เมื่อเถาฮวาล้มตึงลงไป สถานการณ์ก็โกลาหลขึ้นมา ทุกคนนึกว่านางได้รับบาดเจ็บภายในร้ายแรง ใครจะคิด เมื่อหมอเทวดาหลี่จับชีพจรดูจึงพบว่านางหมดสติเพราะหมดแรง ทุกคนเบิกตากว้าง ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
แต่ความวุ่นวายนี้ทำให้บรรยากาศที่เคร่งเครียดเบาบางลง
เมื่อฟ้ามืด เสิ่นเวยก็ได้สติขึ้นมา หลีฮวาคอยเฝ้าอยู่ข้างเตียงตลอดเวลา นางจึงเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นว่านายสาวได้สติขึ้นมาแล้ว
“คุณหนู ท่านฟื้นแล้ว” น้ำเสียงของหลีฮวาเต็มไปด้วยความปีติยินดี แย้มยิ้มดีใจทั้งน้ำตา “ใครอยู่ด้านนอก คุณหนูฟื้นแล้ว หมอเทวดาหลี่ รีบไปเชิญหมอเทวดามาเร็วเข้า” นางหันไปตะโกนเสียงครือ
แล้วจึงหันกลับมาถามอย่างห่วงใย “คุณหนู ท่านหิวไหมเจ้าคะ อยากกินอะไร บ่าวจะไปทำให้เจ้าค่ะ”
เสิ่นเวยอยากลุกขึ้นนั่ง แต่รู้สึกเจ็บไปทั้งตัว ขยับเขยื้อนก็ไม่ได้ คิ้วเรียวจึงขมวดกันแน่น
หลีฮวารีบเข้ามาประคอง “คุณหนูอย่าขยับเจ้าคะ ท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส หมอเทวดาหลี่สั่งไว้ว่าท่านต้องพักฟื้น ต้องการสิ่งใดก็บอกกับบ่าวเถอะเจ้าคะ”
“พวกเจ้าทุกคนปลอดภัยดีหรือไม่” เสียงของเสิ่นเวยแหบพร่าและอ่อนแรง นางจำได้ ตอนที่หมดสติไปเหมือนจะเห็นสวี่โย่ว เช่นนั้นพวกญาติผู้น้องคงไม่เป็นไรสินะ
หลีฮวาส่ายหน้า “คุณหนูวางใจเถอะเจ้าค่ะ ทุกคนไม่เป็นไร” มีเพียงคุณหนูเท่านั้นที่บาดเจ็บสาหัสที่สุด ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็รู้สึกว่าควรทำให้คุณหนูสบายใจ “นอกจากคุณหนูแล้ว เยวี่ยกุ้ยบาดเจ็บหนักสักหน่อย อาจารย์โอวหยางกับคุณชายหร่วนเหิงบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น คุณหนูหร่วนเหมียนเหมียนกับเหอฮวาและเถาจือล้วนปลอดภัยดีเจ้าคะ ที่น่าขันที่สุดก็คือเถาฮวา เด็กคนนั้นกำลังพูดอยู่ดีๆ ก็หมดสติไป เดิมทีนึกว่านางได้รับบาดเจ็บภายใน คิดไม่ถึงว่าเป็นเพราะหมดแรง ตอนนี้ยังนอนหลับอยู่เจ้าคะ”
เสิ่นเวยขบขันออกมา แต่กระทบกระเทือนจนเจ็บหน้าอก หญิงสาวรู้สึกโล่งใจ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นครั้งนี้นางคงเจ็บหนักโดยเสียเปล่า นางคิดจะพูดบางอย่าง อยู่ๆ ประตูก็ถูกผลักให้เปิดออก กลุ่มคนพุ่งเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง
“พี่เวย ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” หร่วนเหมียนเหมียนวิ่งเร็วที่สุด จึงเป็นคนแรกที่ปราดเข้าไปหาเสิ่นเวยที่ข้างเตียง มองเห็นใบหน้าซีดเซียวของญาติผู้พี่ หยาดน้ำตาก็เอ่อคลอขึ้นมา เป็นเพราะนาง ล้วนเป็นเพราะนางที่เป็นตัวถ่วง ทำให้พี่เวยได้รับบาดเจ็บ
