วันที่สอง เสิ่นเวยเจอเซียงเหมยที่มาคารวะแล้ว เห็นเซียงเหมยเองก็ผอมลงมากเช่นเดียวกัน ในขณะที่เสิ่นเวยรู้สึกผิดก็รู้สึกอบอุ่นในใจ คนที่ห่วงใยนางเช่นนี้ได้ก็คือคนเหล่านี้ที่นางพากลับมาจากหมู่บ้านตระกูลเสิ่น ผูกพันกันยิ่งกว่าญาติเสียอีก
ในเมื่อมาวัดต้าเจวี๋ยแล้ว สวมบทบาทก็ยังต้องสวมต่ออีกสองสามวัน คงไม่อาจมาเมื่อวานกลับวันนี้ได้กระมัง
กินข้าวเช้าเสร็จแล้วเสิ่นเวยก็คัดคัมภีร์หนึ่งรอบด้วยตัวเอง จากนั้นก็ไปไหว้พระที่อุโบสถ คราวนี้ยังคงมีหลีฮวาไปเป็นเพื่อน เพียงแต่ไม่ได้สวมผ้าคลุมหน้าแล้ว
คุกเข่าอยู่หน้าพระ เบื้องลึกในจิตใจของเสิ่นเวยก็สงบ นางเคารพพระพุทธเจ้าแต่กลับไม่เชื่อ มิเช่นนั้นหากคิดตามชีวิตที่นางคร่ามานางก็บาปหนาเกินไปแล้วจริงๆ แต่เสิ่นเวยกลับสุขุมไร้กังวล นางเชื่อมั่นว่าคนที่นางฆ่าล้วนแต่เป็นคนที่สมควรตาย นางไม่ผิด ทุกสรรพสิ่งเท่าเทียมเป็นหลักปฏิบัติของศาสนาพุทธ หลักปฏิบัติของนางก็คือฆ่าได้ฆ่า ชำระหนี้แค้น
“สีกาผู้นี้ เจ้าอาวาสของอาตมาเรียนเชิญ” เสิ่นเวยกราบไหว้สามครั้ง รับธูปที่หลีฮวาส่งมาแล้วปักลงในกระถางธูป หลวงจีนน้อยผู้หนึ่งก็กล่าวกับนางเช่นนี้ด้วยความเคารพ
เสิ่นเวยประหลาดใจเล็กน้อย และคิดว่าน่าสนใจเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นกล่าว “เช่นนั้นก็ต้องรบกวนหลวงจีนน้อยนำทางแล้ว” จากมุมมองของเสิ่นเวย หลวงจีนก็เหมือนร่างทรง พูดแต่คำพูดลึกล้ำลับๆ ล่อๆ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีพระอาจารย์ชื่อดังอยู่จริงๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าอาวาสวัดต้าเจวี๋ยรูปนี้เป็นแบบไหน
เดินอยู่เป็นเวลาประมาณหนึ่งถ้วยน้ำชา เลี้ยวเข้าไปในทางเดินเส้นเล็กหนึ่งสาย สุดทางเดินเป็นวิหารหลายหลัง หลวงจีนน้อยชี้ทางให้เสิ่นเวย “สีกา เจ้าอาวาสของอาตมาอยู่ข้างใน เชิญสีกาเข้าไปเถิด”
ไม่แจ้งให้ทราบก็เรียกตัวเองเข้าไปแล้ว น่าสนใจจริงๆ มุมปากเสิ่นเวยกระดกขึ้น บอกเป็นนัยให้หลีฮวารออยู่ข้างนอก ตนผลักประตูเดินเข้าไป
หลวงจีนผมขาวหนวดขาวองค์หนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าชงชาอยู่บนเบาะทรงกลม ท่าทางตั้งใจ การเคลื่อนไหวดูเหมือนทำตามอำเภอใจแต่กลับมีความงดงามละเอียดอ่อน เสิ่นเวยยืนดูอยู่ครู่หนึ่ง เห็นหลวงจีนรูปนี้ไม่สนใจตนก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด กลับมองประเมิณกุฏิแห่งนี้แทน
