หลังจากตื่นนอนกลางวัน เสิ่นเวยก็ฟังเฉินก่วงฝูรายงานสถานการณ์ต่างๆ ในหมู่บ้านมีผู้เช่าที่ดินทำนากี่ครัวเรือน สถานการณ์ของแต่ละครัวเรือน ไร่นาเพาะปลูกอะไรบ้าง การคาดการณ์ผลผลิตในปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง ถึงแม้จะเป็นเรื่องปลีกย่อย แต่เสิ่นเวยก็มองเห็นความใส่ใจของเฉินก่วงฝูจากสิ่งเหล่านั้น เขาเพิ่งจะมารับช่วงดูแลหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ถึงหนึ่งเดือน แต่สามารถเข้าใจเรื่องราวในหมู่บ้านมากขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เสิ่นเวยพยักหน้า นางพอใจกับเรื่องนี้มาก “ค่าเช่าที่ดินของพวกเราจ่ายอย่างไร”
“เหมือนกับหมู่บ้านใกล้เคียง หกต่อสี่ขอรับ” เฉินก่วงฝูตอบ
เสิ่นเวยขมวดคิ้ว “เพียงพอที่พวกเขาจะเลี้ยงปากท้องในครัวเรือนหรือ” ช่างเป็นสังคมศักดินาที่ชั่วร้ายจริงๆ ชาวนาเพาะปลูกด้วยความยากลำบาก แต่สุดท้ายตนเองกลับได้รับส่วนแบ่งเพียงน้อยนิด ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี
เฉินก่วงฝูลังเลอยู่ครู่ก่อนจะเอ่ยว่า “หากเก็บเกี่ยวได้มากก็ได้กินอิ่มขอรับ แต่ถ้าหากมีภัยพิบัติก็ไม่พอขอรับ หมู่บ้านของเรามีไร่นาที่ดีมาก ขอเพียงขยันขันแข็งสักหน่อย ก็จะมีชีวิตที่ดีขอรับ”
เสิ่นเวยลูบคาง ไม่กล่าวคำใด ถึงแม้เฉินก่วงฝูจะพูดว่าชาวนาผู้เช่าเหลือข้าวเพียงพอจะประทังชีวิต แต่นางก็เคยพำนักอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเสิ่นสามสี่ปี ค่อนช้างเข้าใจสภาพความเป็นอยู่ของชาวนา ถ้าหากในครอบครัวมีกำลังคนมากหรือขยันขันแข็งสักหน่อยก็พอจะช่วยประคับประคองครอบครัวไปได้ แต่ถ้าหากในครอบครัวมีคนชรา เด็กหรือคนป่วย เกรงว่าผ่านไปแค่ครึ่งปีครอบครัวนั้นก็ขัดสนแล้ว
“เอาอย่างนี้เถอะ ข้าไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง ประกาศออกไป นับจากฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ ค่าเช่าที่ดินของหมู่บ้านจะลดลงส่วน เหลือเพียงห้าต่อห้าเท่านั้น” เสิ่นเวยกล่าวกับเฉินก่วงฝู
นางเกิดในยุคสมัยนี้ เช่นนั้นก็ต้องเคารพกฎของยุคสมัย นางไม่อยากสวนกระแสสังคม หากยกเว้นค่าเช่าทั้งหมด นั่นเป็นเรื่องน่าขัน แต่เหมือนอย่างที่เสิ่นเวยกล่าว นางไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง ในขอบเขตความสามารถของตน นางอยากทำอะไรเพื่อเหล่าชาวนาที่ต้องทนลำบากเหล่านี้ บางทีความใจกว้างของนางอาจจะช่วยต่อลมหายใจให้กับครอบครัวที่กำลังจะสิ้นหวัง นางไม่ได้คิดอะไรมากมาย ต้องการเพียงความสบายใจเท่านั้น เมื่อสบายใจก็จะมีเหตุผลเพียงพอ
พูดได้ว่า เสียอะไรก็ได้แต่ต้องไม่เสียความรู้สึก
ถึงแม้เฉินก่วงฝูจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่เขาก็รู้สึกดีใจแทนชาวนาเหล่านี้ เดิมทีตัวเขาก็มาจากครอบครัวชาวนา รู้ถึงความลำบากของชาวนา ไม่ใช่เพราะไม่มีข้าวเลี้ยงปากท้องหรือ เขาจึงได้ไปอยู่ที่เขาหัวไก่