แค่มองเสิ่นเวยก็รับรู้ถึงความรู้สึกของหร่วนเหมียนเหมียน จึงส่ายหน้าคิดจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ก็ได้ยินเสียงของท่านตาเสียก่อน “เหมี่ยนเจี่ยเอ๋อร์รีบถอยออกไป ให้ท่านหมอเทวดาหลี่ดูอาการญาติผู้พี่ของเจ้า
เด็กสาวรีบเช็ดน้ำตา ลุกขึ้นถอยไปด้านข้าง หลีกทางให้หมอเทวดาหลี่ หลีฮวายกเก้าอี้มาวางไว้ด้านหลังของเขาอย่างเฉลียวฉลาด
“ให้ข้าลองตรวจชีพจรของคุณหนูเสิ่นดูก่อน” เขาพูดพลางทิ้งกายลงนั่งอย่างเชื่องช้า สองนิ้วแตะบนข้อมือของเสิ่นเวย ทุกคนในห้องจ้องมองโดยไม่ละสายตาไปที่ใด ทั้งยังไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ออกมา
ผ่านไปครู่หนึ่ง หมอเทวดาจึงยกมือขึ้น ใบหน้าเผยความชื่นชม “ยังดีๆ คุณหนูสี่ร่างกายแข็งแรง ด่านนี้ถือว่าผ่านไปได้แล้ว หลังจากนี้ก็ตั้งใจพักฟื้น สิบวันหรือครึ่งเดือนก็สามารถลุกจากเตียงได้แล้ว” ถึงแม้เสิ่นเวยจะมีเลือดเต็มตัว แลดูน่าหวาดกลัว แต่ที่จริงแล้วล้วนเป็นเพียงบาดแผลภายนอกเท่านั้น ไม่ได้บาดเจ็บถึงภายใน ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่สิบวันหรือครึ่งเดือนเลย แม้พักฟื้นหนึ่งปีหรือครึ่งปีก็อย่าหวังจะได้ลงจากเตียง
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก โดยเฉพาะหร่วนเหมียนเหมียนกับพวกเหอฮวา ถ้าหากคุณหนูเป็นอะไรไป พวกนางตายนับหมื่นครั้งก็ชดใช้ไม่หมด
“เวยเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วใช่ไหม เจ้าไม่เป็นอะไร เด็กดี เหิงเกอเอ๋อร์กับเหมี่ยนเจี่ยเอ๋อร์ทำให้เจ้าลำบากแล้ว ตาซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้ามาก นอนพักรักษาตัวให้ดี เรื่องข้างนอก ตาจะดูแลเอง เรื่องอื่นรอเมื่อเจ้าหายดีแล้วค่อยว่ากัน” หร่วนเจิ้นเทียนบอกพร้อมตบมือเสิ่นเวย ก่อนจะหันไปสั่งความว่า “พวกเราทุกคนออกไปกันก่อนเถอะ ให้เวยเจี่ยเอ๋อร์ได้พักผ่อน ต้มยาเสร็จแล้วใช่ไหม รีบยกมาให้เวยเจี่ยเอ๋อร์”
หลีฮวาตอบรับก่อนจะหมุนกายเดินออกไป
ชายชรามองหลานสาวที่นอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนแรง ในใจรู้สึกปวดร้าวมาก เป็นเหมือนกับที่เวยเจี่ยเอ๋อร์คิด เขาก็กำลังคาดเดาการลอบสังหารครั้งนี้ ครั้งแรกที่ลงมือก็ใช้มือสังหารระดับสูงถึงสามสิบคน เวยเจี่ยเอ๋อร์เป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น จะผูกความแค้นรุนแรงปานนี้กับคนอื่นได้อย่างไร เป็นไปได้ถึงแปดส่วนที่จะพุ่งเป้ามาที่ตัวเขา เวยเจี่ยเอ๋อร์ต้องพลอยรับเคราะห์เพราะเขา แค่คิดถึงเรื่องนี้ หร่วนเจิ้นเทียนทั้งรู้สึกผิดและเสียใจ