สิ่งแรกที่สะท้อนเข้ามาในม่านตาก็คืออักษร禅 (ฌาน) ใหญ่ๆ ตัวนั้นบนผนังข้างหลังหลวงจีน อักษรดี เป็นคำที่ดีจริงๆ เสิ่นเวยเอ่ยชมในใจ แต่ยิ่งมองนางก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ ไอสังหารหนึ่งกลุ่มโผเข้ามาตรงหน้า ออกมาจากอักษร禅ใหญ่ๆ ตัวนี้ คาดไม่ถึงว่าศาสนาพุทธที่ให้ความสำคัญกับความเมตตากรุณา กวาดพื้นก็กลัวทำร้ายมดใช้ผ้าคลุมไฟเพราะกลัวแมงเม่าบินเข้ากองไฟนี้จะเขียนอักษรที่เต็มไปด้วยไอสังหารออกมาได้ โอ้ ช่างน่าสนใจจริงๆ
เสิ่นเวยรู้สึกสนใจอย่างถึงที่สุด เห็นหลวงจีนยังคงยุ่งอยู่ก็หาเบาะรองนั่งแล้วนั่งขัดสมาธิลงไป มองหลวงจีนชงชาด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก
การเคลื่อนไหวที่เบาสบายราวกับสายน้ำไหลนั่นงดงามจริงๆ เสิ่นเวยรู้สึกว่าฝีมือชงชาของหลวงจีนองค์นี้ดีกว่าอาจารย์ซูบุคคลสูงส่งที่สุดของนางเสียอีก ส่วนนางน่ะหรือ เหอะๆ ทั้งหมดก็แค่สร้างภาพ หลอกคนก็เท่านั้นเอง
“โยมเสิ่นเชิญดื่มชา” ในที่สุดหลวงจีนก็ชงชาเสร็จแล้ว เลื่อนถ้วยชาบนโต๊ะบอกเป็นนัยแก่เสิ่นเวย
เสิ่นเวยเองก็ไม่เกรงใจ ยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ หนึ่งครา ลิ้มรสช้าๆ อืม ไม่เลว ในปากมีความหอมอบอวลอยู่ รสชาติติดลิ้นยาวนาน
“ชาดี! ขอบคุณเจ้าค่ะเจ้าอาวาส” ดวงตาของเสิ่นเวยมีความดีใจ แม้ว่านางจะชงชาสร้างภาพ แต่การวิเคราะห์ชาก็ยังเคยเรียนมาบ้าง ยังพอพูดได้
หลวงจีนยิ้มน้อยๆ สีหน้าเคร่งขรึม “อาตมามีสมณศักดิ์ว่าเสวียนเฉิง โยมมาจากที่ใดหรือ”
เสิ่นเวยแทบจะพ่นชาออกมา มาจากที่ใดงั้นหรือ เหตุใดฉากนี้ถึงได้คุ้นเพียงนั้นเล่า คล้ายกับว่าร่างทรงนักต้มตุ๋นก็ชอบถามคำถามเช่นนี้
“ข้าหรือ ย่อมมาจากที่ที่จากมา ต่อจากนี้เจ้าอาวาสอย่าได้ถามว่าข้าอยากไปที่ไหน ข้าจะไปในที่ที่อยากไป” แววตาเสิ่นเวยมีความหยอกล้อ
เจ้าอาวาสเสวียนเฉิงไม่อึดอัดเลยแม้แต่น้อย มองเสิ่นเวยด้วยความเมตตา กล่าวต่อ “อาตมาเห็นหน้าโยม โยมมีวาสนาต่อพระพุทธ”
คราวนี้เสิ่นเวยพ่นชาออกมาแล้วจริงๆ ชาพ่นลงบนจีวรสีขาวสะอาดของเสวียนเฉิง เสิ่นเวยรีบขอโทษ “ขออภัยๆ ขออภัยจริงๆ ไต้ซือท่านพูดอะไรน่ากลัวเกินไปแล้ว ในเมื่อท่านรู้ว่าข้าคือใคร แล้วข้าจะยังมีวาสนาต่อพระพุทธอีกได้อย่างไร”
นางมีวาสนาต่อพระพุทธงั้นหรือ หลวงจีนใหญ่องค์นี้ยังกล้าพูดจริงๆ นางส่งคนลงนรกกับมืออย่างน้อยๆ ก็เป็นร้อยเป็นพันคนแล้ว คนที่กลิ่นคาวโลหิตเต็มทั่วร่างเช่นนางจะมีวาสนาต่อพระพุทธได้อย่างไร พระพุทธเจ้าชอบนางก็แปลกแล้ว หลวงจีนใหญ่ผู้นี้คงไม่ใช่ว่าอยากขอความช่วยเหลือจากนางจึงหลอกนางหรอกนะ
ภาพลักษณ์ที่เดิมยังสูงใหญ่อย่างยิ่งของเจ้าอาวาสเสวียนเฉิงพังทลายลงในใจเสิ่นเวย เหมือนร่างทรงที่พูดจาเหลวไหลไร้สาระขึ้นมาทันที
เจ้าอาวาสเสวียนเฉิงไม่หงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย ยังคงอมยิ้มน้อยๆ มองเสิ่นเวยแล้วกล่าวอย่างแฝงนัย “พระโพธิ์สัตว์หน้าโกรธก็ยังเป็นพระ”
