บทที่ 118 อดีตและปัจจุบัน (2)
Ink Stone_Romance
ที่แท้ก็เป็นการขโมยของ อวี๋หวั่นฟังมาถึงตรงนี้ก็ลอบถอนหายใจ นิสัยของอวี๋ซงเป็นอย่างไรเธอรู้ดี เขาอาจจะทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่นบ้าง แต่ไม่มีทางขโมยของ ถ้าหากเกิดเรื่องด้วยเหตุผลนี้ ก็หมายความว่าอวี๋ซงถูกใส่ร้าย และเรื่องนี้ย่อมมีทางออก
อวี๋หวั่นเดินไปข้างหน้า แล้วพูดกับทั้งสองท่านด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจว่า “…ข้าเป็นน้องสาวของอวี๋เจี้ยนเซิง สามีข้าแซ่เยี่ยน”
สายตาของเจี้ยนเซิงทั้งหลายต่างจับจ้องไปยังอวี๋หวั่น ในหมู่บ้านอวี๋ซงนับว่าหล่อเหล่า แต่เมื่อเข้ามาในเมืองหลวง ท่ามกลางเหล่าคุณชายเจ้าสำราญ เขากลับมิได้นับว่าเป็นที่สะดุดตาเท่าไร กระนั้นพวกเขาก็ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าอวี๋ซงจะมีน้องสาวที่งดงามถึงเพียงนี้
อวี๋ซงไม่ได้เป็นคนจากชนบทหรอกหรือ? เหตุใดรูปลักษณ์และท่าทางของน้องสาวเขาไม่ยักเหมือนเลยเล่า!
เจี้ยนเซิงเหล่านี้อาจไม่รู้ฐานะของอวี๋หวั่น หากแต่อาจารย์เลี่ยวและอาจารย์ซุนย่อมกระจ่างดี ทั้งสองขมวดคิ้ว ความคิดแรกของพวกเขาคือ ฮูหยินคนใหม่ของจวนคุณชายเยี่ยนผู้นี้กำลังใช้อำนาจข่มขู่พวกเขาอยู่
อาจารย์เลี่ยวกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นปกติว่า “ข้าแซ่เลี่ยว เป็นอาจารย์ของอวี๋ซง ท่านนี้คืออาจารย์ซุน เป็นอาจารย์ของหลิ่วเจี้ยนเซิง”
หลิ่วเจี้ยนเซิง? เขาก็คือคนที่ถูกอวี๋ซง ‘ขโมย’ ตั๋วแลกเงินใช่ไหม?
อวี๋หวั่นหันไปมองเขา บังเอิญว่าหลิ่วเจี้ยนเซิงกำลังมองอวี๋หวั่นอยู่พอดี ทั้งสองมองตากัน หลิ่วเจี้ยนเซิงท่าทางประหม่าราวกับถูกจับได้ เขาหลุบตาลง เพียงเพราะอวี๋หวั่นงดงามเหลือเกินจนเขาอดไม่ได้ที่จะมองสักครา
อวี๋ซงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ถ้าเจ้ามองน้องสาวข้าอีก! ข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมา!”
หลิ่วเจี้ยนเซิงขนลุกซู่
อวี๋หวั่นเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าหลิ่วเจี้ยนเซิง “เจี้ยนเซิงท่านนี้ ท่านบอกว่าพี่ชายข้าขโมยตั๋วแลกเงินของท่านไป ท่านเห็นกับตาหรือไม่ว่าเขาขโมย? หรือว่าท่านเพียงแต่เจอของจากใต้เตียงของเขา? ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ไม่แน่ว่าผู้อื่นอาจขโมยมา แล้วมาซ่อนไว้ใต้เตียงของพี่ชายข้าก็เป็นได้”
ลมโชยมาอย่างแผ่วเบา พัดพากลิ่นหอมจากกายของอวี๋หวั่น หลิ่วเจี้ยนเซิงรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นระรัว
อวี๋ซงยกเท้าขึ้นถีบเขาทีหนึ่ง!