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขายอมแพ้ ไม่คิดขุดคุ้ยเรื่องราวเก่าก่อนอีกแล้ว แต่การลอบสังหารนี้กลับทำให้เขาได้มองเห็นความเป็นจริง คนเหล่านั้นไม่มีทางยอมละเว้นครอบครัวของเขาเพียงเพราะเขายอมแพ้
“เวยเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าพักรักษาตัวเถอะ พรุ่งนี้ตาจะมาเยี่ยมเจ้าอีกครั้ง” หร่วนเจิ้นเทียนกล่าวอย่างมีเมตตา
หญิงสาวพยักหน้า สายตามองไปยังสถานที่หนึ่ง ชายชรามองตามสายตาของนางไปจึงเห็นว่านางกำลังมองคุณชายสวี่ ผู้ที่ช่วยนางกลับมา
คิดแล้ว เขาจึงกล่าวกับสวี่โย่วว่า “คุณชายสวี่ อาจไม่เหมาะสมนัก แต่ข้ามีเรื่องจะขอร้องท่าน ดูเหมือนเวยเจี่ยเออร์ก็มีเรื่องจะขอคำชี้แนะจากท่าน หลักจากนี้ข้าขอเวลาท่านสักครู่ได้หรือไม่”
ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่สายตากลับมองตรงไปที่เสิ่นเวย
หร่วนเจิ้นเทียนเดินมาถึงประตู แต่ในใจยังสับสน ชายหญิงไม่ควรอยู่ร่วมกันในที่รโหฐาน แต่ว่าคุณชายสวี่เป็นผู้มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิตเวยเจี่ยเอ๋อร์เอาไว้ ช่างเถอะๆ ตัดสินใจเรื่องต่างๆ ไปตามสถานการณ์ เขาไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยกับธรรมเนียมที่วุ่นวาย
“ครั้งนี้ต้องขอบใจท่านมาก” เสิ่นเวยกล่าวเสียงเบา นางรู้สึกขอบคุณสวี่โย่วจริงๆ และนึกหวาดกลัวขึ้นมาด้วย ถ้าหากเขามาไม่ทัน พวกนางคงตายกันหมด แม้นางจะบาดเจ็บสาหัสกว่านี้ก็ปกป้องเหมียนเหมียนไว้ไม่ได
“เจ้าก็เคยช่วยข้า” คำพูดของสวี่โย่วนั้นเรียบง่ายมาก แต่ความนัยของมัน เสิ่นเวยเข้าใจดี…เจ้าช่วยข้าก่อน ข้าจึงช่วยเจ้าเป็นการตอบแทน…
มุมปากของเสิ่นเวยยกขึ้น รู้สึกโชคดีที่ยอมทนกับความวุ่นวายในครั้งนั้น ดูเอาเถอะๆ ทำความดีย่อมมีสิ่งตอบแทน อืม นางคิดว่า รอเมื่อหายดีแล้วจะแบ่งปันแป้งสิบชั่งกับเนื้อหมูสองชั่งให้กับผู้เช่าในหมู่บ้านทุกคน
เอ่อ เหมือนจะคนละเรื่องกันนะ เสิ่นเวยนึกขบขันตัวเอง ก่อนจะถามต่อไปว่า “รู้หรือไม่ว่าคนเหล่านั้นมาจากที่ใด”
“เป็นมือสังหารระดับอักษรเทียนจากหอมือสังหาร” คำตอบของเขายืนยันสิ่งที่เสิ่นเวยคาดเดาไว้
ระยำ ใครให้เกียรตินางขนาดนี้ มือสังหารระดับอักษรเทียนสามสิบคน ถึงขนาดกรีดเลือดตัวเองเพื่อเอาชีวิตนาง ดูเหมือนนางไม่เคยล่วงเกินคนใหญ่คนโตระดับนั้น
“สืบหาตัวผู้จ้างวานได้หรือไม่” เสิ่นเวยถามออกไปอย่างไม่คาดหวัง ที่จริงนางก็รู้ว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้น้อยมาก
เป็นดังคาด สวี่โย่วส่ายหน้า “สืบไม่พบ” ถึงแม้ในมือของเขาจะมีแหล่งข่าวอยู่บ้าง แต่ความลับระดับนี้ คนของเขายังสืบไม่ได้
“เจ้าเคยล่วงเกินใครหรือไม่” สวี่โย่วมองหญิงสาวที่นอนขมวดคิ้วอยู่บนเตียง พร้อมเอ่ยถามออกไป
