พายุสินสอด
ฮูหยินสวี่รีบไปรับแขกที่หน้าประตูใหญ่ ว่ากับตามเหตุผลแล้วนางเป็นฝ่ายหญิง ซ้ำวันนี้ยังเป็นวันที่ฝ่ายชายมามอบสินสอด นางควรจะนั่งอยู่ในโถงหลักรอผู้อาวุโสฝ่ายชายมาถึง แต่ใครให้ตระกูลฝ่ายชายสูงส่งเกินไปเล่า ไม่ออกมาต้อนรับด้วยตัวเองนางก็ไม่สบายใจ มีเหล่าไท่จวินกำลังรออยู่ที่โถงหลักด้วยเหมือนกัน
สินสอดมาถึงก่อน คุณชายที่ราวกับเทวดาผู้นั้นลงมาจากรถม้า ฮูหยินสวี่ก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าพร่าเลือน ฟ้าดินสงบนิ่ง
“เสิ่นฮูหยิน วันนี้โย่วมามอบสินสอด”
เสียงที่เยือกเย็นดังขึ้นข้างหู ฮูหยินสวี่เพิ่งจะหันหลังกลับมา ยกยิ้มกล่าว “คุณชายใหญ่รีบเข้ามา เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ รีบพาคุณชายใหญ่ไปพักที่ห้องหนังสือเรือนหน้า สินสอด สินสอดยกไปที่เรือนเฟิงฮวาได้เลย” ชั่วพริบตาฮูหยินสวี่ก็ตัดสินใจเช่นนี้ อย่างไรเสียสินสอดก็เป็นของเวยเจี่ยเอ๋อร์ ยกไปที่เรือนเฟิงฮวาเลยเหมาะสมที่สุด
ทว่าสวีโย่วกลับโบกมือปฏิเสธ “ไม่เป็นไร โย่วยังไม่ได้คำนับเหล่าไท่จวินเลย” ในใจเขาตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเจอเด็กคนนั้นให้ได้ เด็กคนนั้นอารมณ์ร้อนจริงๆ ตอกตะปูปิดตายหน้าต่างเสียแล้ว ทำให้เขาต้องกลับไปมือเปล่า
เห็นสินสอดที่ยกเข้ามาราวกับกระแสน้ำไหล บ่าวรับใช้ที่ทำงานอยู่บริเวณประตูใหญ่ต่างก็ตกใจจนอ้าปากกว้าง แม้แต่ฮูหยินสวี่ที่มีประสบการณ์โชกโชนก็ยังแอบตกใจอยู่เงียบๆ สินสอดนี้มากเกินไปแล้วกระมัง
ราชรถขององค์หญิงใหญ่กับพระชายาจิ้นอ๋องมาถึงแล้ว สวีโย่วเร่งฝีเท้าเข้าไปยื่นมือประคององค์หญิงใหญ่ ส่วนฮูหยินสวี่ก็เข้าไปรับพระชายาจิ้นอ๋อง เดินเรียงเข้าไปในเรือนด้านในพร้อมกัน
“หม่อมฉันขอต้อนรับองค์หญิงใหญ่และพระชายาจิ้นอ๋องเพคะ” เหล่าไท่จวินเสิ่นลุกขึ้นทำความเคารพ จากนั้นจึงให้คนทั้งสองนั่งประจำที่
สวีโย่วก้าวเข้าไปทำคำนับเหล่าไท่จวินและฮูหยินสวี่ หลังจากนั้นคนทั้งหลายก็ทักทายกัน
