ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 199-1 คนไม่ดูตาม้าตาเรือระหว่างทางกลับเมืองหลวง

เดือนสามต้นฤดูใบไม้ผลิ สายลมอุ่นพัดผ่านหน้า

 

 

เสิ่นเวยยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือทอดสายตาออกไปไกล ผืนน้ำที่สงบนิ่งเสมือนกระจกเงินบานใหญ่ ส่องแสงสีขาวแวววับออกมาใต้เงาสะท้อนของแสงอาทิตย์ ต้นหลิวเขียวชอุ่มขนาบชายฝั่ง กิ่งไม้ที่โอนอ่อนพลิ้วไหวท่ามกลางสายลมโชย ลมพัดผ่านหน้าราวกับมือที่อ่อนโยนข้างหนึ่ง ทำให้ความรู้สึกของคนเปรมปรีดิ์ไปตามกัน

 

 

“ท่านพี่ ที่แท้แล้วท่านก็อยู่ที่นี่เอง” เหอหลินหลินเดินเข้ามา คิ้วโค้งเปื้อนรอยยิ้ม

 

 

เสิ่นเวยยิ้มน้อยๆ “ออกมาทำไม ท่านอาดีขึ้นแล้วหรือ”

 

 

ขากลับพวกนางเดินทางทางน้ำ อย่างไรเสียเรือก็มีแรงกระแทกน้อยกว่ารถม้ามาก อันที่จริง เดินทางโดยนั่งรถม้าเหน็ดเหนื่อยจริงๆ เพียงหนึ่งวันก็ปวดไปทั่วทั้งร่าง

 

 

ร่างกายของท่านอาเสิ่นหย่าไม่ดีอย่างยิ่ง เพื่อที่จะให้นางได้สบายขึ้นหน่อยเสิ่นเวยจึงเลือกเดินทางทางน้ำ แต่ปัญหาใหม่ก็ตามมา ท่านอาเมาเรือ ทั้งยังเมาหนักยิ่งนัก แม้แต่ดื่มน้ำเปล่ายังอาเจียน โชคดีที่มีหมออยู่บนเรือ ฝีมือการรักษาไม่อาจเทียบเท่าหมอหลิ่ว แต่ดูแลอาการเมาเรือถูกลมต่างๆ ก็ยังพอใช้ได้

 

 

เสิ่นหย่าดื่มน้ำแกงยาที่หมอสั่งให้ จึงดีขึ้นเล็กน้อย เพียงแต่ในหนึ่งวันยังต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นส่วนใหญ่ ออกจากห้องใต้ท้องเรือน้อยอย่างยิ่ง เหอหลินหลินที่เป็นลูกสาวย่อมต้องเป็นห่วงอย่างถึงที่สุด มักจะอยู่เป็นเพื่อนในห้องใต้ท้องเรือ

 

 

“ท่านแม่ทานบ๊วยดองผลไม้แช่อิ่มไปหลายลูกแล้ว ดีขึ้นเล็กน้อย เย่ว์กุ้ยกำลังนวดศีรษะให้นางอยู่” เหอหลินหลินเดินมายืนข้างๆ เสิ่นเวย ทอดสายตาไปไกลตามนาง รู้สึกเพียงแค่ฟ้าดินกว้างใหญ่ ทรวงอกก็กว้างโล่งไม่น้อย

 

 

“ท่านอาทานแล้วเดี๋ยวก็ดีขึ้น อีกไม่กี่ชั่วยามพวกเราก็จะถึงท่าเรือทงโจวแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราขึ้นฝั่งไปกินข้าวก่อน แล้วค่อยไปซื้อของสวยๆ งามๆ หากท่านอากับน้องชอบพวกเราจะพักบนฝั่งสักคืนก็ย่อมได้” เสิ่นเวยกล่าว

 

 