“ขอบคุณของรับคุณหนู คุณหนูช่างจิตใจดีจริงๆ บ่าวจะนำข่าวนี้ไปแจ้งให้ทุกคนรู้เดี๋ยวนี้ขอรับ” เฉินก่วงฝูถอยออกไปอย่างดีใจ
เสิ่นเวยคลี่ยิ้ม ก่อนจะสั่งความอีกคำ “สั่งทุกคนไม่ให้พูดเรื่องนี้ออกไป”
ในละแวกนี้ไม่ได้มีแค่ที่ดินของนางเท่านั้น และคนอื่นเรียกเก็บค่าเช่าหกต่อสี่ หากพวกเขารู้ว่านางเก็บแค่ครึ่งเดียวอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งต่อกัน เรื่องนี้เสิ่นเวยไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว
หลังจากนั้นเสิ่นเวยก็สั่งให้หลีฮวาไปดูว่าพวกเสิ่นเจวี๋ยตื่นหรือยัง ตอนมื้อเที่ยงตกลงกันไว้ว่าตอนบ่ายจะขึ้นเขาด้วยกัน
หลังหมู่บ้านมีภูเขาตั้งอยู่ไม่ไกล ประมาณสองสามลี้เท่านั้น
เหล่าสาวรับใช้ของเสิ่นเวยรู้สึกเบื่อหน่ายมานานแล้ว เวลานี้เมื่อได้ยินว่าสามารถขึ้นเขาไปเที่ยวเล่นได้ แต่ละคนก็อยากไป
ด้วยเหตุนี้เจ้านายสี่คนจึงพาบ่าวรับใช้กลุ่มใหญ่ขึ้นเขาไปอย่างเบิกบาน เพราะมีคนมาก ทั้งยังอยู่ในเขตของหมู่บ้าน ขี่ม้าหรือนั่งรถไปจึงไม่สะดวกนัก ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกวิถีดั้งเดิมที่สุดนั่นคือ…เดินเท้า
ระหว่างทางได้พบกับผู้เช่าหลายคนกำลังทำนากันอยู่ พวกเขาทำความเคารพเสิ่นเวยด้วยท่าทีนอบน้อมผิดปกติ ทั้งยังกล่าวขอบคุณอีกเล็กน้อย ที่มากกว่านั้นคือสีหน้าตื่นเต้นยินดีที่ไม่อาจพูดออกมาได้ แต่ความซาบซึ้งบนใบหน้าของพวกเขาแสดงออกมาอย่างจริงใจ ซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้าบ้านวัยเยาว์ผู้มีน้ำใจกว้างขวาง บางทีค่าเช่าส่วนหนึ่งก็มากพอจะทำให้ภรรยาที่กำลังตั้งท้องมีข้าวกินเพิ่มขึ้นอีกสองมื้อ ทำให้บิดาผู้ป่วยไข้ติดเตียงมียากินกินเพิ่มขึ้นอีกสามสี่มื้อ พอให้บุตรชายผู้ไร้เดียงสามีขนมกินอีกสามสี่ห่อ ทำให้ชีวิตเหนื่อยยากมาแรมปีพอได้เห็นแสงสว่าง
“พี่เวย เถาฮวานำคันธนูมาด้วย บนภูเขาสามารถล่าสัตว์ได้จริงหรือ ข้ายังไม่เคยล่าสัตว์มาก่อนเลย” หร่วนเหมียนเหมียนดึงมือเสิ่นเวยเอ่ยถามอย่างร่าเริง
หร่วนเหิงและเสิ่นเจวี๋ยได้ยินคำถามของน้องสาวก็ล้อมกันเข้ามามองนาง เสิ่นเวยจึงเอ่ยว่า “ข้าก็เหมือนกับพวกเขา เพิ่งจะเคยมาที่นี่ รู้เสียที่ไหนเล่าว่าบนภูเขามีสัตว์ป่าหรือไม่ คำถามนี้คงต้องขอคำชี้แนะจากหัวหน้าหมู่บ้านเฉินจึงจะถูก”
เฉินก่วงฝูรับตอบรับ “เหมือนอย่างที่ทุกท่านทราบขอรับ บนภูเขาของเรามีสัตว์ป่าให้ล่า แต่เป็นพวกกระต่ายป่าหรือไม่ก็ไก่ป่า ไม่มีพวกสัตว์ใหญ่ ไม่อย่างนั้นบ่าวคงไม่กล้าพาพวกท่านมาที่นี่” หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้านายจะทำอย่างไรเล่า