เสิ่นเวยตกใจในใจ จากนั้นก็ได้ยินเจ้าอาวาสเสวียนเฉิงกล่าวต่อ “สามปีก่อนอาตมาจับยามดูสังเกตเห็นดาวอื่นมาเยือนโลก อาตมาคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตก วันนี้ได้เห็นโยมแล้ว อาตมาก็เพิ่งจะเข้าใจ เดิมโยมเป็นคนที่ควรจะตายตั้งแต่ยังเด็ก แต่ก็ยังเป็นคนที่มีโชคอย่างยิ่ง ขอเพียงแค่โยมรู้ดีชั่วอยู่แก่ใจ ลดความรุนแรงและความคิดที่จะสร้างบาปกรรมในใจลง จะต้องมีชีวิตที่รุ่งโรจน์อยู่เย็นเป็นสุขชั่วชีวิตแน่นอน”
เสิ่นเวยได้ยินแล้วก็ยิ่งตกใจ แต่สีหน้ากลับเรียบเฉย แสร้งทำท่าทีตั้งใจฟัง กระทั่งมุมปากยังอมยิ้มบางๆ เดิมคิดว่าหลวงจีนใหญ่ผู้นี้เป็นร่างทรงที่หลอกคน ไม่คิดว่าจะรู้ที่มาของนางหลายส่วนจริงๆ เขารู้จากการจับยามจริงๆ หรือว่าพูดมั่วซั่วไปเรื่อยกัน
เสิ่นเวยคิดว่าน่าจะเป็นแบบแรก ในใจก็เลื่อมใสขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “สาธุเจ้าค่ะไต้ซือ!”
เจ้าอาวาเสวียนเฉิงยิ้มน้อยๆ อีกครั้ง มองเสิ่นเวยด้วยความเมตตาปราดหนึ่งสวดอมิตพุทธหนึ่งคราจากนั้นก็หลับตาไม่เอ่ยปากอีก เขานั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้น ดูเคร่งขรึมศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจล่วงเกินเช่นนั้น มุมปากที่ตกลงน้อยๆ เหมือนกับว่าเศร้าโศกอาดูรเช่นนั้น
เสิ่นเวยก็นิ่งเงียบไม่พูดจา ดื่มชาในถ้วยชาหมดแล้วก็ถอยออกไปด้วยความเคารพเงียบๆ
เสิ่นเวยยืนอยู่หน้าประตูวิหาร เงยหน้ามองท้องฟ้าที่สูงและไกล นางกำลังคิด อะไรคือดี อะไรคือชั่ว นางจะแยกแยะอย่างไร จากนั้นเบื้องลึกในใจก็มีเสียงๆ หนึ่งบอกกับนาง การทำตามใจก็คือดีชั่วสำหรับนาง
เสิ่นเวยยิ้ม โบกมือให้หลีฮวาที่มองนางอย่างเป็นกังวล กล่าวอย่างสบายอารมณ์ “มาวัดต้าเจวี๋ยนานเพียงนี้ยังไม่ได้ชื่นชมทิวทัศน์ในวัดเลย พวกเราถือโอกาสเดินดูสักรอบก่อนกลับเถอะ”
การเคลื่อนไหวหน้าประตูวิหารย่อมหนีไม่พ้นสายตาเจ้าอาวาสเสวียนเฉิง เขาลืมตาขึ้นช้าๆ แววตาลุ่มลึกจมดิ่งประหนึ่งบ่อน้ำที่แห้งขอดพันปี ดวงชะตาโยมเสิ่นผู้นี้แปลกจริงๆ ไอสังหารเต็มตัว แต่ร่างกลับมีกุศลบารมีเปล่งปลั่ง ดีหรือชั่วล้วนอยู่ที่นางจะคิด เขาพยายามแนะนำสุดความสามารถแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าสีกาจะเข้าใจหรือไม่
อันที่จริงแล้ว วัดต้าเจวี๋ยในฤดูหนาวไม่มีอะไรให้ชื่นชมจริงๆ ต้นไม้เก่าแก่เยอะอย่างยิ่ง แต่บนต้นไม้กลับไม่มีใบไม้แม้แต่ใบเดียว กิ่งไม้ที่แห้งโกร๋นเสียดสีกันท่ามกลางสายลม เสิ่นเวยไม่รู้สึกสนใจเลยแม้แต่น้อย