ดวงตาแม่นางน้อยเหอหลินหลินเป็นประกายทันที “ดีจริงๆ” นางโตมาเพียงนี้แต่มีโอกาสได้ออกจากเรือนหลังจวนตระกูลเหอน้อยอย่างถึงที่สุด เด็กผู้หญิงไหนเลยจะไม่ชอบเที่ยวเล่น ตั้งแต่ที่ออกจากเมืองอวิ๋นโจวดวงตาของนางก็ทอดมองไปข้างนอกอยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าจะเป็นเพียงต้นไม้ก็มองได้เนิ่นนาน เสิ่นหย่าสงสารลูกสาว จึงปล่อยนาง บางครั้งยังมองทิวทัศน์และสิ่งต่างๆ ข้างทางเป็นเพื่อนนาง

 

 

“คุณหนู คุณหนู ข้าด้วย ข้าก็อยากกินของอร่อยๆ” เถาฮวาไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน วิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าที่ร้อนใจ ราวกับกลัวว่าเสิ่นเวยจะไม่พานางไปด้วย

 

 

เสิ่นเวยหลุดหัวเราะ “วางใจ ไม่ทิ้งเจ้าหรอก” กินข้าวเช้าเสร็จแล้วก็ไม่เห็นหัวคน ไม่รู้ว่าวิ่งไปหลบที่มุมไหนแล้ว ตอนนี้ได้ยินเรื่องกินก็วิ่งมาเร็วอย่างยิ่ง ไม่เสียชื่อที่เป็นปรมาจารย์จอมตะกละน้อย

 

 

เถาฮวาตะโกนอย่างดีใจ “คุณหนูดีจริงๆ คุณหนูดีที่สุดเลย” มีความสุขราวกับเด็กตัวน้อยๆ

 

 

เสิ่นเวยมองลูกผู้น้องและเถาฮวาที่ยิ้มเหมือนดอกทานตะวันสองดอก ดวงตาของนางก็โค้งขึ้นมาเช่นกัน จิตใจผ่อนคลาย เบิกบานมีความสุข สมกับทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิที่ดีเช่นนี้

 

 

เรือเทียบท่าแล้ว เสิ่นเวยกับเหอหลินหลินช่วยกันพยุงเสิ่นหย่าขึ้นฝั่ง เดิมเสิ่นหย่าไม่อยากลงเรือ ร่างกายนางอ่อนแอ ทั้งยังเมาเรือ ถึงฝั่งแล้วจะต้องรบกวนหลานสาวและลูกสาวแน่นอน แต่หลานสาวกับลูกสาวต่างก็ยืนกราน บอกว่าลงเรือไปเดินเล่นอารมณ์จะได้ดี จะได้ไม่รู้สึกพะอืดพะอมอีก

 

 

เมืองทงโจวเป็นเมืองที่ค่อนข้างเจริญ เสิ่นเวยเดินนำแถวคนสิบกว่าคนอย่างยิ่งใหญ่ มีสาวใช้มีแม่นม มีพ่อบ้านมีเด็กรับใช้ ซ้ำยังมีองครักษ์ เพียงแค่ดูจากเครื่องแต่งกายและท่าทางก็รู้แล้วว่าร่ำรวยสูงส่ง เมื่อลงเรือก็ดึงดูดสายตาคนเดินถนนไม่น้อย

 

 

เป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี พ่อบ้านรองนำเสิ่นเวยและคนอื่นๆ ไปทานข้าวที่เหลาสุราซึ่งจองไว้ก่อนหน้านี้

 

 

สือเหวยเทียน (อาหารเทียมฟ้า) อักษรตัวใหญ่ทาสีทองสามตัวส่องแสงประกายทองภายใต้แสงสะท้อนของดวงอาทิตย์ ลักษณะการเขียนยิ่งใหญ่มีพลังทั้งยังเรียบง่ายสามส่วน เสิ่นเวยแอบชื่นชมในใจว่าอักษรดี เพียงแค่เห็นป้ายร้านนี้เหลาสุราแห่งนี้ก็ควรค่าให้เข้าไปแล้ว เสิ่นเวยอดมองพ่อบ้านรองด้วยความชื่นชมปราดหนึ่งไม่ได้

 

 

