ณ ซีเหลียง
บาดแผลของหลี่หยวนเผิงองค์ชายใหญ่ที่ถูกลูกธนูแทงในสนามรบจนพ่ายแพ้กลับไปก็ดีขึ้นมากแล้ว แน่นอนว่านี่เป็นเพียงอาการภายนอก หากแตะบริเวณที่บาดเจ็บก็ยังคงปวดอย่างยิ่ง
“สืบไม่ได้หรือว่าคนผู้นั้นคือใคร” หลี่หยวนเผิงถามกุนซือที่แต่งตัวเป็นชาวฮั่นข้างกาย
กุนซือส่ายหน้า “หลายปีมานี้ไม่เคยได้ยินว่าเมืองชายแดนซีเจียงมีบุคคลชั้นยอดเช่นนี้อยู่” อายุน้อย แต่กลับเต็มไปด้วยไอสังหาร ธนูดอกนั้นที่ยิงองค์ชายใหญ่ทั้งรุนแรงทั้งแม่นยำ เขากับเมืองชายแดนซีเจียงก็นับได้ว่าสู้รบกันมาหลายปีแล้ว ไม่เคยเห็นหรือได้ยินชื่อเด็กหนุ่มเช่นนี้มาก่อน “หรือว่า ผู้ชราส่งคนแฝงตัวเข้าไป…”
ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกองค์ชายใหญ่ขัดแล้ว “ไม่ต้อง ไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องเจออยู่ดี รู้เร็วหนึ่งวันรู้ช้าหนึ่งวันจะไปสำคัญอะไร” มุมปากเขาอมยิ้มเย็นชา
กุนซือไม่แน่ใจเจตนาขององค์ชายใหญ่ในชั่วขณะ ว่ากันตามเหตุผล องค์ชายใหญ่ควรจะเคียดแค้นเด็กหนุ่มที่ยิงธนูผู้นั้นมิใช่หรือ เหตุใดเขาถึงดูอารมณ์ดีอย่างยิ่งเล่า
กุนซือผู้นี้เป็นชาวฮั่น ภูมิใจที่ตนมีความรู้กว้างไกล แต่กลับไม่เคยอ่านความคิดองค์ชายใหญ่แคว้น
ซีเหลียงผู้นี้ออกเลย แต่เพราะว่าเห็นความสำคัญขององค์ชายใหญ่ผู้นี้ เขาจึงยินยอมพร้อมใจอยู่ช่วยเหลือ
องค์ชายใหญ่เคียดแค้นคนผู้นั้นที่ยิงธนูใส่เขาจริงๆ แต่ก็รู้สึกดีอย่างยิ่งเช่นกัน เดิมซีเหลียงก็ยกย่องยอดฝีมือ ในสนามรบก็ยิ่งมีเพียงการฆ่าฟันอย่างเอาเป็นเอาตาย ตนโดนธนูยิง นั่นก็เป็นเพราะว่าตนสู้คนอื่นไม่ได้ ไม่อาจโทษอย่างอื่น นึกถึงเด็กหนุ่มที่หน้าตางดงามยิ่งกว่าหญิงสาวผู้นั้น หลี่หยวนเผิงก็ทอดถอนใจ ท้ายที่สุดที่ราบภาคกลางอันเลื่องชื่อก็บ่มเพาะคนเช่นนี้ออกมาได้
“องค์ชายรองฝั่งนั้นเล่าพ่ะย่ะค่ะ” กุนซือกล่าวด้วยความลังเลเล็กน้อย
องค์ชายใหญ่หัวเราะเยาะหนึ่งครา “เหอะ เขากลับใช้เล่ห์เหลี่ยมอวดฉลาดได้ แต่ข้าเองก็ไม่ใช่หมูในอวย วางใจได้ ต่อให้เขาจะกระโดดสูงกว่านี้ ก็แตะต้องคนของข้าไม่ได้หรอก”
คิดจะฉวยโอกาสแย่งอำนาจทหารของเขาตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บและกองทัพแพ้พ่ายงั้นหรือ อย่าว่าแต่องค์ชายรองเล็กๆ เช่นเขาเลย แม้แต่เสด็จพ่อก็ยังต้องคิดแล้วคิดอีก หลายปีมานี้กิจการในกองทัพของเขาก็ไม่ได้ให้เปล่านะ