พระชายาจิ้นอ๋องปั้นหน้ายิ้มน้อยๆ อยู่ตลอด ท่าทางอ่อนโยนเป็นมิตร นางมองคุณชายใหญ่ที่หลุบตาดื่มชาปราดหนึ่ง ล้วงใบรายการสินสอดออกมาจากในแขนเสื้อแล้วจึงยื่นให้เหล่าไท่จวิน “นี่คือใบรายการสินเดิมของจวนจิ้นอ๋องเรา เหล่าไท่จวินเชิญอ่าน” เป็นปกติ จวนเช่นจวนโหวนี้นางเหยียดหยาม แม้ว่าท่านเสิ่นโหวจะเป็นผู้ที่จักรพรรดิให้ความสำคัญ แต่ในสายตาจวนจิ้นอ๋อง จวนจงอู่โหวก็เป็นเพียงตระกูลที่รวยชั่วข้ามคืน ไม่ควรค่าให้นางคบค้าสมาคมด้วย
ทว่าตั้งแต่ที่จักพรรดิพระราชทานสมรสให้สองตระกูล คุณหนูสี่ของจวนจงอู่โหวก็ต้องแต่งงานเข้าจวนจิ้นอ๋อง ซ้ำวันนี้ยังเป็นวันมอบสินสอด นางจึงจำใจต้องมา โชคดีที่มาครั้งนี้เพียงครั้งเดียว อดทนหน่อยประเดี๋ยวก็ผ่านไป
เหล่าไท่จวินรับใบรายการสินสอดมาเปิดอ่านครู่หนึ่ง แทบจะตะลึงงัน ให้ตายเถอะ เพียงแค่เงินสินสอดก็หกหมื่นตำลึงแล้ว จวนจิ้นอ๋องร่ำรวยและทรงอำนาจจริงๆ เวยเจี่ยเอ๋อร์เด็กคนนั้นมีอนาคตจริงๆ
เหล่าไท่จวินถอนหายใจในใจ ถือโอกาสส่งใบรายการสินสอดให้ฮูหยินสวี่ข้างๆ “อีกประเดี๋ยวส่งไปให้เวยเจี่ยเอ๋อร์ ให้นางอ่าน”
ไม่ใช่ว่าเหล่าไท่จวินเปลี่ยนมุมมองต่อเสิ่นเวย แต่หลานสาวคนนี้ก็ได้คู่หมั้นดีอย่างยิ่งจริงๆ นางต้องผูกมิตรไว้หน่อย จะได้เป็นผลดีต่อเซียนเกอเอ๋อร์พวกเขาพี่น้องมิใช่หรือ
“เจ้าค่ะ อีกประเดี๋ยวจะส่งไปให้เวยเจี่ยเอ๋อร์” ฮูหยินสวี่กล่าวด้วยความเคารพ ก้มหน้ากวาดสายตาปราดหนึ่ง มองเห็นเงินสินสอดหกหมื่นตำลึงในนั้น ในใจก็ตกใจเช่นกัน มองพระชายาจิ้นอ๋องอย่างอดไม่ได้ คิดในใจ ว่าที่แม่สามีคนนี้ของเวยเจี่ยเอ๋อร์กลับเป็นคนดีนัก ปฏิบัติต่อลูกเลี้ยงดีจริงๆ มิเช่นนั้นก็คงไม่อาจให้สินสอดจำนวนมากเพียงนี้ได้
สวีโย่วที่หลุบตามาโดยตลอดได้ยินชื่อเสิ่นเวย มือที่ถือแก้วชาก็หยุดชะงักเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมององค์หญิงใหญ่อย่างอดไม่ได้
องค์หญิงใหญ่หัวเราะในใจ ไอเบาๆ หนึ่งครากล่าว “ข้ายังไม่เคยเจอคุณหนูสี่จวนสูงศักดิ์เลย เชิญคุณหนูสี่มาพบหน่อยเถิด” พูดจบก็มองหลานชายปราดหนึ่ง เห็นเขาวางท่าทางเบาสบายก็หัวเราะในใจอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
องค์หญิงใหญ่สั่งแล้ว ใครจะกล้าปฏิเสธ ด้วยเหตุนี้เหล่าไท่จวินจึงสั่งสาวใช้ใหญ่หู่พั่ว “รีบไปเชิญคุณหนูสี่มา”