เสิ่นเวยใคร่ครวญอย่างละเอียด ก่อนจะส่ายหน้าอย่างหนักแน่น “ไม่มี” คนที่นางเคยขัดแย้งด้วยมีสามสี่คน แต่คนที่สามารถจ้างมือสังหารระดับเทียนถึงสามสิบคนจากหอมือสังหารได้ คนระดับนั้นไม่มี
“คุณหนู หรือจะเป็นฮูหยินเจ้าคะ” หลีฮวาเตือนขึ้นเสียงเบา
เสิ่นเวยปฏิเสธทันควัน “เป็นไปไม่ได้” ก่อนจะอธิบายว่า “นางไม่มีเงิน อีกอย่างเวลานี้นางถูกกักบริเวณอยู่ในหอธรรม” ความเคลื่อนไหวของฮูหยินหลิวมีคนจับตามองอยู่ หญิงผู้นั้นไม่มีทางทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างเงียบเชียบ ที่สำคัญคือนางไม่มีเงิน การค้าระดับนี้อย่างน้อยต้องจ่ายเงินห้าหมื่นตำลึง ฮูหยินหลิวไม่มี ถึงแม้จะมีก็ตัดใจจ่ายไม่ลง อย่างมากนางก็แค่หาอันธพาลสามสี่คนบนถนนมาทำลายชื่อเสียงของนาง
ในขณะนั้น ทั้งห้องพลันตกอยู่ในความเงียบ หลีฮวานึกย้อนไปถึงเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่นางมาอยู่ข้างกายคุณหนูจนกระทั่งกลับมายังเรือนหลังของจวนโหว หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยว่า “คุณหนู หรือจะเป็นเจ้าเมืองจ้าว”
คุณหนูขัดแย้งกับเขาอย่างรุนแรง เจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ก็น่าจะมีกำลังทรัพย์มากพอจะจ้างมือสังหาร ได้ยินว่าบุตรสาวของเขาก็เป็นอนุภรรยาคนโปรดของท่านอ๋องกง
เขาหรือ เสิ่นเวยนึกถึงบุตรชายของเจ้าเมืองจ้าวที่ถูกนางทำให้ขาหัก และเจ้าเมืองที่ถูกนางโกงเงินหนึ่งหมื่นตำลึงมา อืม มีความเป็นไปได้ แต่เมื่อลองใคร่ครวญดูอย่างละเอียด นางก็ปฏิเสธออกไป “ไม่ใช่เขาหรอก”
เจ้าเมืองจ้าวเป็นคนขี้ขลาด สิ่งที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุดคือตำแหน่งงานราชการของตัวเอง เรื่องที่มีผลต่อตำแหน่งงาน เขาไม่มีทางทำแน่ ในสถานการณ์ที่รู้ว่าตนเองจะพ่ายแพ้ เขาไม่มีทางคิดแก้แค้น สายตาของเขากว้างไกลกว่าฮูหยินจอมลำเอียงของเขามาก ฮูหยินของเขาคิดว่าบุตรสาวเป็นที่โปรดปรานของอ๋องกงนั่นยิ่งใหญ่มากแล้ว
เขาไม่ได้เลอะเลือนขนาดนั้น บุตรสาวของเขาเป็นแค่อนุภรรยาเท่านั้น แม้แต่สนมก็ไม่ใช่ เรื่องทั่วไป ท่านอ๋องกงอาจจะยอมตามใจนางบ้าง แต่สำหรับเรื่องสำคัญ อ๋องกงไม่มีทางออกหน้าเพื่อผู้หญิง เขาเป็นผู้ชายรู้เรื่องนี้ดี
“เจ้าเมืองจ้าวเป็นใคร” ในขณะที่เสิ่นเวยกำลังคิดอยู่นั้นก็ได้ยินคำถามของสวี่โย่ว
เอ่อ หญิงสาวนิ่งชะงักไป ใบหน้าเผยความกระอักกระอ่วน “เขา เขา คือคนที่ข้าเคยล่วงเกินเมื่อครั้งที่พำนักอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเสิ่น แต่คนผู้นั้นเป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าวางแผนร้ายอะไร”
ชายหนุ่มกระตุกมุมปาก มองนางอย่างมีเลศนัย เด็กคนนี้ช่างไม่มีความอดทนเอาเสียเลย ให้ไปรักษาตัวที่บ้านเกิดของบรรพบุรุษ นางยังไปล่วงเกินเจ้าเมืองจ้าวได้อีก ความสามารถในการรนหาเรื่องเป็นอันดับหนึ่งจริงๆ
มีหรือเสิ่นเวยจะไม่รู้ว่าสวี่โย่วกำลังคิดอะไรอยู่ หญิงจึงรู้สึกอึดอัดขึ้นมา…ก็แค่ช่วยนางไว้ครั้งเดียว? เหตุใดต้องมาวุ่นวายให้มากเรื่องด้วย ถึงอย่างไรนางก็เคยช่วยเขามาก่อน…
“เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าเป้าหมายของพวกมันไม่ใช่เจ้า” อยู่ๆ สวี่โย่วก็พูดขึ้น
เสิ่นเวยเงยหน้า สบสายตาลึกล้ำของอีกฝ่าย ทันใดนั้นก็เข้าใจความหมายของเขา “เคยคิด แต่ไม่กล้าคิดต่อ” เสิ่นเวยตอบ
ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่นาง แต่พุ่งเป้าไปที่ท่านตา ดูจากการลงมือที่เ**้ยมโหดของพวกนักฆ่า ผู้จ้างวานคงคิดจะฆ่าล้างทั้งตระกูล หากเกิดเรื่องกับหร่วนเหิงและหร่วนเหมียนเหมียน สายเลือดของจวนแม่ทัพใหญ่ก็จะขาดสะบั้นลง ท่านตาที่เป็นเหมือนไม้ใกล้ฝั่งมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ดังนั้นพวกมันจึงไม่ได้ลงมือกับท่าน
คิดดูแล้วก็น่ากลัวจริงๆ ครอบครัวของท่านตาเพิ่งจะออกจากจวนแม่ทัพใหญ่ มือสังหารก็มาถึงแล้ว จะเห็นได้ว่าหลายปีมานี้ใครบางคนคอยจับตามองจวนแม่ทัพใหญ่อยู่ตลอดเวลา นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เสิ่นเวยไม่กล้าคิดให้ลึกไปมากกว่านี้
“ไม่ได้เห็นนามของผู้จ้างวาน ใครก็ไม่อาจยืนยัน” สวี่โย่วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ไม่ว่าเป้าหมายเป็นใคร แต่เจ้าต้องระวังให้มาก ภารกิจยังไม่สำเร็จ”
ในใจของเสิ่นเวยรู้สึกสั่นไหว จริงด้วย ภารกิจยังไม่สำเร็จ หอมือสังหารจะต้องส่งมือสังหารกลุ่มที่สองมาอีกแน่ เวลานี้นางกำลังบาดเจ็บ เมื่อถึงเวลานั้นจะไม่ยิ่งอันตรายหรือ
“ต้องการ…” ชายหนุ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป
แต่ถูกเสิ่นเวยขัดขึ้นเสียก่อ “ไม่ต้อง ขอบใจมาก” นางเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย เขาคิดจะถามนางว่าต้องการให้ช่วยหรือไม่ เสิ่นเวยไม่อยากติดค้างหนี้น้ำใจของเขาอีก หนี้น้ำใจใช้คืนยากที่สุด อีกอย่างที่จริงแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้สนิทสนมกันมากมาย
และเสิ่นเวยก็ไม่ได้ขาดแคลนกำลังคนด้วย ครั้งนี้เป็นเพราะนางประมาทเกินไป คิดว่าแค่มาเที่ยวเล่นในหมู่บ้านคงไม่มีอันตรายอะไร จึงไม่ได้พาหน่วยลับมาด้วย
สวี่โย่วพยักหน้า “ได้ เช่นนั้นเจ้าก็พักผ่อนเถอะ” นิ่งมองดวงหน้าเล็กที่แสดงความเหนื่อยให้เห็น ก่อนที่เขาจะถอยออกไป