ประมุขซีเหลียงมีพระราชโอรสเจ็ดพระองค์ คนที่ตั้งตัวจนมีอิทธิพลในนั้นคือองค์ชายใหญ่ องค์ชายรองและองค์ชายสี่ มารดาขององค์ชายรองคือองค์ราชินี บ้านฝ่ายมารดาเองก็เป็นขุนนางผู้กุมอำนาจ มีอำนาจในซีเหลียงมากล้น มารดาขององค์ชายสี่คือพระสนมเอกคนโปรด ได้รับความโปรดปรานจากประมุข อำนาจของฝ่ายมารดาเองก็ไม่น้อย
เปรียบเทียบกันแล้วฐานะขององค์ชายใหญ่ไม่น่าเชิดชูนัก เขาเกิดจากนางกำนัล เป็นบุตรที่เกิดมาเพราะว่าประมุขซีเหลียงในตอนที่ยังเป็นองค์ชายเมาสุราร่วมอภิรมย์กับนางกำนัลผู้หนึ่ง ดังนั้นตอนที่องค์ชายใหญ่ยังเด็กจึงมีชีวิตที่ค่อนข้างน่าเวทนา โชคดีที่เขามีจิตใจที่แน่วแน่ เมื่ออายุได้สิบสองปีก็ขอเข้ากองทัพ ต่อสู้ดิ้นรนทีละก้าวๆ ใช้เวลาสิบปีในที่สุดก็ยืนหยัดอยู่ในกองทัพได้ มีฉายาว่าองค์ชายใจเหล็ก
องค์ชายรองกับองค์ชายสี่มีอำนาจมากในราชวงศ์ แต่ในกองทัพกลับน้อยนิด ดังนั้นเขาทั้งสองจึงจับจ้องอำนาจทหารในมือองค์ชายใหญ่ตาเป็นมัน ครั้งนี้องค์ชายใหญ่พ่ายแพ้ องค์ชายรองก็ใส่ร้ายป้ายสีต่อหน้าประมุขไปไม่น้อย คิดจะแย่งอำนาจทหารพี่ใหญ่ของเขา
องค์ชายสี่กลับซื่อสัตย์อย่างยิ่ง ไม่ได้ฉวยโอกาสซ้ำเติม แต่องค์ชายใหญ่ก็ยังไม่ไว้ใจเขาอยู่ดี รู้สึกเพียงแค่ว่าเขามีแผนการที่ใหญ่ยิ่งกว่า
“บอกเสด็จพ่อว่าอาการบาดเจ็บของข้ายังไม่หายดี พ่ายแพ้ครั้งนี้ ข้าอับอายที่จะต้องเจอหน้าเสด็จพ่อ ข้าต้องเก็บตัวในจวนตรึกตรองความผิดพลาด” องค์ชายใหญ่ออกคำสั่ง
ในเมื่อน้องรองจะแย่งเช่นนั้นก็ให้เขามาแย่งไป แล้วให้เสด็จพ่อเห็นว่า กองทัพใหญ่ซีเหลียงไม่ใช่ของที่ใครจะสามารถบัญชาการได้ อย่าได้ฝันเฟื่อง
พวกเขาใช้ชีวิตหรูหราอยู่ในเมืองหลวง ตนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ในกองทัพ กว่าจะได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ เจ้าพูดง่ายๆ แค่ประโยคเดียวก็จะแย่งไปงั้นหรือ ฝันไปเถอะ คิดว่าตนเป็นคนตายหรือไร อย่าลืมว่าเขาเองก็เป็นองค์ชายที่ถูกต้องกฎมณเฑียรบาล ตำแหน่งอันสูงส่งนั้น เหตุใดเขาถึงจะแย่งมาไม่ได้เล่า
สวีโย่วมองจิ้งจอกน้อยของเขากำลังสืบถามว่าเขามีทรัพย์สินส่วนตัวเท่าไรด้วยท่าทีอ้อมค้อม ชั่วขณะในใจก็เบิกบาน เขาลืมไปได้อย่างไรว่าเด็กคนนี้โลภมากในทรัพย์สินเงินทอง
“ทรัพย์สินส่วนตัวของข้าหรือ ไม่เยอะ แต่ก็ไม่น้อย” สวีโย่วกล่าวเสียงเรียบ นี่กลับเป็นความจริง แม้ว่าเงินที่จวนอ๋องให้เขาทุกปีแม้จะไม่เยอะ แต่ในมือเขาก็ไม่ขาดแคลนเงิน นอกจากบำเหน็จของจักรพรรดิแล้ว เพียงแค่สินเดิมของมารดาแท้ๆ ของเขาก็เพียงพอให้เขาใช้จ่ายไปได้สองชาติแล้ว
นึกถึงสตรีที่ให้กำเนิดเขาผู้นั้นเขาก็ถอนหายใจ ฮ่องเต้องค์ก่อนก็คือเสด็จปู่ของเขาที่ปูทางให้มารดาของเขาด้วยความราบรื่นเพียงนั้น นางยังทำจนตัวเองตายได้ จะให้เขาที่เป็นลูกชายพูดอะไรดีเล่า
