จวนจิ้นอ๋องเองก็ได้รับพระราชโองการสมรสพระราชทานเช่นเดียวกัน สีหน้าจิ้นอ๋องเฉยเมย แม้ว่าสวีโย่วจะเป็นลูกชายคนโตของเขา ทว่าแต่ไหนแต่ไรเขากลับไม่ได้สนใจลูกชายคนนี้ ดังนั้นลูกชายแต่งงานกับใครล้วนไม่สำคัญทั้งสิ้น ในเมื่อเสด็จพี่ออกพระราชโองการสมรสพระราชทานแล้ว เช่นนั้นก็แต่งเถอะ จวนจงอู่โหวก็ไม่นับว่าเสียหน้าจวนจิ้นอ๋อง
ทว่าพระชายาจิ้นอ๋องที่นั่งคุกเข่ารับพระราชโองการอยู่บนพื้นกลับโมโหจนอยากจะฉีกพระราชโองการฉบับนั้นทิ้ง เมื่อขันทีผู้ประกาศพระราชโองการกลับไปแล้วนางก็กลับไปที่เรือนหลังทันที ไม่หยุดอยู่แม้แต่วินาทีเดียว
สวีโย่วถือพระราชโองการสีเหลืองสด สีหน้าเย็นชาท่ามกลางเสียงยินดีของเหล่าพี่น้อง แต่ความจริงแล้วในใจกลับอารมณ์ดีอย่างมาก
จิ้นอ๋องตามพระชายาเข้าไปในเรือนหลัง “พระชายาเล่า” เห็นโถงนอกไม่มีคนเขาจึงกล่าวถาม หวาเยียนได้ยินเสียงก็เปิดม่านออกมาจากข้างใน ทำความเคารพเป็นนัยจากด้านใน
จิ้นอ๋องจึงเดินเข้าไปในห้องด้านใน เห็นพระชายากำลังหันหลังนั่งอยู่ที่หัวเตียงสะอื้นไห้เสียงเบาจึงนั่งแล้วดึงร่างนางเข้ามา “เป็นอะไรไป” เขารับผ้าเช็ดหน้าที่หวาเยียนส่งเข้ามา เช็ดน้ำตาให้นาง
ทว่าพระชายาจิ้นอ๋องกลับไม่ได้ซาบซึ้ง บิดตัวหันหนี
จิ้นอ๋องก็ไม่โกรธ ปลอบนางเสียงเบา “เจ้าไม่บอกข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าใครทำให้เจ้าไม่พอใจ เอาล่ะๆ ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่เทียมฟ้าข้าก็จะออกหน้าให้เจ้าเอง”
พระชายาจิ้นอ๋องร้องไห้สะอึกสะอื้นครู่หนึ่งจึงกล่าว “จักรพรรดิมีเจตนาอันใด นี่ไม่ใช่เป็นการประณามว่าข้าปฏิบัติไม่ดีต่อโย่วเอ๋อร์หรือ ข้าแต่งเข้าจวนอ๋องมายี่สิบกว่าปี ไม่มีคุณงามความดีแต่ก็มีความชอบ สำหรับโย่วเอ๋อร์แล้ว ข้าเองก็ทุ่มเทกายใจ นี่ไม่ใช่ว่าจักรพรรดิกำลังตบหน้าข้าหรอกหรือไร”
จิ้นอ๋องได้ยินว่าเป็นเรื่องนี้ ชั่วขณะก็ถอนหายใจ กล่าวปลอบ “เจ้าคิดมากไปแล้ว เดิมเสด็จพี่ก็รักโย่วเอ๋อร์มากอยู่แล้ว เป็นห่วงเรื่องใหญ่ในชีวิตที่เหลือของเขาก็เป็นเรื่องปกติ ไหนเลยจะว่าร้ายเจ้า เอาล่ะ ความลำบากของเจ้าข้าก็เห็นอยู่ ไม่มีใครว่าเจ้าเลย” สตรีก็ชอบคิดมากเช่นนี้
พระชายาจิ้นอ๋องยังคงสะอื้นไห้ “จะไม่ให้ข้าคิดมากได้อย่างไร ข้ากำลังยุ่งอยู่กับการดูตัวให้โย่วเอ๋อร์ แม้แต่หลานสาวฝั่งมารดาก็รับเข้ามาเลือกแล้ว ตอนนี้จักรพรรดิกลับพระราชทานสมรส นี่ไม่ใช่ว่าไม่พอใจข้าหรือ ข้าปรึกษากับพี่ใหญ่พี่สะใภ้ดีแล้ว ข้าจะไปบอกพี่ใหญ่พี่สะใภ้อย่างไร”
“ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดีต่อโย่วเอ๋อร์ ในเมื่อเสด็จพี่พระราชทานสมรสแล้ว ไม่ใช่ว่าลดความกลุ้มใจของเจ้าลงหรือ ตระกูลจวนจงอู่โหวกลับไม่ได้ทำให้โย่วเอ๋อร์เสื่อมเสีย เจ้าเป็นเสด็จแม่เขา เรื่องสินสอดทองหมั้นก็สร้างความลำบากใจเจ้ามากแล้ว” จิ้นอ๋องกล่าวเสียงเบา คิดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “สำหรับพี่ภรรยาจวนนั้น หากพระชายารู้สึกผิดก็แต่งอนุภรรยาให้โย่วเอ๋อร์เสีย เช่นนี้เจ้าเองก็จะได้มีคนรู้ใจไว้พูดคุยเพิ่มขึ้น”
พระชายาจิ้นอ๋องหลุดยิ้ม เหลือบตามองจิ้นอ๋องปราดหนึ่งอย่างอ่อนหวาน กล่าว “โย่วเอ๋อร์เองก็เป็นเด็กที่ข้าเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต งานสมรสของเขาข้าย่อมต้องตั้งใจจัดการ แต่ว่าคุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นผู้นี้ที่จักรพรรดิพระราชทานสมรสให้โย่วเอ๋อร์ของเรา ฟังว่าสุขภาพไม่ดีนัก ซ้ำยังพักรักษาตัวที่บ้านเก่าในชนบทมาหลายปี เรื่องทายาทข้าก็ยังเป็นกังวลยิ่งนัก” พระชายาจิ้นอ๋องขมวดคิ้วมุ่น แสดงท่าทีกลัดกลุ้มทุกข์ใจ
ความคิดของพระชายาจิ้นอ๋องเปลี่ยนเร็วจริงๆ แผนการก่อนหน้านี้ล้มเหลวเพราะสมรสพระราชทาน นางก็คิดแผนการอื่นได้ทันที จะต้องยัดหลานสาวไว้ข้างกายสวีโย่วให้ได้
“มีเรื่องนี้ด้วยหรือ” จิ้นอ๋องประหลาดใจ “ไม่ใช่เป็นข่าวลือหรอกหรือ” เสด็จพี่รักโย่วเอ๋อร์เพียงนั้น จะพระราชทานสตรีที่มีทายาทยากให้เขาได้อย่างไร
พระชายาจิ้นอ๋องมองค้อนจิ้นอ๋องปราดหนึ่ง “ข้าจะโกหกท่านทำไม ความจริงแล้วคุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นผู้นี้เดิมก็มีสัญญาหมั้นหมายตั้งแต่เล็ก นั่นก็คือซื่อจื่อจวนหย่งหนิงโหว เพราะว่าคุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นสุขภาพไม่ดี ตระกูลเขาจึงถอนหมั้นแล้วเปลี่ยนเป็นน้องสาวของนางแทน เรื่องนี้ไม่กี่วันก่อนก็ดังอื้อฉาว ท่านอ๋องเป็นคนใหญ่คนโตย่อมไม่เคยสนใจ ข้าอยู่ในเรือนหลังไหนเลยจะไม่รู้เรื่องเหล่านี้”
คิ้วของจิ้นอ๋องขมวดมุ่น ครู่ใหญ่จึงกล่าว “พระราชโองการสมรสพระราชทานออกมาแล้ว การแต่งงานครั้งนี้ไม่มีทางให้เปลี่ยนใจ ในเมื่อสตรีแซ่เสิ่นผู้นั้นสุขภาพไม่ดี เช่นนั้นก็แต่งอนุภรรยาให้โย่วเอ๋อร์เสีย ไม่อาจให้เขาไร้ทายาทได้ เรื่องนี้ต้องใส่ใจให้มากหน่อย” ถ้าหากก่อนหน้านี้บอกว่าแต่งอนุภรรยาก็เพียงแค่ต้องการปลอบใจพระชายา แต่ตอนนี้เขากลับตัดสินใจแล้วว่าจะต้องแต่งอนุภรรยาให้โย่วเอ๋อร์ให้ได้
จิ้นอ๋องสองสามีภรรยาคู่นี้น่าขันเสียจริงๆ ในใจต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าความหวังที่สวีโย่วจะมีทายาทได้เลือนรางอย่างถึงที่สุด แต่ก็ยังพูดจาอย่างมีเหตุผล ไม่รู้ว่าหลอกตัวเองหรือว่าหลอกคนอื่นกันแน่