แม้ว่าสีหน้าพ่อบ้านรองจะไม่แสดงอาการอะไร แต่ในใจกลับดีใจอย่างยิ่ง เดินนำทางด้วยความกระตือรือร้น “กูไหน่ไน คุณชายสี่ คุณหนูญาติผู้น้อง เชิญขอรับ บ่าวจองห้องโยวหลานห้องส่วนตัวที่ชั้นสองไว้แล้วขอรับ”

 

 

ห้องโยวหลานอยู่ฝั่งถนนพอดี เปิดหน้าต่างออกก็มองเห็นทัศนียภาพบนถนนได้ เหอหลินหลินวิ่งเข้าไปอย่างดีใจ เกาะขอบหน้าต่างมองออกไปข้างนอก หลังจากนั้นก็หันหน้ากลับมาเรียก “ท่านแม่ ท่านพี่ รีบมาดูเร็ว ข้างล่างนี่น่าสนใจยิ่งนัก”

 

 

“เด็กคนนี้นี่” เสิ่นหย่ามองลูกสาวด้วยความเอ็นดู “เจ้าคิดว่าใครจะเหมือนเจ้าที่เห็นอะไรก็แปลกใหม่ไปหมด สตรีเกาะขอบหน้าต่างเหมือนอะไรดี รีบนั่งเร็วเข้า”

 

 

เสิ่นเวยฝั่งนี้ไล่พ่อบ้านรองออกไปแล้ว เดินเข้ามายืนอยู่อีกฝั่งของหน้าต่าง “ไม่เป็นไร น้องยังเล็ก กฎมารยาทอะไรเหล่านี้กลับเมืองหลวงไปแล้วค่อยเรียนก็ยังไม่สาย ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่คือทงโจว ไม่มีใครรู้จักพวกเรา ให้น้องได้ผ่อนคลายสักหน่อยเถอะ”

 

 

เสิ่นหย่าไม่ยอมเอากฎระเบียบมาผูกตัวลูกสาว แต่อย่างไรเสียสังคมนี้ก็โหดร้ายกับสตรีเล็กน้อย กลับเมืองหลวงครั้งนี้ แม้จะบอกว่ากลับบ้าน แต่ชื่อเสียงที่หย่าร้างไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ดี หลินเอ๋อร์พ่อนางก็เป็นคนแบบนั้น สายตาที่คนทั่วไปมองหลินเอ๋อร์ก็อาจจะจุกจิกยิ่งขึ้น เพื่อที่หลินเอ๋อร์จะได้มีอนาคตที่ดี กฎระเบียบจึงจำเป็นต้องเข้มงวด

 

 

แต่เห็นรอยยิ้มบนหน้าลูกสาวแล้ว หัวใจของเสิ่นหย่าก็อ่อนลง “เจ้าเด็กคนนี้เริงร่านัก ลูกผู้พี่เจ้าเอ็นดูเจ้า” ท้ายที่สุดก็ไม่ได้เอ่ยเรื่องกฎระเบียบ

 

 

“ท่านพี่ ท่านดูน้ำตาลปั้นรูปคนนั่นสิ เหมือนจริงๆ ท่านพี่ ท่านพี่ ที่แดงๆ นั่นคือผลไม้เคลือบน้ำตาลใช่หรือไม่ มันมีรสเปรี้ยวหรือหวาน” เหอหลินหลินชี้ไปบนถนนพูดไม่หยุดปาก ทั้งใบหน้าตื่นเต้นดีใจ

 

 

เสิ่นเวยอดยิ้มไม่ได้ เด็กน้อยจริงๆ เป็นเด็กที่ทำให้คนเอ็นดู อายุสิบสามแล้วยังไม่เคยกินผลไม้เคลือบน้ำตาล มิน่าเล่าถึงได้ขี้สงสัยเพียงนี้

 

 

“เหอฮวา เย่ว์กุ้ย เจ้าสองคนไปซื้อของที่คุณหนูญาติผู้น้องชอบมาให้หมด” เสิ่นเวยสั่งโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับ นางชอบลูกผู้น้องคนนี้มากจริงๆ หนึ่งเพราะลูกผู้น้องคนนี้นิสัยไม่เลว ไม่ทำให้คนรำคาญ สองก็คือลูกผู้น้องคนนี้ถูกทรมานอยู่ในตระกูลเหอจนเศร้าซึมเล็กน้อย ไม่เริงร่ามีชีวิตชีวาเหมือนเด็กผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกัน เผยนิสัยของเด็กผู้หญิงที่ถูกกดเก็บไว้เนิ่นนานเล็กน้อย นางก็ทำใจบีบบังคับไม่ได้