หากเปลี่ยนเป็นเด็กน้อย จะต้องไม่มีทางทำตัวเองตายหรือเสียเปรียบคนอื่นแน่นอนใช่หรือไม่ ด้วยนิสัยของเด็กน้อยคนนี้คาดว่าจะต้องทำให้เสด็จพ่อของเขาตายแน่ๆ อย่าคิดว่าเขาดูไม่ออก เมื่อพระราชโองการพระราชทานสมรสประกาศออกมา แววตาที่เด็กน้อยมองเขาก็มีประกายความโหดเ**้ยม หากไม่ใช่ว่าเขาหน้าตาดี ทั้งยังปฏิบัติต่อนางอย่างดี เด็กคนนี้คงสามารถลงมือฆ่าเขาได้จริงๆ
เขาน่ะ ชอบความแข็งแกร่งและความอดทนของเด็กคนน้อยคนนี้ สามารถปกป้องอาณาเขตและคนของตัวเองได้ หากเป็นเหมือนแม่เขา เขาคงจะร้องไห้จริงๆ แล้ว
หลังมารดาเขาตายก็ยังเสียเปรียบให้ชายหญิงชั่วคู่นั้นอีกมิใช่หรือ เสด็จปู่โมโหแล้วอย่างไร สามารถฆ่าลูกชายแท้ๆ ของตนได้หรือ ดังนั้นเขาจึงพระราชทานสินเดิมของมารดาให้เขาต่อหน้าพระพักตร์ คนอื่นล้วนแต่คิดว่าสินเดิมของมารดาเขายังอยู่ในมือจักรพรรดิ แต่อันที่จริงกลับอยู่ในมือเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ขาดแคลนทรัพย์สินส่วนตัวจริงๆ
“ไม่มากไม่น้อยแล้วมันเท่าไรเล่า ต้องมีตัวเลขบอกหน่อยหรือไม่” เสิ่นเวยกล่าวอย่างไม่พอใจ เหอะ ปกติเจ้าเข้าใกล้ข้าเช่นนั้น ตอนนี้เมื่อเอ่ยถึงเรื่องเงินเจ้าทำมาเป็นพูดทางการ ดูสิ หางสุนัขจิ้งจอกโผล่ออกมาแล้วน่ะ พวกบุรุษ เชื่อไม่ได้จริงๆ
ความคิดนั้นของเสิ่นเวยเขียนไว้บนใบหน้าหมดแล้ว สวีโย่วกลัวจะแย่แล้ว เขากำลังพยายามเอาชนะใจหญิงงามอยู่ ไม่อาจปล่อยให้เด็กน้อยคนนี้มีอคติกับตนได้
“ตัวเลขอย่างละเอียดข้าจะรู้ได้อย่างไร เจ้าวางใจเถอะ พอเลี้ยงเจ้าได้ เพียงพอให้พวกเราสองคนใช้ไปได้ทั้งชีวิต” สวีโย่วรีบกล่าว
เสิ่นเวยหัวเราะเยาะหนึ่งครา “ชิ ที่พี่สาวมีก็คือเงิน เงินของพี่สาวพอใช้จ่าย” พี่สาวไม่ลดตัวไปใช้เงินของเจ้าหรอก ให้เกียรติเจ้าหรอกถึงได้ถาม ไม่ยินดีก็ช่าง พี่สาวไม่ยินยอมรับใช้เจ้าหรอก
เสิ่นเวยกลับหลังหันกำลังจะจากไป อารมณ์เปลี่ยนแปลงไปในพริบตาเดียว สีหน้าท่าทางดูถูกใต้หล้าเช่นนั้นทำให้เจียงไป๋ที่ยืนอยู่ข้างๆ ตะลึงงัน มารดามันสิ คุณหนูสี่โมโหง่ายจริงๆ ที่ทำให้เขายิ่งตกตะลึงยังคงเป็นการตอบสนองของคุณชายของเขา
สวีโย่วยื่นมือคว้าแขนของเสิ่นเวยไว้ ถอนหายใจกล่าว “อารมณ์ร้อนอะไรเช่นนี้ ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลยมิใช่หรือ เจ้าก็แค่อยากรู้ว่าข้ามีทรัพย์สินส่วนตัวเท่าไรมิใช่หรือ กลับเมืองหลวงแล้วข้าจะให้คนส่งบัญชีทั้งหมดมาให้เจ้า” เจ้าว่าเขาชอบเด็กสาวที่อารมณ์ร้อนกว่าใครผู้นี้ได้อย่างไรกันนะ