ใบหน้าของเสิ่นเจวี๋ยและหร่วนเหิงเผยความผิดหวังออกมา วันนี้สองหนุ่มเตรียมจะมาแสดงความสามารถ แต่หร่วนเหมียนเหมียนยังคงตื่นเต้น สำหรับเด็กสาวอย่างนาง แค่ยิงกระต่ายหรือไก่ป่าได้สักตัวก็พอแล้ว
พูดไปพลางเดินไปพลาง ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวก็มาถึงตีนเขาแล้ว เสิ่นเวยกลัวว่าจะพลัดหลงกันจึงสั่งไปว่า “อย่างน้อยต้องมีสามคนอยู่ด้วยกัน อย่าไปไหนมาไหนคนเดียวเด็ดขาด เมื่อเข้าไปในภูเขาจะต้องระวังให้มาก ระวังแมลงกับงูในพุ่มไม้ด้วย หากพบผลไม้ที่ไม่รู้จักก็อย่ากินมั่ว เผื่อมีพิษ”
เสิ่นเวยเพิ่งจะกล่าวจบ เสิ่นเจวี๋ยกับหร่วนเหิงนำบ่าวรับใช้วิ่งออกไป เสิ่นเจวี๋ยยังไม่ลืมให้คำมั่นกับพี่สาวว่า “ท่านพี่ ท่านรอก่อนนะ ข้าจะหาวัตถุดิบมาทำมื้อค่ำให้ท่าน”
เหล่าสาวใช้ข้างกายเสิ่นเวยยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ คนที่ทำให้นางแปลกใจคือเถาฮวาที่ยังคงยืนนิ่งอยู่เหมือนกัน เสิ่นเวยจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “เหตุใดจึงไม่ไปเล่นสนุก เจ้ารอแทบไม่ไหวแล้วไม่ใช่หรือ” ไม่อย่างนั้นจะพกคันธนูมาด้วยเหตุใด
เถาฮวาย่นปาก “ข้าจะอยู่กับคุณหนู” ตอนที่อยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเสิ่นได้ล่าสัตว์กับคุณหนูสนุกมาก คุณหนูไม่ต้องใช้ธนูก็สามารถล่าไก่ป่ากับกระต่ายได้ นางฝึกอยู่นานก็ยังทำไม่ได้
เสิ่นเวยนึกสนุกขึ้นมาบ้าง “ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ”
เด็กสาวจึงนำทางไปเบื้องหน้า ใช้พลองฟาดพุ่มไม้ ไม้ก็หักกิ่งไม้ออกเพื่อเปิดทาง อย่ามองว่าพวกหลีฮวาเหอฮวาวางตัวสง่าอยู่ภายในจวน แต่ถึงอย่างไรก็เคยผ่านความยากลำบากมาก่อน สำหรับเรื่องเช่นนี้ พวกนางเชี่ยวชาญอยู่มาก ภาพนี้ทำให้หร่วนเหมียนเหมียนกับบ่าวของนางและเถาจือและเยวี่ยกุ้ยพากันตกตะลึง เดิมทีเถาจือคิดว่าตนเองทำดีมากแล้ว แต่เท่าที่เห็นในตอนนี้ นางกับพวกหลีฮวาเหอฮวายังห่างไกลกันอยู่มาก นางรู้สึกถึงวิกฤตของตัวเอง
เดินมานานก็ยังไม่พบสัตว์ป่าสักตัว หร่วนเหมียนเหมียนทำปากยาวปากยื่น “พี่เวย เหตุใดจึงไม่มีสัตว์สักตัวล่ะเจ้าคะ หัวหน้าเฉินคงไม่ได้หลอกพวกเราหรอกใช่ไหมเจ้าคะ” นางเดินจนปวดฝ่าเท้าแล้ว นอกจาเสียงนกร้องไก่ป่ากับกระต่ายที่บอกไว้ไม่เห็นมีสักตัว
“มีน่ะมีแน่ เพียงแต่ยังไม่พบเท่านั้น พวกเราลองหาอีกครั้งเถอะ” เสิ่นเวยเอ่ยปลอบ ที่จริงนางอยากจะพูดว่า พวกเจ้าเอะอะกันขนาดนี้ ถึงแม้จะมีไก่ป่าหรือกระต่ายป่าก็ตกใจจนไม่กล้าออกมา
เสิ่นเวยยังไม่ทันเอ่ยออกมาก็เห็นกระต่ายป่าตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากพุ่มไม้
“เร็ว เร็วๆ เข้า กระต่ายป่า จับมันไว้” หร่วนเหมียนเหมียนตะโกนอย่างตื่นเต้น สาวใช้คนอื่นพากันตื่นเต้นตามไปด้วย