 

 

“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่” เหอหลินหลินแลบลิ้น ท่าทางใสซื่อน่ารัก ทั้งยังมีความเกรงใจอยู่มาก

 

 

เสิ่นเวยลูบศีรษะของนาง ส่งรอยยิ้มปลอบใจให้นาง เสิ่นหย่าปากก็ตำหนิ แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับไม่หุบลงเลย แม่นมมั่วที่เข้มงวดกับกฎระเบียบที่สุดก็ยืนอยู่ข้างๆ อย่างสงบเสงี่ยม ทำเหมือนมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น นี่ทำให้เสิ่นเวยรู้สึกพอใจมาก

 

 

สายลมเบาๆ พัดผ่านหน้า แม้แต่ในอากาศยังคล้ายมีหลิ่นหอมของดอกไม้ในวสันตฤดู คุณชายวัยหนุ่มผู้หนึ่งกับแม่นางน่ารักอ่อนหวานผู้หนึ่ง ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสนิทชิดเชื้อ ภาพๆ นี้ตกอยู่ในสายตาของใครล้วนแต่เป็นภาพที่งดงามภาพหนึ่ง

 

 

“นายท่านสาม ท่านมองอะไรหรือขอรับ” บนเหลาสุราฝั่งตรงข้ามเด็กรับใช้ที่โค้งเอวผู้หนึ่งขมวดคิ้วถามเจ้านาย

 

 

ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่านายท่านสามดูเหมือนอารมณ์ดี ชี้พัดพับได้ไปยังฝั่งตรงข้าม กล่าว “ดูคู่รักคู่นั้นสิ”

 

 

เด็กรับใช้มองไปตามทิศทางที่ชี้ กล่าวอย่างยิ้มแย้ม “บ่าวคิดว่าไม่เหมือนคู่รักนะขอรับ กลับเหมือนพี่น้องคู่หนึ่ง ท่านดู หน้าตาของพวกเขาคล้ายกันเล็กน้อย ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นคุณชายคุณหนูตระกูลใด หน้าตาดีจริงๆ”

 

 

นายท่านสามตกตะลึง มองดูอย่างละเอียด อืม หน้าเหมือนกันเล็กน้อยจริงๆ “เอ้อร์กุ้ยเจ้ากลับตาดี ข้าคุ้นเคยกับเมืองทงโจว แต่กลับไม่เคยเห็นตระกูลใดมีบุตรที่โดดเด่นเพียงนี้ คงจะผ่านทางมาสินะ”

 

 

เอ้อร์กุ้ยเด็กรับใช้หัวเราะแหะๆ สองครา “ไม่ใช่ว่านายท่านสอบมาดีหรอกหรือ” ประจบประแจงจนนายท่านสามอารมณ์ดียิ่งกว่าเดิม

 

 

เอ้อร์กุ้ยลอบมองรอยยิ้มบนใบหน้านายท่านอย่างระมัดระวัง จู่ๆ ก็เกิดความคิดขึ้นมา เขาเดินไปข้างหน้าสองก้าวเบาๆ กล่าวเสียงเบา “นายท่านสาม ในเมื่อพวกเขาผ่านทางมา เช่นนั้นพวกเรา…” สองมือของเขาทำท่ากำราบ เจตนาไม่ต้องบอกก็รู้ “นายท่านสามบ่าวเห็นว่าหน้าตาของคุณชายผู้นั้นคล้ายโดดเด่นกว่าใคร ท่านว่าหากส่งเขาไปให้เบื้องบน จะมีประโยชน์บ้างหรือไม่ ถึงตอนนั้นนายท่านใหญ่นายท่านรองพวกเขาก็ไม่มีคุณสมบัติมาแข่งกับท่านแล้ว”