พระชายาจิ้นอ๋องเห็นความต้องการสำเร็จแล้ว บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้ม “เจ้าค่ะ ข้าจะวางแผนให้โย่วเอ๋อร์เป็นอย่างดีแน่นอน”
ตั้งแต่ที่เสิ่นเสวี่ยกลับมาจากเรือนด้านหน้าคนก็ตกอยู่ในสภาพเดือดดาล สมรสพระราชทาน เสิ่นเวยหญิงชั่วผู้นั้นคาดไม่ถึงว่าได้รับสมรสพระราชทานกับคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋อง นี่คือเกียรติยิ่งใหญ่เพียงใด
ตั้งแต่ที่นางได้หมั้นหมายกับจวนหย่งหนิงโหว นางก็รู้สึกว่าในที่สุดนางก็กดหัวของเสิ่นเวยได้แล้ว แต่ตอนนี้ดูแล้วกลับน่าขันเพียงใด
มีสิทธิ์อะไร มีสิทธิ์อะไรที่หญิงชั่วคนนี้ได้สมรสดีกว่านาง นางสู้หญิงบ้านนอกที่เติบโตจากชนบทผู้นั้นไม่ได้ตรงไหน
นางไม่ยอม ไม่ยอม ไม่ยอม! นึกถึงตรงนี้นางก็แค้นจนคับอกคับใจ เมื่อคิดถึงสินเดิมกองใหญ่ที่เสิ่นเวยกุมอยู่ในมือ เทียบกับสินเดิมอันน้อยนิดนั่นของตน นางก็อยากจะพุ่งเข้าไปทำลานเรือนเฟิงฮวาทันที
ไม่ได้ นางต้องไปหาท่านแม่ ท่านแม่ยังไม่รู้ข่าวเรื่องนี้เลย
อันที่จริงฮูหยินหลิวในหอธรรมก็รู้ข่าวที่ทำให้นางตกใจและเคียดแค้นอย่างถึงที่สุดนี้ข่าวนี้แล้ว
แม่นมม่ายดื่มสุราไปพลางชายตามองฮูหยินหลิวที่นั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะกลมไปพลาง หัวเราะเยาะกล่าว “เห็นแล้วหรือยัง นี่ล้วนแต่เป็นสุราดีอาหารดีที่ในจวนมอบให้ รู้หรือไม่ว่าในจวนมีเรื่องมงคลอะไร”
เห็นฮูหยินสามที่เคยยิ่งใหญ่ชั่วขณะเพียงแค่หลับตาสวดมนต์ไม่สนใจนาง แม่นมม่ายก็หัวเราะเยาะอีกครา “นี่คือเรื่องมงคลที่ใหญ่อย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง จักรพรรดิพระราชทานการสมรสให้คุณหนูจวนโหวของพวกเรา รู้หรือไม่ว่าเป็นคุณหนูท่านไหน ใช่แล้ว คุณหนูสี่ รู้หรือไม่ว่าคู่หมั้นที่ได้รับพระราชสมรสคือใคร พูดแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ คุณชายใหญ่แห่งจวนจิ้นอ๋องอย่างไรเล่า ดังนั้นเหล่าเจ้านายของพวกเราจึงดีใจ เพื่อให้ทุกคนได้ร่วมยินดีกับคุณหนูสี่ คนทุกระดับชั้นทั้งหมดในจวนจึงได้รับบำเหน็จ” พูดพลางถือจอกสุราดื่มจนหมดจอก
ฮูหยินหลิวลืมตาโพลงขึ้นทันที ในดวงตามีแสงที่น่ากลัวแวบผ่าน “เป็นไปไม่ได้!” เป็นไปได้อย่างไร จักรพรรดิพระราชทานการสมรสให้เด็กชั่วคนนั้นได้อย่างไร อีกทั้งยังเป็นคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องที่เป็นดั่งเทพเทวดา นางคู่ควรหรือ