แม้ทัศนียภาพจะไม่น่ามอง แต่เสิ่นเวยกลับเดินเล่นด้วยความสนใจใคร่รู้อย่างยิ่ง สิ่งที่นางสนใจก็คือหลวงจีนที่เดินอยู่ในวัดเหล่านั้น มีทั้งวัยกลางคนและวัยแก่เฒ่า ที่เยอะยังคงเป็นหลวงจีนน้อยวัยเยาว์ พวกเขาต่างก็สวมจีวรสีเทา ศีรษะโล้น ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเป็นระเบียบและสุขุม เมื่อเจอเสิ่นเวยนายบ่าวทั้งสองก็จะพนมมือหลีกไปข้างทาง
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูเจ้าคะ เหตุใดคนผู้นั้นยังตามพวกเราอยู่อีก” กำลังเดินเล่นอยู่ จู่ๆ หลีฮวาก็ดึงแขนเสื้อเสิ่นเวยบอกเป็นนัยให้นางมองไปข้างหลัง
เสิ่นเวยแสร้งปัดผมมองไปข้างหลังปราดหนึ่ง ก็เห็นว่าคนผู้นั้นที่หลีฮวาบอกคือชายวัยหนุ่ม สวมเสื้อผ้าสีกรมท่า แววตาแจ่มกระจ่าง เมื่อมองดูก็รู้ว่าเป็นบัณฑิตเรียบร้อยผู้หนึ่ง
“เจ้ามองผิดแล้วหรือไม่ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมาดูทิวทัศน์เหมือนกันก็ได้” เสิ่นเวยเชื่อมั่นในสายตาที่มองคนของตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นท่าทางสงบนิ่งเปิดเผย แววตาซื่อตรง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เหมือนคนมีเจตนาร้าย
ทว่าหลีฮวากลับยืนกราน “คุณหนู บ่าวมองไม่ผิดจริงๆ คนผู้นั้นเริ่มตามหลังพวกเรามาตั้งแต่ต้นมะเดื่อใหญ่ต้นนั้นแล้ว ทางข้างป่าไผ่เมื่อครู่พวกเราเดินผ่านสามรอบแล้ว เขาก็เดินตามพวกเราสามรอบแล้วเหมือนกัน” หลีฮวากล่าวอย่างตั้งใจมากเป็นพิเศษ
คิ้วของเสิ่นเวยขมวดมุ่น เดินตามหลังแค่รอบเดียวยังพูดได้ว่าบังเอิญ แต่สามรอบ ใช่ตั้งใจเกินไปหรือไม่ นางจะตาฝาดเชียวหรือ
“ไม่ต้องส่งเสียง ไม่ต้องหันกลับไป พวกเราเดินต่อ” เสิ่นเวยสั่งหลีฮวาหนึ่งครา ยกเท้าเลี้ยวเข้าไปในเส้นทางเล็กๆ อีกสาย เดินเข้าไปในที่เปลี่ยวขึ้นเรื่อยๆ
นึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มผู้นั้นยังตามพวกนางอยู่จริงๆ เปิดเผยโจ่งแจ้ง ไม่หลบซ่อนแม้แต่นิดเดียว ในใจเสิ่นเวยก็ยิ่งรู้สึกแปลก
“คุณชายท่านนี้ ท่านตามพวกข้ามาทำไมหรือ” ในที่เปลี่ยว เสิ่นเวยหันขวับกลับมาถาม
ชายหนุ่มผู้นั้นไม่คิดว่าคุณหนูผู้นี้จะกล้าเพียงนี้ บวกกับถูกประณามพฤติกรรมสะกดรอยตาม เขาก็รู้สึกละอายขึ้นมา
แต่เพียงแค่ชั่วขณะเขาก็กลับมาสุขุมเหมือนเดิม วิ่งเข้าไปประสานมือคารวะเสิ่นเวยแล้วกล่าว “เรียนถามคุณหนูใช่ผู้อยู่ที่เรือนเล็กฝั่งตะวันออกสุดของวัดต้าเจวี๋ยหรือไม่”
เสิ่นเวยเลิกคิ้ว “ใช่”
บนใบหน้าชายหนุ่มผู้นั้นมีความดีใจแวบผ่าน ทันใดนั้นก็ถามต่อ “ในเรือนใช่มีเด็กผู้หญิงอายุประมาณสามสี่ขวบอยู่ด้วยหรือไม่”
เสิ่นเวยนึกถึงนิวหนิ่วขึ้นมา แต่นางไม่ได้ตอบทันที แต่มองประเมินชายหนุ่มผู้นี้อย่างละเอียดแทน เห็นเพียงสีหน้าเขามีความร้อนใจ ในดวงตาทั้งคู่ซ่อนความหวังไว้รางๆ