เถาฮวาง้างคันธนู ลูกธนูพุ่งออกไปก่อนตามด้วยก้อนหิน ลูกธนูของเถาฮวามีแรงไม่พอจึงยิงไม่โดน แต่ก้อนหินของเสิ่นเวยกลับโดนท้องของกระต่าย จนมันกระเด็นออกไปด้านหนึ่ง มันยังไม่ทันได้ดิ้นรนเอาชีวิตรอด ลูกธนูดอกที่สองของเถาฮวาก็มาถึงแล้ว ครั้งนี้นางยิงได้แม่นยำ มันปักเข้าที่ตัวของกระต่ายตัวนั้น
“โดนแล้วๆ” ทุกคนตบมืออย่างยินดี เถาฮวากับหร่วนเหมียนเหมียนวิ่งเข้าไปอย่างใจร้อน ก่อนจะหิ้วกระต่ายที่ตายแล้วกลับมาอย่างดีใจ “พี่เวย เถาฮวายิงธนูแม่นมาก เหอะ ท่านปู่กับท่านพี่ไม่ยอมสอนข้า”
หร่วนเหมียนเหมียนสีหน้าอิจฉา นางก็อยากยิงกระต่ายได้เหมือนกับเถาฮวา แต่นางยิงไม่เป็น ทั้งหมดเป็นเพราะท่านปู่ บอกว่านางเป็นสตรี หากฝึกแล้วมือเท้าจะหยาบไม่น่ามอง พี่ชายก็เหมือนกัน นางออดอ้อนเขาตั้งหลายครั้งก็ไม่ยอมแอบสอนให้นาง พี่เวยกับเถาฮวาก็เป็นสตรีเหมือนกันไม่ใช่หรือ แต่ก็มีวรยุทธติดตัว
ฉาฮวากลับไม่เห็นด้วย “คุณหนูต่างหากที่เขวี้ยงหินไปโดน” ทั้งๆ ที่คุณหนูเขวี้ยงโดนก่อนแล้วเถาฮวาจึงยิงโดนทีหลัง ถึงแม้นางจะสนิทสนมกับเถาฮวาก็ไม่ควรพูดโกหกกันซึ่งหน้า
หร่วนเหมียนเหมียนจึงพูดสำทับไปทันที “ใช่ๆ พี่เวยร้ายกาจมาก”
เสิ่นเวยคลี่ยิ้ม หันมองเถาฮวาจึงเห็นดวงตาดับขลับกำลังเงยมองมาที่นาง หญิงสาวจึงลูบศีรษะทุย กล่าวชมไปว่า “เถาฮวาเก่งมาก ฝีมือธนูก็ก้าวหน้า”
เด็กหญิงจึงยิ้มออก นางไม่เข้าใจพวกเขากำลังพูดอะไร แต่นางรู้เพียงว่าแค่คุณหนูชมนางก็พอแล้ว ขอเพียงคุณหนูชมนาง นั่นหมายความว่าคุณหนูยังคงชอบนาง คุณหนูเคยพูดว่า คนที่ท่านชอบที่สุดก็คือเถาฮวา ที่จริงในใจของเถาฮวาก็ชอบคุณหนูมากที่สุดเช่นกัน ชอบมาก ชอบมากๆ ชอบที่สุด
ยิ่งเดินไปนานเท่าไหร่ก็ไม่พบสัตว์ป่าเลย กลับเห็นเพียงลำธารสายหนึ่งเท่านั้น น้ำในลำธารใสมาก ทั้งยังมีปลาตัวเล็กๆ แหวกว่ายอยู่ในน้ำ
ปลาเล็กเช่นนี้หากต้มเป็นน้ำแกงจะรสชาติดีที่สุด เพียงไม่นานเสิ่นเวยนึกสนใจขึ้นมา คิดจะจับพวกมันขึ้นมา แต่ไม่มีตาข่ายจับปลา แต่พวกนางนำตะกร้ามาด้วย นี่ก็ถือเป็นเครื่องมือที่ดี
เสิ่นเวยหยิบตะกร้าขึ้นมาจะลงน้ำ กลับถูกพวกหลีฮวาเถาจือขวางไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย “คุณหนู พวกบ่าวทำเองเจ้าค่ะ” น่าขัน เวลานี้ฐานะของคุณหนูไม่เหมือนเดิมแล้ว จะถอดรองเท้าลงน้ำตามใจชอบได้อย่างไร
เสิ่นเวยอับจนหนทาง จำต้องยืนชี้นิ้วสั่งพวกสาวใช้จับปลาอยู่บนฝั่ง เหล่าสาวใช้ทำได้ดีไม่น้อย จับปลาตัวเล็กได้สองสามจิน มากพอให้พวกเขาต้มน้ำแกงคืนนี้
นอกจากปลาเล็กแล้ว พวกนางยังได้องุ่นมาไม่น้อย เนินแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยองุ่นป่า ลูกเล็กๆ หลายพวง มีสีม่วงเข้มจนออกดำ
เสิ่นเวยลองชิมดูหนึ่งลูก แม้ไม้หวานอย่างองุ่นในจวน แต่น่าจะใช้ทำเหล้าองุ่นได้ พวกนางเก็บองุ่นบนเนินมาทั้งหมด เก็บจนเต็มแล้วก็ยัดใส่เพิ่มลงไป
เดิมทีตกลงกันไว้ว่าครึ่งชั่วยามก็จะออกไป เสิ่นเวยเห็นเวลาผ่านไปพอสมควรแล้ว จึงพาทุกคนกลับ