“อาจารย์ ท่านดู! เขาถีบข้า!” หลิ่วเจี้ยนเซิงฟ้อง
อาจารย์มองเห็นความหยาบคายในดวงตาของเขา จึงมิได้ออกหน้าแก้ต่างแต่อย่างใด
หลิ่วเจี้ยนเซิงรู้เต็มอกว่าตนผิด เขาถูจมูกด้วยความขุ่นเคือง แล้วพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เห็นว่าเขาขโมย แต่มีคนเห็นว่าเขาเดินเข้าห้องของข้าไป ก่อนที่ข้าจะออกมา ตั๋วแลกเงินยังอยู่ พอข้ากลับไปก็หายไปแล้ว”
“ผู้ใดเห็นว่าเขาเข้าไปในห้องหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
“จ้าวเหิง” หลิ่วเจี้ยนเซิงตอบ
อวี๋หวั่นมองอวี๋ซง อวี๋ซงพยักหน้า เขาไปห้องของหลิ่วเจี้ยนเซิงและจ้าวเหิงจริง ทว่าไม่ใช่เพื่อไปขโมยของ หากแต่เป็นเพราะเขาเดินไปผิดห้อง กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่เห็นจ้าวเหิงเดินเข้าห้องมา เขาจึงรีบออกไป
อวี๋หวั่นถามหลิ่วเจี้ยนเซิงว่า “เหตุใดท่านไม่สงสัยจ้าวเหิง? เขาก็เดินเข้าห้องไปเหมือนกัน เขามีแนวโน้มที่จะทำเรื่องนี้มากกว่าอีก พี่ชายข้าเข้าไปแล้วก็ออกมา เขาไม่คุ้นเคยกับท่าน ไม่รู้ว่าท่านเก็บตั๋วแลกเงินไว้ที่ใด เช่นนั้นในระยะเวลาอันแสนสั้น เขาจะไปขโมยได้อย่างไร?”
หลิ่วเจี้ยนเซิงอึ้งไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ตอบตะกุกตะกักว่า “…จ้าว…จ้าวเหิงไม่มีทางขโมยของข้า…”
อวี๋หวั่นถามต่อ “จ้าวเหิงไม่มีทางขโมย แล้วพี่ชายข้ามีทางขโมยอย่างนั้นรึ? คงไม่ใช่เพราะท่านเห็นพี่ชายข้าแล้วรู้สึกไม่ถูกชะตา จึงใส่ร้ายเขาหรอกกระมัง?”
“ข้าเปล่า!” หลิ่วเจี้ยนเซิงโมโห
“พี่หลิ่ว! พี่หลิ่ว!” เพื่อนร่วมห้องอีกคนหนึ่งของหลิ่วเจี้ยนเซิงและจ้าวเหิงวิ่งกระหืดกระหอบมา “เจอแล้ว เป็นติงกุ้ยเอ๋อร์นั่น! เขา…เขาสารภาพแล้ว!”
ทันทีที่เขาพูดจบ อวี๋หวั่นก็เห็นอิ่งสือซันหิ้วบุรุษหนุ่มตัวสั่นเทิ้มคนหนึ่งมา
ติงกุ้ยเอ๋อร์เป็นเจี้ยนเซิงคนหนึ่ง เขามีนิสัยลักเล็กขโมยน้อย เพียงแต่ไม่เคยถูกจับได้คาหนังคาเขา ครั้งนี้เป้าหมายของเขาคือหลิ่วเจี้ยนเซิง จึงถือโอกาสที่หลิ่วเจี้ยนเซิงและเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ ไม่อยู่ เข้าไปในหอพักของพวกเขา หลังจากที่เขาขโมยตั๋วแลกเงินไป และหลิ่วเจี้ยนเซิงหามันไม่เจอ ด้วยความตื่นตระหนก ติงกุ้ยเอ๋อร์จึงเข้าไปในห้องของอวี๋ซง แล้วยัดตั๋วแลกเงินที่ตนขโมยมาไว้ใต้เตียงเจี้ยนเซิงผู้มาใหม่
ติงกุ้ยเอ๋อร์ทำเรื่องเหล่านี้อยู่เป็นนิจ เขามือไม้ว่องไว มีทักษะในการหลบเลี่ยงดีเยี่ยม เพียงแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอิ่งสือซัน ความสามารถเพียงเท่านี้นับว่าไม่เพียงพอ
อิ่งสือซันเป็นมือสังหาร น่ากลัวเสียจนทำให้ติงกุ้ยเอ๋อร์กลัวหัวหด ติงกุ้ยเอ๋อร์ไม่กล้าปิดบัง จึงสารภาพออกมาทั้งหมด
มลทินของอวี๋ซงถูกชำระล้าง เป็นหลิ่วเจี้ยนเซิงที่ใส่ความเขา และเป็นหลิ่วเจี้ยนเซิงที่หาเรื่องอวี๋ซงก่อน จนทั้งสองวิวาทกัน ถึงแม้ว่าอวี๋ซงจะมือหนัก แต่นั่นก็ไม่ใช่เพราะหลิวเจี้ยนเซิงหาเรื่องใส่ตัวเองหรอกหรือ?
สำนักบัณฑิตขับไล่ติงกุ้ยเอ๋อร์ออกไป หลิ่วเจี้ยนเซิงถูกลงโทษให้คัดหนังสือ ปัญหาครั้งนี้ก็ได้ผ่านพ้นไป
อวี๋หวั่นเข้าไปขอบคุณและขอโทษอาจารย์ทั้งสองท่าน
แม้ว่าการทะเลาะวิวาทระหว่างอวี๋ซงและหลิวเจี้ยนเซิงจะเป็นหลิวเจี้ยนเซิงก่อเรื่องขึ้น ทว่าอวี๋ซงก็ลงไม้ลงมือหนักเกินไป หากไม่ใช่เพราะอาจารย์มาทัน หลิ่วเจี้ยนเซิงคงจะพิการ อีกทั้งโต๊ะและเก้าอี้ก็คงแตกกระจายไปหมดด้วย
อวี๋ซงรู้สึกไม่สบายใจ เขาไม่รู้สึกว่าตนเองทำอะไรผิด หากย้อนกลับไปเขาก็ยังจะต่อยคนแซ่หลิ่วนั่นให้เละ แต่ท่าทาง ‘โอบอ้อมอารี’ ของน้องสาวต่อหน้าผู้คนนั้นทำให้เขารู้สึกแย่เหลือเกิน
อวี๋ซงกำหมัดแน่น
อวี๋หวั่นรออาจารย์เดินไป จากนั้นก็หยิบยาจินชวงขวดหนึ่งให้อวี๋ซง
อวี๋ซงรู้สึกอดสูจนต้องก้มหน้า ไม่ยอมยื่นมือไปรับ
เขาไม่ใช่บัณฑิต ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเหล่าผู้รู้หนังสือ เมื่อเจอกับเรื่องแบบนี้ เขาจึงใช้กำปั้นแก้ปัญหา…
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ มองไปยังป่าไผ่แล้วเอ่ยขึ้นว่า “สถานะใหม่ปรับตัวยากว่าไหมพี่รอง ข้าเองก็กำลังเรียนรู้ที่จะเป็นฮูหยินที่ดีอยู่ ข้าก็ถูกมามาลงโทษเหมือนกัน”
อวี๋ซงไม่อยากเชื่อ น้องสาวของเขาเป็นคนเฉลียวฉลาดที่สุดเท่าที่เขารู้จัก นางจะถูกลงโทษได้อย่างไร?
อวี๋หวั่นยัดขวดยาใส่มือของอวี๋ซง “ข้าต้องกลับไปทำการบ้านแล้ว พรุ่งนี้มามาจะทดสอบข้า”
เห็นชัดๆ ว่าเขากำลังสร้างปัญหาให้นาง แต่นางกลับไม่กล่าวโทษเขาแม้แต่คำเดียว…
นัยน์ตาของอวี๋ซงสั่นเล็กน้อย “อาหวั่น…”
“หืม?” อวี๋หวั่นหันกลับมา
อวี๋ซงกำขวดยาแน่น หายใจเข้าลึกๆ “…ข้าจะไม่สร้างเรื่องอีกแล้ว”
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้า “ต่อให้พี่รองสร้างเรื่องก็ไม่เป็นไร”
……
ขณะที่อวี๋หวั่นเดินออกมาจากกั๋วจื่อเจียนและกำลังจะขึ้นรถม้า ก็สวนกับบุรุษคนหนึ่ง ข้างกายของเขามีเด็กหนุ่มสวมเสื้อผ้าสีน้ำเงิน
อวี๋หวั่นออกไปแล้ว แต่ทั้งสองยังคงมองตามเธอไป พวกเขาขมวดคิ้ว
“ท่านปู่ขอรับ ท่านคิดว่าฮูหยินเมื่อครู่คุ้นหน้าหรือไม่?” ฉีหลินเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
เกาหย่วนครุ่นคิด “…เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
“อ้อ! ข้านึกออกแล้ว!” ฉีหลินตบหน้าผากตนเองเบาๆ “แม่นางที่รักษาม้าเหงื่อโลหิตอย่างไรเล่าขอรับ!”
เกาหย่วนขมวดคิ้ว ในวันนั้นเขาสนใจเพียงว่าเกิดอะไรขึ้น มิได้สังเกตว่าผู้ใดเป็นคนช่วยชีวิตม้าตัวนั้นเอาไว้
“เอ๋? นั่นไม่ใช่รถม้าจวนคุณชายหรอกหรือขอรับ?” ฉีหลินมองตามอวี๋หวั่นไป จนไปเห็นรถม้าของเยี่ยนจิ่วเฉา “ใช่สิ เยี่ยนจิ่วเฉาแต่งงานแล้ว ฮูหยินคนใหม่เป็นแม่แท้ๆ ของลูกเขา คงไม่ใช่นางหรอกกระมัง…”
เป็นไปได้แปดในสิบส่วน เกาหย่วนคิดในใจ
เท่าที่เขาจำได้ เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้แต่งงาน เขาอยู่คนเดียวมาถึงอายุยี่สิบห้า หาลูกไม่พบ ไม่ได้แต่งชายา
ฉีหลินโพล่งขึ้นมาว่า “ท่านปู่ ท่านจำเรื่องที่ปีก่อนลูกของเยี่ยนจิ่วเฉาหายตัวไปได้หรือไม่ขอรับ?”
“ทำไมหรือ?”
“นางเป็นคนช่วยเด็กๆ กลับมา” ฉีหลินตอบ
เกาหย่วนถามต่อ “เจ้าไปฟังใครมา?”
ฉีหลินตอบว่า “ข้าก็ไปสืบความมาน่ะสิขอรับ! ผู้ที่ช่วยลูกของเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นคนหมู่บ้านเหลียนฮวา ชายาของเยี่ยนจิ่วเฉาก็เป็นคนหมู่บ้านเหลียนฮวา จะเป็นคนละคนกันไปได้อย่างไร?”
หมู่บ้านเหลียนฮวาหาใช่หมู่บ้านใหญ่ไม่ ไม่มีทางเป็นคนละคนกันไปได้
ม้าที่สถานีส่งสารมีชีวิตรอด คุณชายน้อยซึ่งหายตัวไปก็หาพบแล้ว เยี่ยนจิ่วเฉาแต่งชายา เรื่องราวทั้งหมดล้วนเกี่ยวโยงกับสตรีผู้นี้…เมื่อคิดได้ดังนั้น นัยน์ตาของเกาหย่วนก็กระตุกวูบหนึ่ง “นางแซ่อวี๋ใช่หรือไม่?”
ฉีหลินพยักหน้า “อื้ม ท่านพ่อของนางคืออวี๋เซ่าชิง หัวหน้ากองพันที่แย่งความดีความชอบของเหยียนฉงหมิงขอรับ!”
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเยี่ยนจิ่วเฉา ฉีหลินล้วนแต่ไปสืบมาแล้ว รวมไปถึงเรื่องของชายาของเขาด้วย
และเป็นอีกคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับนาง
เกาหย่วนจมอยู่ในภวังค์ความคิด
…………………………………….