“มีแล้วอย่างไร ไม่มีแล้วอย่างไร บุรุษเช่นท่านจะถามไปทำอะไร ไม่ใช่ว่าจะทำเรื่องลักพาตัวนั่นหรอกนะ” เสิ่นเวยตั้งใจตีหน้าขรึม
ชายหนุ่มผู้นั้นรีบโบกมือ อธิบายอย่างร้อนใจ “ไม่ใช่ๆ คุณหนูเข้าใจข้าน้อยผิดแล้ว ข้าน้อยเองก็เป็นคนรู้หลักทำนองคลองธรรม จะทำเรื่องผิดศีลธรรมเช่นนั้นได้อย่างไร”
“เจ้าบอกว่าไม่ใช่ก็จะไม่ใช่งั้นหรือ ในสมองคนชั่วก็ไม่ได้สลักคำไว้ไม่ใช่หรือ” เสิ่นเวยปรายตามองเขาแล้วกล่าว
ชายหนุ่มถอนหายใจหนึ่งครา กล่าวราวกับน้ำท่วมปาก “สารภาพตามตรง เดือนก่อนข้าน้อยเดินผ่านวัดต้าเจวี๋ยจึงมาพักเท้าที่นี่ เห็นเด็กผู้หญิงอายุสามสี่ขวบผู้หนึ่ง ใบหน้าเหมือนภรรยาที่หายตัวผู้นั้นของข้าน้อยอย่างยิ่ง ภรรยาและลูกสาวผู้นั้นของข้าน้อยหายตัวไปสองปีกว่าแล้ว ข้าน้อยเองก็ตามหามาสองปีกว่าแล้วเช่นกัน ตลอดมาไม่พบร่องรอยใดๆ เลย”
เสิ่นเวยสังเกตเห็นตอนที่เขาพูดถึงภรรยาและลูกสาวที่หายตัวไป สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและลำบากใจ
“ข้าน้อยเห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นเข้าไปในเรือนฝั่งตะวันออกสุด ข้าน้อยเข้าไปถาม แต่กลับถูกกันไว้ข้างนอก ตอนนั้นข้าน้อยมีงานด่วนจึงกลับเมืองหลวงก่อน ทำงานเสร็จแล้วข้าน้อยก็กลับมาทันที แต่ก็ไม่เห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นอีก ประตูเรือนเล็กหลังนั้นก็ปิดตลอดเวลา เจ้าอาวาสในวัดก็บอกว่านั่นเป็นเรือนของคุณหนูตระกูลขุนนางที่มาขอพรที่นี่ อย่าได้รบกวน ข้าน้อยเองก็กลัวจะทำลายชื่อเสียงของคุณหนูจึงทำได้เพียงเฝ้าดูอยู่ห่างๆ วันนี้เห็นคุณหนูออกมา ข้าน้อยจนปัญญาจริงๆ จึงแสดงท่าทีไม่เหมาะสมเช่นนี้ออกมา หวังว่าคุณหนูจะให้อภัย” เขาพูดพลางประสานมือโค้งต่ำหนึ่งครา
เสิ่นเวยกับหลีฮวาสบตากันปราดหนึ่ง ทั้งสองรู้สึกไม่คาดคิด ยังคงเป็นเสิ่นเวยที่สุขุม ถามเสียงเรียบ “ท่านชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน ภรรยากับลูกสาวชื่ออะไร”
“ข้าน้อยชื่อหลี่จื้อหย่วน เป็นคนอำเภอหนิงผิง ภรรยาของข้าน้อยแซ่เซวีย ชื่อเซียงเหมย ลูกสาวชื่อนิวหนิ่ว” ชายหนุ่มรีบกล่าว “คุณหนูรู้จักภรรยาและลูกสาวของข้าหรือ” สีหน้าทั้งใบหน้าระมัดระวัง
เสิ่นเวยกับหลีฮวาสบตากับปราดหนึ่งอีกครั้ง หลีฮวากำลังจะเอ่ยปากพูด ถูกเสิ่นเวยใช้สายตาห้ามไว้ อันที่จริงในใจเสิ่นเวยก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง นางจำได้ว่าสามีของเซียงเหมยชื่อหลี่จื้อหย่วน
นี่มันเกินบทไปแล้วหรือไม่ อยู่ห่างหลายพันลี้ก็พบกันอีกครั้งได้ด้วยหรือ บังเอิญเกินไปหน่อยแล้ว แต่ไม่ใช่มีคำที่กล่าวไว้หรือว่า ‘ไม่มีเรื่องบังเอิญนิทานคงไม่จบเล่ม’