เรือนเฟิงฮวากำลังครึกครื้น บ่าวรับใช้จำนวนมากกำลังล้อมวงรอบสินสอดเต็มเรือนชี้ไม้ชี้มือพูดคุยอย่างตื่นเต้นดีใจ ให้ตายเถอะ ไม่เสียชื่อที่เป็นจวนจิ้นอ๋อง ร่ำรวยทรงอำนาจยิ่งนัก คุณหนูสี่มีวาสนาจริงๆ ได้ติดตามเจ้านายเช่นนี้เป็นโชคดีอย่างยิ่ง บ่าวรับใช้ในเรือนเฟิงฮวาหลังตรงอกตั้ง เชิดหน้าชูตา รับความอิจฉาริษยาเคียดแค้นของบ่าวรับใช้ในเรือนอื่นๆ
สาวใช้หลายคนข้างกายเสิ่นเวยเองก็ตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ แม้แต่หลีฮวาที่สุขุมที่สุดยังวิ่งมาดูทีลานบ้านสองรอบอย่างอดไม่ได้ เหอฮวาก็ยิ่งวิ่งเข้าวิ่งออกไม่หยุด “คุณหนู คุณหนู บ่าวคำนวณคร่าวๆ ดูแล้ว ไม่รวมเงินสินสอดก็ประมาณแสนตำลึงแล้วเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ ดีจริงๆ เห็นได้ชัดว่าจวนจิ้นอ๋องให้ความสำคัญกับคุณหนูของพวกเรา” สาวใช้คนอื่นๆ กล่าวคล้อยตาม
ทว่าในใจเสิ่นเวยกลับไม่ได้ตื่นเต้นตกใจ มองเหล่าสาวใช้ที่ยินดีปรีดาปราดหนึ่ง กล่าว “คุณหนูพวกเจ้าเป็นคนไม่มีเงินหรือ” ตาไม่มีแววเกินไปแล้วจริงๆ ในมือนางเพียงแค่เงินสดก็มีเกือบล้านตำลึงแล้ว
อะไรนะ ไหนเลยจะมีมากเพียงนั้นงั้นหรือ นอกจากเงินสี่แสนตำลึงที่นางยึดกลับมาจากฮูหยินหลิวแล้ว อย่าลืมว่านางยังมีเงินทองที่ยึดกลับมาจากรังโจรเทือกเขาเฟยหลิ่ง รวมกันแล้วจะไม่ถึงเกือบล้านตำลึงได้อย่างไร
นอกจากเงินสดเกือบล้านตำลึงแล้ว ยังมีกิจการมากมายเพียงนั้น ตอนนี้ข้าเป็นคนรวยแล้ว ไหนเลยจะเห็นสินสอดแค่แสนตำลึงนี้อยู่ในสายตา
สาวใช้ทั้งหมดคิดดูแล้วก็ใช่ สิ่งที่คุณหนูมีไม่ขาดที่สุดก็คือเงิน
“แม้ว่าคุณหนูจะมีเงิน แต่สินสอดเหล่านี้ก็แสดงให้เห็นว่าจวนจิ้นอ๋องให้ความสำคัญต่อคุณหนูนะเจ้าคะ” เถาจือตั้งสติแล้วกล่าว สาวใช้คนอื่นๆ ก็เห็นคล้อยตามกัน
เสิ่นเวยยกมุมปาก กำลังจะโต้เถียง ก็เห็นหู่พั่ว สาวใช้ใหญ่ข้างกายท่านย่าเข้ามา “คุณหนูสี่ เหล่าไท่จวินเชิญท่านไปพบเจ้าค่ะ”
ไม่ต้องถามก็รู้ว่าองค์หญิงใหญ่กับพระชายาจิ้นอ๋องอยากพบนาง ในใจเสิ่นเวยเข้าใจดี ในเมื่อพระราชทานสมรสแล้ว เช่นนั้นก็ไปเถอะ ไม่มีอะไรให้ต้องคัดค้าน
หลีฮวาและคนอื่นๆ รีบช่วยคุณหนูแต่งหน้าแต่งตัว หลังจากวุ่นวายเสร็จแล้วในที่สุดเสิ่นเวยก็ออกจากเรือนอย่างสง่างาม