“จะเป็นไปไม่ได้ได้อย่างไร พระราชโองการประกาศออกมาแล้ว คุณหนูสี่ของพวกเราถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะเป็นฮูหยินใหญ่ของจวนจิ้นอ๋อง จุ๊ๆ คุณหนูสี่ของพวกเราช่างโชคดีนัก ท่านโหวให้ความสำคัญ อนาคตก็ดี เป็นอันดับหนึ่งในจวนของพวกเรา” แม่นมม่ายคีบถั่วลิสงหนึ่งเม็ดเข้าปากแล้วเคี้ยวเสียงดัง
ทว่าฮูหยินหลิวกลับโผเข้าไปหาทันที คว้าแขนของแม่นมม่ายไว้ “เจ้าพูดเหลวไหล นี่ไม่ใช่เรื่องจริง! เด็กคนนั้นจะสมรสที่ดีเช่นนั้นได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!” ดวงตานางตะลึงงันราวกับถูกผีสิง
แม่นมม่ายถูกฮูหยินหลิวจับแขนจนเจ็บ อยากผลักนางออกแต่ก็ไม่กล้าแม้สักเล็กน้อย ทำได้เพียงร้องตะโกน “ฮูหยินสามท่านทำอะไร บ่าวหวังดีมาบอกข่าวนี้แก่ท่าน คงไม่ใช่ว่าท่านดีใจเกินไปใช่หรือไม่ หากท่านไม่เชื่อก็ถามคุณหนูห้าดูได้ ตอนที่รับพระราชโองการเจ้านายทั้งหมดก็อยู่” นางตาดีเหลือบเห็นคุณหนูห้านอกประตูจึงรีบตะโกนกล่าว
ฮูหยินหลิวเองก็มองเห็นลูกสาวแล้ว ปล่อยแม่นมม่ายออกแล้วพุ่งไปจับตัวลูกสาวไว้ทันที “เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าบอกแม่สิว่าไม่ใช่เรื่องจริง จักรพรรดิพระราชทานการสมรสจริงๆ หรือ” นางจ้องหน้าลูกสาวแน่นิ่ง รอให้ลูกสาวส่ายหน้า
ทว่าเสิ่นเสวี่ยกลับพยักหน้าอย่างหนักแน่น กล่าว “เรื่องจริงเจ้าค่ะ ท่านแม่ จักรพรรดิพระราชทานการสมรสให้ท่านพี่จริงๆ ท่านพี่กำลังจะแต่งงานเข้าจวนจิ้นอ๋องแล้ว” ไม่มีใครรู้ว่าคำพูดนี้พูดยากเพียงใด
“เป็นเรื่องจริง! เป็นเรื่องจริง!” ฮูหยินหลิวพึมพำอยู่ในปาก ปล่อยมือออกล้มนั่งลงบนพื้นอย่างเสียขวัญเสียสติ หลังจากนั้นก็หัวเราะหึๆ กับตัวเอง ยิ่งหัวเราะก็ยิ่งดัง กระทั่งน้ำตาไหลอาบหน้า
เป็นเรื่องจริง นี่คือเรื่องจริง เสิ่นเวยเด็กชั่วคนนั้นจะแต่งเข้าตระกูลสูงส่งแล้วจริงๆ เช่นนั้นนางกับลูกสาวจะทำอย่างไรเล่า สิบกว่าปีนี้ของนางเป็นเรื่องล้อเล่นใช่หรือไม่
ฮ่าๆ ฮ่าๆ เรื่องล้อเล่น เรื่องล้อเล่น! แม้ว่านางจะออกจากหอธรรมแห่งนี้ไปแล้วจะมีประโยชน์อะไรอีก เด็กชั่วคนนั้นก็ไม่ใช่คนที่นางจะบีบบังคับได้อีกแล้ว
เสียงหัวเราะของฮูหยินหลิวทำให้แม่นมม่ายกับเสิ่นเสวี่ยต่างก็รู้สึกขนลุกขนพอง ฮูหยินสามไม่ได้เป็นบ้าใช่หรือไม่ แม่นมม่ายรีบออกไปกลัวว่าฮูหยินหลิวจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก
เสิ่นเสวี่ยแข็งใจก้าวขึ้นไปข้างหน้า “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไป”
ทว่าฮูหยินหลิวกลับเฉยชาทั้งใบหน้า มีเพียงปากที่กำลังพึมพำ “เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องจริง” คล้ายคนสติหลุด
