หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 145 พี่จิ่วบ้าคลั่ง

เหล่าทายาทของราชวงศ์อ่อนแอ จิ้นอ๋อง หลิงอ๋องและฮ่องเต้อยู่คนละชั้น พวกเขาถูกฮ่องเต้มองว่าเป็นคนนอกมานานแล้วจึงไม่ต้องพูดถึง สายเลือดของฮ่องเต้และเยี่ยนอ๋อง มีเพียงเยี่ยนจิ่วเฉาเท่านั้นที่มีบุตรชาย นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีของราชวงศ์ ไม่เพียงแต่เป็นแฝดสาม พวกเขายังมีร่างกายที่แข็งแรงและมีชีวิตชีวาอีกด้วย ในแผ่นดินต้าโจวอันกว้างใหญ่ คงหาใครที่โชคดีกว่าเขาอีกไม่ได้แล้ว
เพียงแต่ว่า เหล่าเด็กหญิงล้วนแสดงความสามารถ เมื่อมาถึงคราวของเขา กลับไม่เป็นเช่นนั้น
ยังเร็วเกินไปที่จะทำพิธีบวงสรวงสวรรค์ ทุกคนอยู่ว่างๆ ก็คืออยู่ว่างๆ
องค์ชายใหญ่สวมกอดองค์หญิงใหญ่ที่มีอายุเกือบห้าขวบ “มา เล่นหมากกระดานกันสักตา”
องค์ชายสามไม่ยอมน้อยหน้า จูงมือองค์หญิงวัยสามขวบมา “ไหน วาดภาพกันสักหน่อย”
บรรดาองค์หญิงมีความสามารถยิ่งนัก ไม่รู้ว่าคุณชายน้อยทั้งสามของจวนคุณชายจะมีความสามารถใดบ้าง สายตาทุกคนมองไปที่เยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาลูบหัวเด็กจ้ำม่ำทั้งสามอย่างใจเย็น “กินอะไรสักหน่อย”
ทุกคน “…”
ณ โถงในตำหนักเจาหยาง อวี๋หวั่นได้พบปะกับเหล่าสตรีราชนิกูล โดยพื้นฐานเธอไม่ได้มีนิสัยชอบเข้าสังคม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอทำไม่ได้ หากเธอต้องการเอาใจใคร ก็แทบไม่มีครั้งไหนที่เอาใจไม่ได้ เธอมีลีลาการสนทนาที่เหมาะสม ดูสง่างามภูมิฐาน ไม่เหมือนกับดรุณีที่เติบโตมาในชนบทแม้แต่น้อย บนเรือนร่างของเธอไม่พบกลิ่นอายความเป็นชนบทที่หยาบกระด้าง แต่ก็มิได้เย่อหยิ่งจองหองไม่เห็นหัวผู้ใด ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป เมื่อทำได้ไม่อวดดี เมื่อทำไม่ดีไม่ผลุนผลัน ทุกสิ่งล้วนพอเหมาะพอดี
เด็กหญิงวัยหกขวบวิ่งหาฮองเฮาและกระซิบสองสามคำ ยามที่กระซิบก็มองอวี๋หวั่นจากมุมหางตาไปพลาง อวี๋หวั่นมองไปที่นางอย่างงวยงง แต่นางกลับวิ่งหนีไป
ฮองเฮาหัวเราะอย่างมีความสุขและตรัสกับอวี๋หวั่น “องค์หญิงจิ่วชอบเจ้า”
อวี๋หวั่นได้ศึกษาลำดับวงศ์ตระกูลของราชวงศ์ จึงรู้จักองค์หญิงจิ่วผู้แสนขี้อายคนนี้ มารดาของนางคือมู่กุ้ยผิน มู่กุ้ยผินจากไปเร็ว นางเติบโตมาในหวงจื่อเตี้ยน หวงจื่อเตี้ยนเป็นที่ที่องค์ชายและองค์หญิงอาศัยอยู่ เหล่านางสนมที่มีสถานะสูงศักดิ์พอ จะสามารถนำองค์ชายและองค์หญิงไปเลี้ยงดูอยู่ข้างกายได้ และส่วนใหญ่ซึ่งมีสถานะไม่สูงนัก ก็จะถูกพาตัวทายาทไปที่หวงจื่อเตี้ยน
เมื่อไม่กี่วันก่อนฮองเฮาไปเดินเล่นที่สวน และบังเอิญพบกับองค์หญิงจิ่วที่กำลังจับผีเสื้อ นางรู้สึกว่าเด็กหญิงตัวเล็กๆ ช่างดูใสซื่อน่ารัก จึงพากลับไปเลี้ยงดูที่ตำหนัก มนุษย์ เมื่ออายุมากขึ้นก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความรู้สึกเหงา และนางก็ไม่อาจร่วมหลับนอนได้อีกแล้ว หากต้องการรั้งฮ่องเต้ไว้ คงต้องหาวิธีอื่น
วิธีการที่ฮองเฮาใช้สร้างความมั่นคง อวี๋หวั่นไม่ได้ให้ความคิดเห็นอีก อวี๋หวั่นมองไปที่เด็กคนนั้น องค์หญิงจิ่วหน้าแดง ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังมามา โผล่ให้เห็นเพียงดวงตากลมโตที่เป็นประกายน้ำแวววาว
อวี๋หวั่นนึกถึงเด็กน้อยทั้งสาม พวกเขาก็เคยซ่อนอยู่หลังประตูด้วยท่าทางกระมิดกระเมี้ยน พลางใช้สายตาเช่นนี้มองเธอเช่นกัน เธอแน่ใจว่าองค์หญิงจิ่วชอบเธอจริงๆ ไม่ใช่คำพูดถนอมน้ำใจของฮองเฮา อวี๋หวั่นคลี่รอยยิ้มเป็นมิตร
องค์หญิงจิ่วก็หัวเราะ
ทันใดนั้น แม่นางชุยก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีรีบร้อน กระซิบรายงานฮองเฮาสองสามคำ ฮองเฮาพลันขมวดคิ้ว ทุกคนสังเกตเห็นท่าทีแปลกประหลาดของฮองเฮา ฮองเฮาก็เผยยิ้มอ่อนโยน “ใกล้ถึงเวลาแล้ว ข้าไปไม่นานเดี๋ยวก็กลับ”
ทุกคนค้อมกายคำนับ
เมื่อเดินผ่านหน้าอวี๋หวั่น ฮองเฮาก็ยื่นมือออกมา “หวั่นเอ๋อร์ไปกับข้าเเถิด”
“เพคะ” อวี๋หวั่นจับมือฮองเฮาเดินออกจากตำหนักเฟิ่งชี โดยมีแม่นางชุยกับบรรดาข้าหลวงและขันทีเดินตามอยู่ห่างๆ
เมื่อไร้คนนอก ฮองเฮาพลันถอนหายใจเหยียดยาว “องค์หญิงแห่งซยงหนูมีอารมณ์ฉุนเฉียวอีกแล้ว ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร นางก็ปฏิเสธจะสวมชุดแต่งงาน ข้าได้ยินว่าเจ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับองค์หญิงแห่งซยงหนู แล้วนางก็ยังเคยไปเยี่ยมเจ้าที่หมู่บ้านเหลียนฮวา เจ้าช่วยไปโน้มน้าวนางให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่?”
ผู้หญิงคนนั้นไปหมู่บ้านเหลียนฮวาเพื่อแย่งท่านพ่อของเธอไงละ…เธอกับองค์หญิงแห่งซยงหนูเหลือก็แต่ยังไม่ได้ตีกันกลางถนนเท่านั้น ตรงไหนที่เรียกว่าความสัมพันธ์อันดี…
หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นในวันแต่งงาน ทั้งราชวงศ์จะต้องอับอาย อวี๋หวั่นสูดหายใจ “หม่อมฉันจะลองดูเพคะ แต่จะสำเร็จหรือไม่ หม่อมฉันมิอาจรับรองได้”
ฮองเฮาจับมือของอวี๋หวั่นด้วยความซาบซึ้ง “ข้าเข้าใจ”
อวี๋หวั่นไปยังห้องขององค์หญิงแห่งซยงหนู ทันทีที่เดินไปถึงประตูก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายภาษาจงหยวนและภาษาถิ่นที่ผสมผสานกันอย่างซับซ้อน
“ข้าไม่แต่ง ข้าไม่แต่ง! ข้าบอกไปแล้วว่าข้าไม่แต่ง!”
“@ # ¥% @ #%!”
อวี๋หวั่นเข้าใจสองประโยคแรก แต่ภาษาซยงหนูประโยคหลังราวกับเป็นภาษาทูตสวรรค์ที่เธอฟังไม่เข้าใจ
“เราไม่ได้คุยกันไปแล้วรึ? หากเจ้ายอมแต่งงานอย่างเชื่อฟัง เจ้าต้องการสิ่งใดพี่ให้เจ้าได้ทุกอย่าง!”
“ข้าอยากกลับไปซยงหนู!”
“ยกเว้นสิ่งนี้!”
“เช่นนั้น @ #% # ¥!”
อวี๋หวั่นได้ฟังภาษาทูตสวรรค์อีกครั้ง
ในที่สุด องค์ชายรองแห่งซยงหนูก็กระแทกประตูออกมา ยามเดินผ่านไหล่ของอวี๋หวั่น เขาโกรธจนจำไม่ได้ว่าอีกฝ่ายที่มาเป็นพระชายา เมื่อได้สติกลับมา จึงกลับไปมองอวี๋หวั่น แต่อวี๋หวั่นก็เข้าห้องขององค์หญิงแห่งซยงหนูไปแล้ว
“ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่แต่ง!”
องค์หญิงแห่งซยงหนูได้ยินเสียงใครบางคนเข้ามา นางคิดว่าพี่ชายของนางกลับมาอีกครั้ง จึงไม่หันกลับไปมอง
อวี๋หวั่นกล่าว “ข้าเอง”
องค์หญิงแห่งซยงหนูหันกลับมา นางมองผู้มาเยือนด้วยความประหลาดใจ และใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะนึกออกว่าเป็นอวี๋หวั่น “เจ้าเองหรือ”
นางมองอวี๋หวั่นตั้งแต่หัวจรดเท้า นางไม่อาจเชื่อมโยงภาพสตรีสูงศักดิ์สง่างามที่อยู่ตรงหน้า กับสาวน้อยในหมู่บ้านซอมซ่อที่อยู่ในความทรงจำของนางเข้าด้วยกันได้
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าแต่งงานแล้ว แต่งงานกับเจ้าคนบ้านั่น” นางกอดอกราวกับค้นพบเหตุผลที่สมเหตุสมผลในการเปลี่ยนแปลงของอวี๋หวั่น แต่นางก็เข้าใจว่าเหตุผลนี้ไม่มีน้ำหนักพอ ไก่ฟ้าก็คือไก่ฟ้า แค่บินเกาะกิ่งไม้สูงแล้วจะกลายเป็นหงส์ได้อย่างไร? เว้นแต่จะเป็นหงส์ตั้งแต่แรกเริ่ม
อวี๋หวั่นยิ้มแผ่วเบา “ใช่ ข้าแต่งงานแล้ว ข้าแต่งงานกับคุณชายแห่งเมืองเยี่ยน ซึ่งจะเป็นเยี่ยนอ๋องในอนาคต”
องค์หญิงแห่งซยงหนูทำเสียงฮึดฮัด “เจ้ามาทำอันใดที่นี่? มาหัวเราะเยาะข้ารึ?”
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างใจเย็น “ข้าจะกล้าหัวเราะเยาะองค์หญิงได้อย่างไร? ข้ามาดูองค์หญิง ว่าที่นี่มีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือไม่”
องค์หญิงแห่งซยงหนูกล่าวอย่างโมโห “พวกเจ้าคนจงหยวนชอบทำตัวเจ้าเล่ห์ เห็นอยู่ชัดเจนว่าเกลียดข้า กลับยังแสร้งทำเป็นมีความสุข อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ เฉิงอ๋องไม่ต้องการแต่งงานกับข้า และเจ้าก็ไม่ต้องการจะช่วยข้า!”
อวี๋หวั่นยิ้มจางๆ “ความรู้สึกของเฉิงอ๋องข้าไม่รู้ แต่ข้ามาเพื่อช่วยองค์หญิงแต่งงาน อย่างไรเสีย หลังจากองค์หญิงแต่งงานแล้วเท่านั้น ข้าจึงจะโล่งใจได้”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” องค์หญิงแห่งซยงหนูมองด้วยสายตาเย็นชา
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างใจเย็น “คำกล่าวนี้ข้าควรถามองค์หญิงจึงจะถูก ยามนี้งานอภิเษกสมรสครั้งใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ทว่าก็ยังปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตาย หรือว่าองค์หญิงยังมีความรู้สึกต่อท่านพ่อของข้า ยังอยากแย่งท่านพ่อของข้าไปหรือ?”
องค์หญิงแห่งซยงหนูจ้องเธอ “ใครว่าเล่า? ข้าไม่ได้อยากแย่งเขาตั้งนานแล้ว!”
อวี๋หวั่นเหมือนยกภูเขาออกจากอก “เช่นนั้นก็ดี”
องค์หญิงแห่งซยงหนูกล่าวต่อ “ข้าอยากแย่งแม่ของเจ้า”
อวี๋หวั่น “…”

หนึ่งเค่อให้หลัง อวี๋หวั่นก็กลับออกมา
ฮองเฮามาต้อนรับเธอและถามอย่างใจจดใจจ่อ “เป็นอย่างไรบ้าง?”
อวี๋หวั่นถอนหายใจ หัวใจของฮองเฮาก็พลันหล่นวูบ
เมื่อหลีกทางไปด้านข้าง บนทางเดินก็ปรากฎเจ้าสาวผู้สดใสงดงาม มากเสน่ห์ให้ผู้คนหลงใหล นางสวมมงกุฎหงส์เครื่องยศสตรีพระราชทาน พร้อมกับสวมหน้าคลุมหน้าสีแดงเฉิดฉายน่าดึงดูด
ในที่สุด หัวใจที่หล่นวูบของฮองเฮาก็กลับมาสู่จุดเดิม “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้ามีวิธี! เจ้าช่วยข้าไว้ครั้งใหญ่ทีเดียว!”
ฮ่องเต้ให้นางจัดการงานอภิเษกสมรส นี่เป็นงานสำคัญชิ้นแรกที่นางได้ทำหลังออกมาจากตำหนักเฟิ่งชี หากมีความผิดพลาดใดเกิดขึ้น ต่อไปคงไม่ต้องคิดจะเอาตราประทับฮองเฮากลับคืนมาอีก
อวี๋หวั่นยิ้มหน้าตาย
หวังว่าในคืนแรกของการส่งตัวเข้าหอ เมื่อเฉิงอ๋องได้เห็นใบหน้าองค์หญิงแห่งซยงหนูที่ปูดบวม จะไม่ตกใจกลัวจนสิ้นลมไปเสียก่อน…
เมื่อถึงเวลา ฮ่องเต้และฮองเฮาก็นำเหล่าราชนิกุลและข้าราชบริพารทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ไปยังแท่นบูชาของตำหนัก ฮ่องเต้และฮองเฮาทำการบวงสรวงสวรรค์ เหล่าองค์ชายที่เคร่งครัดในศาสนาอยู่ด้านหลังคนทั้งสอง หลังจากนั้นบรรดาราชนิกุลและข้าราชบริพารทั้งหลายก็คุกเข่าลงสองฟากฝั่ง
“คุกเข่า–”
“ลุกขึ้น–”
อวี๋หวั่นก้มคำนับด้วยสายตาเนือยนิ่งไม่ไหวติง ขั้นตอนเหล่านี้วั่นมามาสอนเธอตอนที่อยู่จวนคุณชายไม่ต่ำกว่าร้อยครั้ง ดังนั้นแม้เป็นการบวงสรวงสวรรค์ครั้งแรก แต่เธอก็ทำได้เป็นอย่างดีทีเดียว
ได้ยินว่าทูตหนานจ้าวก็มาด้วย แต่มองเห็นพวกเขาได้จากที่ใดเธอก็ไม่ทราบ
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นฮ่องเต้กับฮองเฮาและบรรดาองค์ชายที่กำลังคุกเข่าคำนับ เธอไม่ได้ตั้งใจมองหาเยี่ยนจิ่วเฉา แต่กลับสังเกตเห็นเขาเป็นคนแรก ชายผู้นี้ ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็เฉิดฉายได้ทุกที่จริงๆ แตกต่างจากท่าทีหยิ่งผยองและเกเรในอดีต ในตอนนี้เขาสง่างามดังเทพเซียนยิ่งกว่าเดิม เขาไม่ใช่องค์ชาย แต่กลับดูเหมือนเทวราชาที่ยิ่งใหญ่กว่าผู้ใด
ฮ่องเต้เริ่มชราลง หลังจากคุกเข่าลงหลายครา ร่างกายก็เริ่มชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทว่าพระองค์ไม่กล้าเช็ด เพราะกลัวจะทำให้วิกผมหลุด
ในที่สุดการบวงสรวงสวรรค์ก็สิ้นสุดลง ฮ่องเต้และฮองเฮายังต้องไปที่เฟยหลวนเตี้ยน เพื่อเป็นประธานในพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเฉิงอ๋องกับองค์หญิงแห่งซยงหนู ในที่สุดพิธีทั้งหมดก็สิ้นสุดลง และวิกผมของฮ่องเต้ก็ติดไม่อยู่อีกต่อไป
ฮ่องเต้รีบจับพระเศียรของพระองค์ “กลับ กลับตำหนัก!”
ฮองเฮากลับตำหนัก เฉิงอ๋องและเจ้าสาวก็ไปที่จวนเฉิงอ๋อง เยี่ยนจิ่วเฉาและพระชายาก็ไปยังจวนเฉิงอ๋องเช่นกัน ในฐานะลูกพี่ลูกน้องของเฉิงอ๋อง
แขกที่จวนเฉิงอ๋องเยอะยิ่งนัก! เยี่ยนจิ่วเฉาเลิกคิ้ว จากนั้นก็จูงเด็กจ้ำม่ำทั้งสาม เดินอวดโฉมอย่างบ้าคลั่ง
อวี๋หวั่นเดินไปยังที่นั่งแขกสตรี ขณะที่กำลังเดินผ่านสวนดอกไม้ขนาดเล็ก ก็รู้สึกว่ามีใครบางคนเดินตามมา
เธอจ้องมองอย่างชะงักงัน คนปริศนาผู้นั้นก็พลันคว้ามือของเธอ
………………………………………

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป… วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม…

Options

not work with dark mode
Reset