เสียงประกาศดังเข้ามาแล้ว องค์หญิงใหญ่กล่าวหนึ่งครา “รีบเชิญเข้ามา” แผ่นหลังสวีโย่วยืดตรงสามส่วนอย่างอดไม่ได้
มองเห็นเด็กสาววัยแรกแย้มผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากนอกประตู เรือนร่างผอมสูง สวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนทั้งร่าง เพิ่มความเย็นสบายให้ฤดูร้อนที่อบอ้าวเช่นนี้ เส้นผมสีดำรวบขึ้นตามอำเภอใจ ปิ่นหยกเขียวหนึ่งอันปักเอียงๆ อยู่บนศีรษะ ต่างหูไข่มุกสองข้างตรงหูแกว่งไกวเบาๆ ขับผิวขาวเนียนของนางให้เป็นประกายหลายส่วน
เมื่อมองใบหน้านั้น โอ เหตุใดถึงมีสตรีที่งดงามเช่นนี้ ตาหงส์หนึ่งคู่แฝงอมยิ้ม จมูกโด่งริมฝีปากแดงใบหน้าเล็กเป็นรูปไข่ งดงามจริงๆ
หน้าตาของคุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นผู้นี้โดดเด่นยิ่งกว่าหร่วนเยียนหรานมารดาของนางเสียอีก มิน่าเล่าอาโย่วถึงได้ชอบเพียงนี้ องค์หญิงใหญ่เกิดความคิดเช่นนี้ในใจ
พระชายาจิ้นอ๋องเองก็ตกตะลึง มิน่าเล่า มิน่าเล่าถึงได้มีพระราชโองการสมรสพระราชทาน คุณหนูสี่ผู้นี้งดงามเช่นนี้ ตนเป็นผู้หญิงยังมองแล้วหวั่นไหว แล้วนับประสาอะไรกับคุณชายใหญ่ พระชายาจิ้นอ๋องคล้ายชั่วขณะก็หาเหตุผลที่คุณชายใหญ่ต้องการจะแต่งงานกับเสิ่นเวยเจอแล้ว
มุมปากของสวีโย่วเจ้าตัวยกสูงอย่างยิ่ง ตั้งแต่ที่เสิ่นเวยเข้ามา สายตาของเขาก็จับจ้องอยู่บนร่างนาง ดวงตามีความตกตะลึงแวบผ่าน เขารู้ว่าเด็กคนนี้สวย แต่ไม่คิดว่าแต่งหน้าแต่งตัวแล้วนางจะโดดเด่นน่าจับตาเช่นนี้ จู่ๆ เขาก็เสียใจอย่างยิ่ง เสียใจที่ให้เสด็จป้าเรียกเด็กน้อยเข้ามา เด็กสาวที่งดงามเพียงนี้เขาควรจะเก็บไว้ชื่นชมเพียงคนเดียวจึงจะถูก
เสิ่นเวยจะไม่รู้สึกถึงสายตาที่ร้อนแผดเผานั้นได้อย่างไร นางกลอกตาในใจ ใครบอกนางได้บ้างว่าชายโรคจิตผู้นี้อยู่ที่นี่ได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าเขาควรจะพูดคุยเฮฮากับท่านลุงใหญ่และท่านพ่อที่เรือนนอกหรอกหรือ
ทว่าสีหน้านางกับเรียบเฉย กระโปรงไม่ขยับร่างไม่ซวนเซ เดินเข้าไปทำความเคารพด้วยความสง่างาม “หม่อมฉันเสิ่นซื่ออาเวยถวายบังคมองค์หญิงใหญ่และพระชายาจิ้นอ๋องเพคะ ท่านย่า ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ เวยเจี่ยเอ๋อร์คำนับเจ้าค่ะ”
แววตาขององค์หญิงใหญ่มีความชื่นชมแวบผ่าน ยังไม่ทันได้พูดก็เห็นพระชายาจิ้นอ๋องจับมือของเสิ่นเวยไว้แล้ว กล่าวชื่นชม “ดีๆๆ แม่นางงดงามยิ่งนัก”
เสิ่นเวยเม้มปากยิ้มเขิน “พระชายากล่าวเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันบอบบางอ่อนแอจะสุภาพสูงส่งเท่าพระชายาได้อย่างไร”
“จุ๊ๆ แม่นางช่างรู้จักจำนรรจา ข้าน่ะชอบสตรีเช่นนี้จริงๆ” พระชายาจิ้นอ๋องยิ้มไม่หุบปาก หันหน้ากล่าวกับเหล่าไท่จวินด้วยความอิจฉา “เหล่าไท่จวินมีวาสนาจริงๆ ได้หลานสาวที่ดีเพียงนี้”
เหล่าไท่จวินได้รับความโปรดปรานอย่างไม่คาดคิด “เพียงแค่เด็กคนหนึ่ง ไหนเลยจะต้องให้พระชายากล่าวชมเช่นนี้”
ทว่าพระชายาจิ้นอ๋องกลับยังคงจับมือเสิ่นเวยไม่ปล่อย คล้ายชอบอย่างยิ่ง “เหล่าไท่จวินก็ถ่อมตัว เด็กดี รอเจ้าเข้าจวนจิ้นอ๋องแล้ว พวกเราสองคนก็จะได้สนิทสนมกัน ปิ่นทองอันนี้ข้าใช้มาเจ็ดแปดปีแล้ว เจ้าอย่าได้รังเกียจ ให้เจ้าไว้ใส่เล่น” นางดึงปิ่นทองหนึ่งอันลงมาจากศีรษะเสียบลงบนศีรษะของเสิ่นเวยแทน
แม้ว่าจะเป็นการสมรสพระราชทาน แต่พิธีบางอย่างก็ยังมีความหมาย อย่างเช่นการปักปิ่นนี้ หากฝ่ายชายเห็นว่าพอใจก็จะปักปิ่นทองไว้บนศีรษะเด็กสาว หมายถึงการตกลงหมั้นหมาย
แม้เสิ่นเวยจะกระตุกมุมปาก แต่ก็รู้ความหมายของปิ่นทองนี้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวขอบคุณอย่างมีมารยาท “ขอบคุณพระชายาที่ประทานให้เพคะ” นางหลุบตาเล็กน้อย หน้าแดง ประหนึ่งดอกบัวที่เขินอายดอกหนึ่ง
พระชายาจิ้นอ๋องปิดปากหัวเราะ “ไม่ต้องขอบคุณ อีกไม่นานก็จะเป็นคนบ้านเดียวกันแล้ว” นางกล่าวอย่างแฝงนัย หางตาเหลือบมองคุณชายใหญ่ที่นั่งอยู่ปลายโต๊ะ เห็นเขายังคงก้มหน้าดื่มชา แม้แต่เปลือกตายังไม่เหลือบขึ้นมา ในใจก็ผิดหวังหลายส่วนอย่างอดไม่ได้
ทว่าสวีโย่วกลับลุกขึ้นยืน กล่าวขอโทษ “เสด็จป้า พระชายา เหล่าไท่จวิน เสิ่นฮูหยิน โย่วขอตัวก่อน รบกวนเสิ่นฮูหยินให้คนนำทางโย่วไปคำนับเสิ่นซื่อจื่อและใต้เท้าเสิ่นหน่อยขอรับ”
เขายืนอยู่ตรงนั้นราวกับไผ่เขียวที่สูงตรง เด็กหนุ่มเช่นนี้ใครบ้างจะไม่ชอบ ฮูหยินสวี่ยังไม่ทันเอ่ยปาก เหล่าไท่จวินก็ออกคำสั่งแทรกขึ้นมา “แม่นมฉิน เร็ว รีบพาคุณชายใหญ่ไปห้องหนังสือเรือนหน้า” เดิมนางคิดจะให้หู่พั่วไป แต่แม่นมเฉินข้างๆ กลับดึงเสื้อของนาง นางจึงเปลี่ยนไปเรียนแม่นมฉินแทน
ก่อนสวีโย่วเดินออกไปก็แอบมองเสิ่นเวยเงียบๆ ปราดหนึ่ง เห็นเด็กคนนี้หลุบตายิ้มบางๆ อยู่ ไม่ได้มองมาทางเขาแม้แต่ปราดเดียว เขารู้สึกผิดหวังหลายส่วนอย่างอดไม่ได้ แต่ทันใดนั้นก็ดีใจขึ้นมา อย่างไรเสียเจตนาในการมาของเขาครั้งนี้ก็สำเร็จผลแล้ว
องค์หญิงใหญ่เห็นท่าทางเช่นนั้นของหลานชายก็ขำขันเล็กน้อยจึงกล่าวอย่างหลอกล้อ “ในเมื่อแม่สามีเจ้าก็ใจกว้างเช่นนี้แล้ว ข้าก็ไม่อาจใจแคบได้ใช่หรือไม่ เอ้านี่ กำไลหยกอันนี้ข้าเองก็ใส่มาเจ็ดแปดปีแล้ว ให้เจ้าเอาไปใส่เล่นแล้วกัน”
นางถอดกำไลหยกออกมาจากข้อมือแล้วสวมลงบนมือเสิ่นเวยแทน นางชอบเสิ่นเวยจริงๆ หน้าตางดงาม กิริยาสง่า นี่ยังเป็นสิ่งรองลงมา สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเด็กคนนี้หน้าตาซื่อตรง ไม่เหลวไหล เมื่อมองดูก็รู้ว่าเป็นคนฉลาดรู้ประสาแน่วแน่มั่นคง เหมาะสมกับหลานชายผู้อาภัพผู้นั้นของนางพอดี
กำไลหยกอันนี้เป็นสีเขียวทั้งวง ระดับความเข้มของสีดีอย่างยิ่ง เห็นแล้วก็รู้ว่ามูลค่าไม่ใช่น้อยๆ ก็ใช่ ในมือองค์หญิงใหญ่จะมีของคุณภาพต่ำได้อย่างไร
เสิ่นเวยรีบปฏิเสธ “กำไลหยกนี้ล้ำค่าเกินไปแล้ว องค์หญิงใหญ่เก็บไว้เถิดเพคะ ทรงมอบผ้าเช็ดหน้าหรือกระเป๋าเงินใบเล็กให้หม่อมฉันก็พอเพคะ”
ทว่าองค์หญิงใหญ่กลับไม่ยอม กล่าวอย่างไม่สนใจ “เอาไปใส่เล่นเถอะ ไม่ใช่ของล้ำค่าอะไร เพียงแค่สีสวย เอาไปเถอะๆ”
เอ๋ นี่ยังไม่ใช่ของล้ำค่าอะไรงั้นหรือ องค์หญิงใหญ่ใจกว้างจริงๆ เสิ่นเวยถอนหายใจในใจ แต่กลับหันมองเหล่าไท่จวินด้วยสีหน้าลำบากใจ
เหล่าไท่จวินพยักหน้าให้นาง “ในเมื่อองค์หญิงใหญ่ให้เจ้าเองแล้ว เจ้าก็รับไว้เถอะ ผู้ใหญ่ให้ของอย่าปฏิเสธ นี่เป็นกฎ”
“หม่อมฉันขอบพระทัยองค์หญิงใหญ่เพคะ” เสิ่นเวยทำได้เพียงรับกำไลหยกอันนี้มา อืม ใส่แล้วก็พอดี ทั้งยังสวยยิ่งนัก เสิ่นเวยเผยรอยยิ้มน่ารักให้องค์หญิงใหญ่ด้วยความดีใจ