เสิ่นเสวี่ยตะโกนเรียกอยู่นานก็เรียกสติฮูหยินหลิวกลับมาไม่ได้ ในใจนางกลัดกลุ้มอย่างยิ่ง คำพูดที่อยู่เต็มอกพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว ซ้ำยังต้องเป็นห่วงมารดาอีก ส่วนคนที่ก่อให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้คือใคร คือเสิ่นเวย คนชั่วเรือนเฟิงฮวาคนนั้น เสิ่นเสวี่ยกำหมัดแน่น อยากจะสับนางเป็นหมื่นท่อน
จืออี๋เหนียงรู้ข่าวการสมรสพระราชทานแล้วก็ตกใจอย่างยิ่ง หลังตกใจก็ดีใจแทนคุณหนูสี่ คุณหนูสี่มีความสามารถจนได้คู่หมั้นที่ดีเพียงนี้ ถือเป็นประโยชน์ต่อลูกสาวของตัวเองด้วยเช่นกัน น้องสาวเป็นฮูหยินใหญ่ของจวนจิ้นอ๋อง ขอเพียงแค่ตระกูลเหวินมีไหวพริบก็จะให้ความสำคัญกับลูกสาวตน
นางกลัวว่าลูกสาวจะโง่เขลาคิดไม่ออกจึงรีบไปพูดโน้มน้าวที่ห้องลูกสาว
เสิ่นอิงกำลังเย็บปลอกหมอนอยู่ นั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ก้มหน้าเล็กน้อย ข้างเท้าวางกล่องเข็มด้ายไว้หนึ่งกล่อง หัวใจของจืออี๋เหนียงเจ็บปวดเล็กน้อย นี่คือลูกสาวของนาง คือลูกสาวแท้ๆ ที่นางตั้งท้องมาสิบเดือน จากเด็กน้อยอ้อแอ้โตมาเป็นหญิงงาม ชั่วพริบตาก็จะแต่งงานแล้ว แค่คิดว่าลูกสาวกำลังจะจากนางไปบ้านสามี หัวใจของจืออี๋เหนียงทั้งทุกข์ตรมทั้งอาวรณ์
“ท่านแม่มาแล้ว” เสิ่นอิงเงยหน้าทักทาย
จืออี๋เหนียงเข้ามานั่งข้างๆ นาง หยิบงานปักของนางมาดู กล่าว “แม่ไม่มีอะไร เพียงแค่เข้ามาดูเจ้า” นางหยุดครู่หนึ่งจึงกล่าว “เจ้าเองก็อย่านั่งนิ่งไม่ขยับตั้งแต่เช้ายันเย็น ระวังตาเสีย อะไรที่ไม่สำคัญก็ให้สาวใช้ข้างกายทำก็ได้”
เสิ่นอิงพยักหน้า มองมารดานางแต่กลับยิ้ม “ท่านแม่ ข้าทราบเจตนาที่ท่านมา ท่านอยากโน้มน้าวให้ข้าปล่อยวางไม่ต้องไปอิจฉาโกรธแค้นน้องสี่ใช่หรือไม่ ท่านวางใจเถิด ในใจข้ารู้ดี”
คำพูดหลายประโยคพูดจนจืออี๋เหนียงตาค้างปากอ้า จู่ๆ ในใจของเสิ่นอิงก็ละอายใจ เพราะนิสัยแก่งแย่งชิงดีของนาง ท่านแม่คงจะต้องทุกข์ใจนางมากอย่างยิ่งสินะ
“ท่านแม่ ข้าโตแล้ว รู้เรื่องแล้ว น้องสี่ได้คู่หมั้นคนนี้ได้เป็นวาสนาของนาง ข้าทำได้เพียงยินดีไม่โกรธแค้นริษยา น้องสี่คนนี้ก็ไม่เลว ก่อนหน้านี้ข้าคิดผิดไป เป็นพี่น้องกันแท้ๆ มีอะไรให้แก่งแย่ง ยิ่งไปกว่านั้นน้องสี่ได้สมรสดีก็เป็นประโยชน์กับข้า ท่านแม่วางใจเถิด หากได้แต่งเข้าตระกูลเหวินแล้วข้าจะต้องมีชีวิตที่ดีแน่นอน” เสิ่นอิงกล่าวอย่างตั้งใจ
น้ำตาของจืออี๋เหนียงไหลออกมาทันที นางกอดลูกสาวตบหลังของนาง สะอื้นกล่าว “ดี ดี ในที่สุดอิงเอ๋อร์ของข้าก็โตแล้ว”
เสิ่นอิงวางศีรษะไว้บนไหล่ของจืออี๋เหนียง สูดกลิ่นหอมบนร่างนาง ในใจเต็มไปด้วยความใฝ่ฝันถึงอนาคต