การเลี้ยงดูมีแล้ว ฐานะมีแล้ว นางก็สามารถใช้ชีวิตไปวันๆ ตามแต่ใจต้องการได้ เป็นอนาคตที่ดีงามยิ่งนัก!
ทว่าสวีโย่วที่ตัวอยู่ในวัดจยาหลานกลับไม่รู้ว่าเด็กเนรคุณของเขากำลังคาดการณ์ถึงชีวิตอันดีงามหลังจากเขาไม่อยู่แล้ว ตอนนี้เขากำลังเดินเล่นอยู่ในลานวัดภายใต้การประคองของเจียงเฮยเจียงไป๋ พระอาจารย์เต้ากวงบอกว่าร่างกายเขาอ่อนแอเกินไป แนะนำให้เขาขยับตัวเยอะๆ นี่ตรงกับความคิดของเขา เขากำลังกังวลที่ไม่มีข้ออ้างไปเดินเล่นในวัดอยู่พอดี
ด้วยเหตุนี้ทุกวันหลังทานข้าวเสร็จหลวงจีนวัดจยาหลานก็จะเห็นคุณชายสูงศักดิ์ที่มารักษาผู้นั้นเดินอย่างช้าๆ ภายใต้การพยุงของบ่าวรับใช้ ผ่านไปหลายวันพวกเขาก็เห็นเงาร่างของพวกเขาในวัดจนชินแล้ว บางครั้งเจอหน้าพวกเขาก็ยังหลบไปข้างๆ ให้คุณชายท่านนี้เดินก่อน น่าสงสารเขายิ่งนัก
สวีโย่วเดินเล่นอยู่ในวัดเช่นนี้หลายต่อหลายวัน กลับไม่เห็นอะไรผิดปกติ แต่มีอยู่เย็นวันหนึ่งเขาเห็นชายชุดดำสองคนอยู่ทางฝั่งป่าไผ่เพียงชั่วพริบตาก็หายไปแล้ว และที่บังเอิญก็คือกุฏิของพระอาจารย์เต้ากวงที่รักษาสวีโย่วผู้นั้นก็อยู่ละแวกนั้นพอดี
สวีโย่วเดินเข้าไปใกล้ๆ ป่าไผ่ภายใต้การพยุงของเจียงเฮยเจียงไป๋อยู่หลายรอบก็ไม่เห็นชายชุดดำสองคนนั้น แต่หลวงจีนเต้ากวงที่นั่งสมาธิอยู่ในกุฏิกลับถูกรบกวนแล้ว “อมิตาพุทธ คารวะโยม”
สวีโย่วรีบคำนับกลับ “มิบังอาจ มิบังอาจ โชคดีที่ได้พระอาจารย์ออกมือ อาการป่วยของผู้น้อยก็ดีขึ้นแล้ว หลายวันมานี้ผู้น้อยทำตามคำชี้แนะของพระอาจารย์ ออกมาเดินทุกวัน กำลังวังชากลับดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก” พูดจบก็คำนับให้หลวงจีนเต้ากวงอีกครั้ง
หลวงจีนเต้ากวงยิ้มน้อยๆ “พระพุทธองค์เมตตา ช่วยคนตายพยุงคนเจ็บคือหลักธรรมคำสอน นี่เองก็เพราะโยมกับอาตมามีวาสนาต่อกัน เพียงแต่โยมยังต้องรู้ไว้ว่า ทุกเรื่องมีขอบเขต อาการป่วยของโยมไม่อาจหายได้โดยง่าย ยังต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอน เดินทุกวันมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูร่างกายของโยม แต่ไม่อาจทำจนเหนื่อยเกินไปได้ เช่นนั้นผลลัพธ์จะกลับกัน”
สวีโย่วกล่าวขอบคุณอย่างจริงจัง “ขอบคุณพระอาจารย์ที่เตือนสติ ผู้น้อยจะจำไว้”
สวีโย่วมั่นใจว่าตนไม่ได้ตาฝาด สองคนนั้นสวมชุดดำ ศีรษะมีผม แตกต่างจากหลวงจีนที่หัวโล้นในวัดอย่างยิ่ง ตนไม่มีทางดูผิดแน่นอน
แต่ชายสองคนไม่อาจหายไปอย่างไร้ร่องรอยได้กระมัง ข้างนอกไม่มี คงไม่ใช่ว่าเข้าไปข้างในห้องแล้วหรอกนะ สวีโย่วอ้างว่ากระหายน้ำ ขอชากับหลวงจีนเต้ากวงอย่างหน้าหนา ชาสองแก้วดื่มหมดแล้ว ก็ยังไม่พบร่องรอยใดๆ ทำได้เพียงกลับไปอย่างไม่ยินดี
[1] หมู่ หน่วยวัดขนาดพื้นที่ของจีน หนึ่งหมู่เท่ากับ 666.67 ตารางเมตร