 

 

นายท่านสามฟังแล้วก็ใจเต้น อืม เป็นความคิดที่ไม่เลวจริงๆ “เอาสิเจ้าหนุ่ม ในที่สุดก็มีอนาคตแล้ว เรื่องนี้เจ้าพาคนไปทำด้วยตัวเอง เก็บหางให้เรียบร้อยอย่าให้มีเงื่อนงำอะไรหลุดออกไปได้

 

 

“ขอรับ นายท่านสามวางใจ บ่าวจักต้องจัดการให้เรียบร้อย” เอ้อร์กุ้ยถอยออกไปด้วยสีหน้าตื่นเต้นทั้งใบ

 

 

เหอหลินหลินเห็นของที่เหอฮวาเย่ว์กุ้ยซื้อมาก็ดีใจอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เสิ่นเวยบอกว่ากินข้าวก่อน นางก็คงจะยัดลูกซานจา (พุทราจีน) สีแดงๆ นั้นเข้าไปในปากทันที

 

 

ทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว ความตื่นเต้นของเหอหลินหลินก็ยังคงสูงอย่างยิ่ง แต่เสิ่นเวยกลับเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าท่านอานาง คิดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “ท่านอา พวกเราไปพักที่โรงเตี๊ยมก่อนดีกว่า” เสิ่นหย่าเองก็เหนื่อยจริงๆ จึงไม่ได้ปฏิเสธ

 

 

โรงเตี๊ยมเองก็มีพ่อบ้านรองเป็นคนจอง ห่างจากเหลาสุราไม่ไกล เดินเพียงหนึ่งเค่อก็ถึงแล้ว พ่อบ้านรองจองเรือนข้างหลังเล็กไว้ ไม่ใหญ่ แต่กลับได้ความเงียบสงบ

 

 

หลังจากที่เสิ่นหย่าพักผ่อนแล้ว เหอหลินหลินก็ยังคงกะพริบตาปริบๆ อยู่ข้างหลังเสิ่นเวย แววตาเต็มไปด้วยความหวัง เสิ่นเวยจะไม่รู้ความคิดของนางได้อย่างไร สั่งแม่นมมั่วหนึ่งครา “ข้าจะออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนลูกผู้น้อง กลับมาท่านอาตื่นแล้วก็บอกนางเสียหน่อย ไม่ให้นางต้องเป็นห่วง”

 

 

เหอหลินหลินได้ยินดังนั้นดวงตาก็โค้งขึ้นอีกครั้ง “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่”

 

 

เสิ่นเวยโบกมือ ไม่เก็บมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย อย่างไรเสียนางเองก็เหนื่อย ได้ถือโอกาสดูว่าเมืองทงโจวแห่งนี้มีของอะไรให้ซื้อกลับไปบ้าง ออกมาเที่ยวนี้ อย่างไรเสียก็ควรนำของขวัญกลับไปให้ญาติผู้ใหญ่และพี่น้องทั้งหลายบ้างไม่ใช่หรือ

 

 

ทิ้งกำลังคนจำนวนหนึ่งไว้ในโรงเตี๊ยม คนที่ตามเสิ่นเวยออกมามีเพียงโอวหยางไน่กับเหอฮวา นอกจากนียังมีเด็กรับใช้ที่ดูแลเรื่องจิปาถะสองคน เถาฮวาเด็กคนนั้นกินอิ่มแล้วก็นอนเหมือนกับหมู

 

 

เสิ่นเวยพาเหอหลินหลินเดินไปพลางดูไปพลาง ซื้อของมาไม่น้อย ในมือเด็กรับใช้ต่างก็ถือไม่ไหวแล้ว กลับโรงเตี๊ยมไปสองรอบแล้ว แต่ความต้องการซื้อของของเหอหลินหลินก็ยังไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย เห็นอะไรก็ตาลุกวาวไปหมด เสิ่นเวยเองก็ขี้เกียจจะเตือนนาง อย่างไรเสียก็ใช้เงินเพียงไม่เท่าไร ถือเสียว่าซื้อความสุขให้นาง

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset