เช้าตรู่วันนี้ ผู้บังคับบัญชาการเมืองชายแดนซีเจียงที่นัดกันไว้ดีแล้วแต่ละคนๆ ล้วนยืนอยู่บนยอดกำแพงเมือง ยืดคอเพ่งมองไปยังที่ไกลๆ ด้วยความวิตกกังวล
ฟังต้าฉุยร้อนใจเป็นพิเศษ ปราบโจรกับล่าสัตว์แตกต่างกัน โดยเฉพาะฟังว่าโจรบนเขาเฟิ่งหวงมีถึงแปดร้อยคน แต่ละคนต่างก็เป็นโจรห้าวหาญ กองทัพเด็กน้อยนับรวมกันแล้วยังไม่ถึงสี่ร้อยคน จำนวนคนเป็นครึ่งหนึ่งของพวกเขา ซ้ำยังเป็นเด็กวัยกำลังโต แม้ว่าคุณชายสี่จะชี้นำสั่งสอน แต่อย่างไรเสียเวลาที่ได้รับการฝึกฝนก็สั้น ลูกชายไม่เป็นอะไรจึงจะดีที่สุด
“มาแล้ว ดูเร็ว มาแล้ว” คนที่มีสายตาเฉียบแหลมมองเห็นจุดดำที่ปรากฏขึ้นมาบนเส้นขอบฟ้าก่อน
“ไหน ไหน ข้าดูบ้าง” ฟังต้าฉุยก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ถลึงตาโตออกแรงเพ่ง โห จริงด้วย ในใจเขาตื่นเต้นขึ้นมา
ยิ่งเข้ามาก็ยิ่งใกล้ สามารถมองเห็นกองทหารเด็กที่อยู่ข้างหน้าสุดได้อย่างชัดเจน กลุ่มคนบนยอดกำแพงเมืองตื่นเต้น คนที่มีลูกชายอยู่ในกองทหารเด็กต่างก็เบิกตาโตหาเงาร่างของลูกชาย
ท่านเสิ่นโหวเองก็มองหาหลานสาวที่ชอบทำให้คนเป็นกังวลผู้นั้น เห็นนางขี่ม้าเดินอยู่ข้างหน้าสุดด้วยสีหน้าสดใส เขาจึงวางใจลง บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่ภาคภูมิใจ ไม่เสียชื่อที่เป็นหลานสาวของเสิ่นผิงยวน แข็งแกร่งกว่าผู้ใดทั้งสิ้น
แม่ทัพอู่เลี่ยข้างกายเขามีความรู้สึกซับซ้อนอย่างยิ่ง ดูนางสิ เลี้ยงบุตรสาวเหมือนกัน แต่เหตุใดบุตรสาวจวนจงอู่โหวถึงเลี้ยงออกมาได้ดีเพียงนี้ บุตรสาวคนเล็กตระกูลตนแม้ว่ายุทธ์และการขี่ม้ายิงธนูจะไม่เลว แต่ในด้านแผนการและอุบายก็ยังห่างไกลจากคุณหนูสี่ยิ่งนัก อย่าว่าแต่บุตรสาวเขาเลย ทั่วทั้งเมืองหลวงก็หาบุตรสาวที่เทียบเคียงนางไม่ได้อีกแล้ว
“ท่านโหวดูสิ นั่นคือเจ้าสามของตระกูลข้า” ฟังต้าฉุยเห็นลูกชายที่เดินอยู่ข้างหน้าก็ตื่นเต้น หัวใจเต้นตึกๆ “อย่าได้บาดเจ็บตรงไหนเลย” หากว่าบาดเจ็บ ฮูหยินคงจะเอาชีวิตเขาเป็นแน่
“แม่ทัพวางใจเถอะ เห็นเจ้าหลี่ของท่านเดินด้วยกำลังวังชาเช่นนั้นก็รู้แล้วว่าสบายดี” คนที่อยู่ข้างๆ ปลอบเขา ที่แท้แล้วเขาก็เอ่ยความในใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ดูข้างหลังเร็ว” จู่ๆ ก็มีคนกล่าว “ดีจริงๆ คุณชายสี่เอาของกลับมาให้พวกเราอีกแล้ว” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ทุกคนมองออกไป จริงด้วย ข้างหลังกองทหารเด็กมีขบวนรถยาวเหยียดไม่เห็นปลายแถว ไม่ต้องดูก็รู้ว่าของที่บรรทุกอยู่ในรถล้วนแต่เป็นของดี มิเช่นนั้นคุณชายสี่ก็คงไม่เปลืองแรงขนกลับมาหรอก
“ยินดีกับท่านโหวด้วยจริงๆ หากลูกข้ามีความสามารถได้ครึ่งหนึ่งของคุณชายสี่ ข้าคงจะนอนหลับฝันดีทุกคืน” ทั้งใบหน้าคนผู้นี้เต็มไปด้วยความอิจฉา
“ท่านโหว คุณชายสี่จะอยู่ที่เมืองชายแดนของพวกเราต่อหรือไม่” มีคนถามเช่นนี้ คนที่เหลือต่างก็มองตาปริบๆ ชนรุ่นหลังที่มีความสามารถเช่นนี้ใครบ้างจะไม่ชอบ ตั้งแต่ที่เขามา ชีวิตในเมืองชายแดนก็ก้าวหน้ากว่าเมื่อก่อนมาก กินดี มีเสื้อผ้าให้ใส่ เงินเดือนกองทัพได้ครบและตรงเวลา อีกทั้งยังสู้รบชนะอยู่บ่อยๆ ติดตามเจ้านายเช่นนี้ใครบ้างจะไม่ยินดี
ท่านเสิ่นโหวนิ่วหน้า เขาจะพูดอย่างไรดี หากเจ้าสี่เป็นเด็กผู้ชายไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องทำให้นางอยู่ที่เมืองชายแดนต่อให้ได้ แต่เจ้าสี่เป็นเด็กผู้หญิง อีกทั้งยังเป็นเด็กผู้หญิงที่หมั้นหมายแล้ว ไหนเลยจะอยู่ที่เมืองชายแดนได้
“เจ้าสี่ยังเล็ก แต่ว่าคุณชายใหญ่กลับอยู่ต่อได้” ท่านเสิ่นโหวลูบเครายิ้มน้อยๆ แล้วกล่าว
แม้ว่าทุกคนจะผิดหวังเล็กน้อย แต่พอคิดอีกที จริงสิ คุณชายใหญ่ต่างหากที่เป็นหลานชายคนโต เป็นผู้สืบทอดตามกฎระเบียบจวนโหว หากคุณชายสี่อยู่ที่เมืองชายแดนด้วย ซ้ำยังมีความสามารถมากกว่าคุณชายใหญ่ นี่จะทำให้เกิดเหตุการณ์แตกหักระหว่างพี่น้องมิใช่หรือ เฮ้อ ตระกูลใหญ่ๆ ก็มีข้อเสียเช่นนี้สินะ
“เปิดประตูเมือง” เห็นว่าผู้สร้างคุณูปการกลุ่มนี้กำลังจะถึงประตูเมืองแล้ว ท่านเสิ่นโหวก็รักษาวินัยทหารให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีใครแตกแถว และไม่มีใครพูดคุย ทำให้เหล่าหัวหน้าบนยอดกำแพงเมืองยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจอยู่เต็มอก
ฟังลูกชายเล่าเหตุการณ์ปราบโจรจบแล้ว บนใบหน้าฟังต้าฉุยก็ปรากฏความอ่อนไหว มือใหญ่ลูบศีรษะของลูกชายด้วยความภูมิใจอย่างถึงที่สุด “เด็กดี มีอนาคตแล้ว”
ฟังจงหลี่เองก็ดีใจอย่างยิ่ง “เป็นเพราะคุณชายสี่สอนดี คุณชายสี่ของพวกเราบอกว่า ใช้กลยุทธ์ได้ก็ไม่ต้องใช้แรง อย่าคิดว่าจะใช้กำลังที่น้อยกว่าชนะข้าศึกที่มีกำลังมากกว่าได้ นั่นล้วนแต่เป็นเรื่องที่หมดหนทาง สละชีพมากเกินไป ไม่ว่าเมื่อไรก็ตามต้องเห็นชีวิตเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ขอเพียงแค่คนยังมีชีวิตอยู่จึงจะมีโอกาสชนะ”
ฟังต้าฉุยไตร่ตรองอย่างละเอียด ยิ่งไตร่ตรองก็ยิ่งรู้สึกว่าถูกต้อง ขอเพียงแค่คนยังมีชีวิตอยู่ก็จะมีความหวัง คนตายหมดแล้วจะยังโต้ตอบอะไรได้อีก ได้รับการสั่งสอนของคุณชายสี่ เจ้าสามโชคดีจริงๆ
เสิ่นเวยกลับไปถึงจวนโหวก็เล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้ปู่นางฟังรอบหนึ่ง ท่านเสิ่นโหวจุปาก เด็กสาวคนนี้ช่างกล้าหาญ กองทัพเด็กน้อยที่นางปลุกปั้นมากับมือเองก็เป็นกลุ่มคนที่ห้าวหาญไม่เกรงกลัวเช่นกัน คนแค่สามคนยังกล้าบุกรังโจร คาดไม่ถึงว่ายังทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จได้จริงๆ นี่จะให้เขาพูดอะไรได้อีก ต่อให้เขานำทัพปราบโจรเองก็ยังคิดไม่ได้ขนาดนี้
“เขตป้องกันเฮยผิงนั่นห่างจากเขาเฟิ่งหวงแค่ยี่สิบลี้ พวกเขาไม่มาดูหน่อยหรือ” ท่านเสิ่นโหวไม่เชื่ออย่างยิ่ง คนเหล่านั้นในเขตป้องกันเป็นหมูตายหรืออย่างไร การเคลื่อนไหวที่ใหญ่เช่นนี้จะไม่มาดูเชียวหรือ
เสิ่นเวยแสยะปาก กล่าวเหยียดหยาม “ไปแล้วน่ะสิ แต่กว่าจะไปก็วันที่สองแล้ว ผู้บังคับกองพันผู้นั้นขี้ขลาดจริงๆ เพียงแค่ศพไม่กี่ศพก็กลัวจนวิ่งหนีกลับแล้ว ไประดมทหารม้าก่อนจึงจะกล้าขึ้นเขา” นางตั้งใจทิ้งทหารลับไว้สังเกตสถานการณ์
“เขาไม่ได้ตามสืบเรื่องนี้หรือ” ท่านเสิ่นโหวไม่เชื่อ เรื่องที่ได้ทำจะต้องทิ้งร่องรอยไว้แน่นอน หากเป็นเขา จะต้องตรวจดูรอบด้าน พวกเขานำเสบียงมาเยอะเพียงนี้ เดินทางไม่เร็ว หากตั้งใจจะตามสืบก็ต้องหาร่องรอยพบแน่นอน
เสิ่นเวยกล่าว “เช่นนั้นก็เห็นได้ชัดแล้วว่าพวกเขามีลับลมคมนัย ตอนนี้ข้ามั่นใจได้แล้วว่าเขตป้องกันกับโจรสมรู้ร่วมคิดกัน” มิเช่นนั้นจะกันไม่ให้คนอื่นเข้ามารุกรานอาณาเขตผลประโยชน์ของตัวเองทำไม ซ้ำยังปล่อยให้โจรแสดงอำนาจยิ่งใหญ่เพียงนี้ ไม่สมรู้ร่วมคิดก็บ้าแล้ว อีกทั้งข่าวที่ทหารลับกลับมารายงานยังกล่าวว่า ข่าวที่โจรเขาเฟิ่งหวงถูกกวาดล้างไม่แพร่งพรายออกไปอย่างสิ้นเชิง สงบนิ่งราวกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย
“ต่อให้พวกเขาจะตามสืบก็ไม่กลัว อย่างมากพวกเราก็อ้างว่าฝึกซ้อมข้ามเขต แต่เรื่องที่ทำก็เป็นเรื่องดี ถึงตอนนั้นพวกเราก็ใส่ร้ายฝ่ายตรงข้ามให้พวกเขาทนไม่ไหว โจรเขาเฟิ่งหวงอยู่มาได้หลายปีเพียงนั้น ไม่มีพิษไม่มีภัยต่อเขตป้องกันที่อยู่ข้างๆ เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร อย่าหาข้ออ้างว่าโจรมีอำนาจมาก เด็กวัยกำลังโตหนึ่งกลุ่มยังทำได้ แต่ทหารประจำการเขตป้องกันเช่นเจ้าทำไม่ได้งั้นหรือ ราชสำนักเลี้ยงคนไร้ประโยชน์เช่นพวกเจ้าไว้ทำไม…
…ข้ออ้างข้าคิดไว้แล้ว ลูกชายคนเล็กของแม่ทัพเมืองชายแดนพวกเราถูกโจรเขาเฟิ่งหวงลักพาตัว พวกเราก็ต้องไปช่วยไม่ใช่หรือ แต่พวกเราเห็นแก่ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝั่ง แม้แต่ทหารประจำการก็ไม่ได้ส่งไป แต่ส่งเด็กวัยกำลังโตจำนวนหนึ่ง ดูสิว่าพวกเขาจะยังมีหน้าพูดอะไรได้อีก” เสิ่นเวยแสดงท่าทางภูมิใจ ปลิ้นปล้อนอย่างถึงที่สุด
ท่านเสิ่นโหวยิ้มแล้ว ในรอยยิ้มมีความชื่นชม เจ้าสี่เด็กสาวคนนี้ไม่เพียงแต่กล้าหาญ ความคิดก็เป็นขั้นเป็นตอน แม้ว่าจะเป็นเด็กผู้หญิง เขาก็ยังดีใจ! อืม ต่อไปนี้ต้องตั้งกฎในบ้าน สอนเด็กผู้หญิงเด็กผู้ชายให้เหมือนกัน เด็กผู้หญิงมีอนาคตจึงจะเป็นแรงสนับสนุนจวนโหว
ชั่วพริบตาก็ถึงวันออกเรือนของเสิ่นเสวี่ยแล้ว ไม่กี่วันก่อนนางก็เริ่มวิ่งเต้นไปมา คิดจะพาฮูหยินหลิวแม่ของนางออกจากหอธรรม เหตุผลยังมีมากพอ ‘บุตรสาวจะออกเรือน คนเป็นแม่ไม่อยู่ จะทำให้คนนินทาเอามิใช่หรือ’
เหล่าไท่จวินเห็นด้วย บังคับให้คนปล่อยฮูหยินหลิวออกมาทันที ฟังเสวี่ยเอ๋อร์บอกว่าแม่นางอยู่ในหอธรรมได้รับความลำบากไม่น้อย อย่างไรเสียฮูหยินหลิวก็เป็นหลานสาวของนาง นางยังคงสงสารเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าในใจฮูหยินสวี่จะไม่ยินดี แต่กลับถูกบังคับจนหมดหนทาง อย่างไรเสียนี่ก็คือแม่สามี เป็นถึงลูกสะใภ้ ไหนเลยจะกล้าอกตัญญู
ทว่าเสิ่นเจวี๋ยกลับยืนกรานไม่เห็นด้วย เหตุผลก็เพียงพออย่างยิ่งเช่นกัน “ให้ฮูหยินหลิวไปสำนึกผิดที่หอธรรมท่านปู่เองก็เห็นด้วย ตอนนี้หากจะปล่อยนางออกมา ก็ต้องมีคำสั่งของท่านปู่จึงจะถูก”
เขากัดฟันยืนกรานว่าจะต้องให้ท่านปู่พูดจึงจะได้ เหล่าไท่จวินอัดอั้นใจ แต่ก็ไร้หนทาง ปรึกษากับเสิ่นเจวี๋ย “เจวี๋ยเอ๋อร์เจ้าดูสิ ปู่เจ้าอยู่ไกลถึงเมืองชายแดนซีเจียง ส่วนวันที่พี่ห้าของเจ้าก็จะออกเรือนก็ใกล้เข้ามาแล้ว ทำเช่นนี้จะไม่ทันน่ะสิ ไม่ใช่ว่าจะปล่อยนางออกมา เพียงแค่ให้ออกมารับหน้าพิธีวันที่พี่ห้าเจ้าออกเรือนก็เท่านั้นเอง”
เสิ่นเจวี๋ยนิ่งเฉย เขาไม่ได้โง่ ฮูหยินหลิวออกมาแล้ว หากคิดจะส่งนางกลับเข้าไปอีกก็ยากแล้ว ถึงตอนนั้นนางก็จะมีเหตุผลไม่ยอมกลับไปร้อยแปดพันเก้า บ้างก็ว่าเจ้าสาวกลับบ้านมารดาไม่อยู่จะดูไม่ดีต่างๆ นานา หรือว่าแกล้งป่วยเสียเลย นางป่วยจนเลอะเลือนไร้สติ เจ้าจะจัดการได้อย่างไร
โดยเฉพาะถึงตอนนั้นแล้วต้องทะเลาะวิวาทกับนางอีก ไม่ให้นางออกมาตอนนี้เสียเลยยังดีกว่า ท่านพี่บอกแล้วว่า ตนเป็นผู้ชายอย่าเข้าไปก้าวก่ายเรื่องเรือนหลังให้มากนัก อาจารย์ซูเองก็เคยพูดคล้ายๆ กัน บอกว่าเหยี่ยวที่บินฉวัดเฉวียนบนนภาจะยื่นหน้าเข้าไปในกรงนกได้อย่างไร
เหล่าไท่จวินทำอะไรหลานชายไม่ได้ก็บันดาลโทสะกับลูกชายนาง ความรู้สึกของเสิ่นหงเซวียนซับซ้อนอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าเวยเอ๋อร์อยู่ที่ซีเจียง ตกดึกเขาก็นอนหลับไม่สนิทอีกเลย แต่เมื่อเห็นมารดาฟ้องร้อง เขาก็ใจอ่อนเล็กน้อย ตั้งแต่เล็กจนโต คนที่ท่านแม่รักที่สุดก็คือเขาอย่างไรเล่า
“เจวี๋ยเอ๋อร์…” เสิ่นหงเซวียนเพิ่งจะเอ่ยปาก ก็ถูกความเหยียดหยามในสีหน้าของลูกชายทำให้พูดไม่ออก
“ท่านพ่อลืมไปแล้วหรือว่าเหตุใดฮูหยินหลิวถึงต้องอยู่ในหอธรรม ตอนนี้พี่สาวข้าขอพรให้ท่านปู่อยู่ที่วัดต้าเจวี๋ย ท่านพ่อจะปล่อยฮูหยินหลิวอกมาเคยนึกถึงความรู้สึกของพวกข้าสองพี่น้องบ้างหรือไม่ หรือว่าพวกข้าสองพี่น้องไม่ได้สำคัญกับท่านพ่อมากเพียงนั้น” คำว่าขอพรสองคำนี้เสิ่นเจวี๋ยเน้นหนักเป็นพิเศษ
เสิ่นหงเซวียนพูดไม่ออกแล้ว เขามองลูกชายที่ไม่ประจบไม่วางก้ามตรงหน้า จำต้องยอมรับว่าฮูหยินหร่วนมอบลูกชายลูกสาวยอดเยี่ยมคู่หนึ่งให้เขา นึกถึงหญิงที่อ่อนโยนงดงามผู้นั้น ในใจเขาก็เจ็บปวดราวกับถูกอะไรบางอย่างกระชาก
ช่างเถอะๆ ไม่ปล่อยก็ไม่ปล่อย ในเมื่อเจวี๋ยเอ๋อร์ยืนกราน เช่นนั้นก็ตามใจเขาเถอะ
“ท่านแม่ ให้ฮูหยินหลิวอยู่ในหอธรรมไปก่อนเถิด มีพี่สะใภ้ใหญ่อยู่ เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์ไม่เสียหน้าหรอก” เสิ่นหงเซวียนตัดสินเด็ดขาด
ลูกชายก็พูดเช่นนี้แล้ว เหล่าไท่จวินจะยังพูดอะไรได้อีก ทุบต้นขาอย่างอัดอั้น แต่จะมีวิธีใดอีก นั่นคือลูกชายของนาง
เสิ่นเสวี่ยเองก็โกรธจนควันออกหู “คนชั่วๆ มีแต่คนชั่ว” คนโตอุตส่าห์ไม่อยู่ แต่คนเล็กกลับรับมือยากเพียงนี้ ท่านพ่อก็เหมือนกัน บอกว่ารักตน ทว่าแม้แต่เรื่องเล็กๆ แค่นี้ยังไม่รับปาก เหอะ!
“น้องอี้เห็นแล้วหรือยัง พวกเราพี่น้องจะไม่มีที่ยืนในจวนนี้แล้ว เจ้าต้องมีอนาคตดีๆ พี่กับแม่ต้องพึ่งเจ้าแล้ว” เสิ่นเสวี่ยเดินไปเดินมาในห้องราวกับคนอับจนหนทาง คว้าไหล่น้องชายออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด
แม้เสิ่นอี้จะรู้สึกว่าพี่สาวเขาเหมือนถูกผีเข้าเล็กน้อย แต่ก็ยังคงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง อย่างไรเสียเสิ่นอี้ก็เพิ่งจะอายุเก้าปี ตั้งแต่ที่ฮูหยินหลิวเข้าหอธรรม เขาก็ไม่สบายใจอย่างยิ่งหวาดกลัวอย่างยิ่ง บ่าวรับใช้ข้างกายก็เริ่มฉกฉวยผลประโยชน์ แต่หลังจากถูกพี่ห้าตำหนิก็ดีขึ้นแล้ว พี่ห้ายังมักจะมาตรวจการบ้านเขาอยู่บ่อยครั้ง มีอะไรไม่เข้าใจก็จะอธิบายให้เขาฟัง
เขาเริ่มรู้สึกว่าท่านแม่อยู่หรือไม่อยู่ก็เหมือนกัน กระทั่งยังเป็นอิสระกว่าเล็กน้อย ส่วนพี่ชายห้ากับพี่สาวสี่ก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายเหมือนอย่างที่ท่านแม่บอก กลับดีต่อเขายิ่งนัก
วันนั้นที่เสิ่นเสวี่ยออกเรือน สุดท้ายแล้วฮูหยินหลิวไม่ได้ออกมา เสิ่นเสวี่ยจึงออกเรือนไปพร้อมกับความไม่พอใจและเคียดแค้น