เสิ่นเวยเหลือบตามองสวีโย่ว นั่งลงหัวเราะเยาะต่อ “ท่านคิดว่าข้าพิสวาสงั้นหรือ หากเป็นคนอื่นข้ายังขี้เกียจถามเลย” ไม่ใช่คิดว่าเจ้าเป็นคนของข้าหรือไร แม้แต่ทรัพย์สินส่วนตัวของเสิ่นเจวี๋ยนางยังไม่เคยเห็นห่วงเลย ช่างไม่รู้ดีชั่วจริงๆ
“ใช่ๆๆ ข้าผิดเอง รอจนพวกเราแต่งงานกันแล้ว ทรัพย์สินส่วนตัวของข้าก็จะเป็นของเจ้าทั้งหมด” สวีโย่วทำท่าทางสำนึกผิด
“ไม่เอา” เสิ่นเวยยังคงเล่นตัว
“เอาไปเถอะๆ ข้ายินดีให้อยู่แล้ว” สวีโย่วกล่าวเสียงอ่อนนุ่ม
“จริงหรือ” เสิ่นเวยเหลือบตาสูงมองสวีโย่ว
สวีโย่วพยักหน้าถี่ๆ เสิ่นเวยจึงเผยท่าทางยิ้มแย้มออกมา “เช่นนี้ก็พอได้” ผู้ชายกุมเงินส่วนตัวไว้ในมือเพื่ออะไร เลี้ยงอนุภรรยา? ดื่มสุรา? ทำให้คนไม่สบายใจยิ่งนัก กุมไว้ในมือตนยังจะปลอดภัยกว่า
สวีโย่วถอนหายใจ มองท่าทางยิ้มแย้มของเด็กน้อย รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ ทำได้เพียงถอนหายใจ “เจ้าบอกสิว่าเหตุใดเจ้าถึงชอบเงินเพียงนั้น”
เสิ่นเวยกลับมีเหตุผลจะตอบโต้ “ผู้ชายเช่นท่านจะเอาเงินส่วนตัวไว้ทำอะไรเล่า ใบหน้าเช่นนี้ของท่านดึงดูดผู้หญิงได้มากเกินไปแล้ว ในมือยังกุมเงินจำนวนมากไว้อีก ข้าไหนเลยจะวางใจ” เสิ่นเวยตบหน้าสวีโย่วเบาๆ แล้วกล่าว
สวีโย่วยิ่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดึงดูดผู้หญิงงั้นหรือ คิดว่าเขาเป็นดอกไม้หรือไร ยี่สิบสองปีนี้ของเขาบริสุทธิ์ไร้มลทิน ข้างกายไม่มีแม้แต่สาวใช้สักคนเดียว แต่ว่าการที่เด็กคนนี้เข้มงวดกับเขา เขากลับมีความสุขอย่างยิ่ง
เสิ่นเวยยังคงเอ็ดตะโรอยู่ตรงนั้นต่อ “ข้าจะบอกอะไรท่านไว้ ห้ามมีอนุภรรยา หากท่านพาสตรีมั่วซั่วกลับมาเพิ่มความกลัดกลุ้มให้ข้า เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถทำลายใบหน้าที่งดงามดวงนี้ของท่านได้” เสิ่นเวยหรี่ตา มือเล็กๆ ทั้งคู่ลูบใบหน้าของสวีโย่วไปมา
สวีโย่วรักเด็กน้อยที่ชอบพูดจาข่มขู่คนนี้แทบตายแล้วจริงๆ เขากุมมือขาวผ่องของเสิ่นเวยแล้วเอ่ยรับปากอย่างสบายๆ “ไม่แต่งอนุภรรยาๆ” มีเด็กน้อยที่น่าสนใจเพียงนี้อยู่ด้วย มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะแต่งอนุภรรยา
เจียงไป๋อยากวิ่งหนีแล้ว คุณชาย มาดของท่านเล่า ยังไม่เคยเห็นท่าทางเร่งรีบยัดเงินเช่นนี้มาก่อน สีหน้าเขาขมขื่น คาดเดาถึงชีวิตที่น่าเวทนาของคุณชายเขาในภายหน้าได้แล้ว
ท่านเสิ่นโหว หลานสาวท่านเป็นนางเสือท่านรู้หรือไม่ จักรพรรดิ ท่านขุดหลุมฝังคุณชายของพวกเราแล้ว