เสิ่นเวยออกไปสั่งความเสียงต่ำกับโอวหยางไน่ที่กำลังบังคับรถม้าอยู่แล้วจึงกลับมานั่งด้านในเหมือนเดิม เอ่ยกับเสิ่นอิงว่า “ท่านเชื่อมั่นไม่ใช่หรือว่าถันหลางผู้นั้นจะเป็นสามีที่ดีของเข้า ก็ได้ วันนี้ข้าจะยอมทนกับความวุ่นวายสักครั้ง สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น เช่นนั้นพวกเราก็ไปดูกันว่าแท้ที่จริงแล้วเขาเป็นคนดีหรือไม่ หากเขาเป็นชายที่ดีมีคุณธรรม ท่านก็ไม่ต้องหนีตามเขาไปแล้ว ข้าจะช่วยท่านยกเลิกการแต่งงาน ให้ท่านได้แต่งกับเขาอย่างถูกต้อง แต่ถ้าหากเขาเป็นเพียงคนเลวที่หลอกลวงคนอื่น ท่านจงยอมกลับจวนกับข้าเพื่อเตรียมตัวแต่งงานแต่โดยดี ห้ามทำเรื่องเหลวไหลอีก”
“จริงหรือ” ดวงตาของเสิ่นอิงเป็นประกายในทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง ถ้าหากสามารถแต่งงานกับถันหลางได้อย่างถูกต้องจริงๆ เหตุใดนางต้องลำบากหนีตามเขามาเล่า
เสิ่นเวยพยักหน้าเป็นจริงเป็นจริง “แน่นอน! แต่ว่าตอนนี้ท่านต้องเชื่อฟังที่ข้าบอกก่อน”
เสิ่นอิงรับปากอย่างสุขใจ “ได้ จะทำตามที่เจ้าว่า” ขอเพียงได้แต่งงานกับถันหลาง ให้นางทำอะไรก็ย่อมได้ ใบหน้าของนางเกลื่อนไปด้วยความเขินอาย ยิ่งขับให้ดวงหน้าแดงก่ำขึ้นมา หัวใจเต้นกระหน่ำ ในดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความคาดหวังในอนาคต
แววตาของเสิ่นเวยเผยความเวทนา นึกเอือมระอาอยู่ในใจ ในความคิดของนาง เป็นไปได้มากว่าถันหลางผู้นั้นจะเป็นนักต้มตุ๋น เชี่ยวชาญการหลอกลวงหญิงสาวที่อ่อนต่อโลกอย่างพี่สาม หญิงสาวเหล่านี้เติมโตอยู่ในคฤหาสน์มาตั้งแต่เล็ก เมื่อเติบโตขึ้นมาอีกหน่อย แม้แต่หน้าบิดาหรือพี่ชายของตนเองก็ไม่ค่อยได้พบหน้าบ่อยนัก โอกาสที่จะได้พบหน้าชายหนุ่มข้างนอกก็ยิ่งน้อยลงไปอีก ดังนั้นเมื่อบังเอิญได้พบกับชายหนุ่มที่รูปโฉมหล่อเหลาสง่างามก็ง่ายที่จะเกิดความรู้สึกดี ยิ่งชายผู้นั้นพูดบทกวีเพียงสามสี่ประโยค พูดคำพูดหวานหูสักหน่อย เหล่าคุณหนูผู้ไม่รู้ถึงความน่ากลัวของโลกย่อมต้องหลงในมารยาของชายผู้นั้นจนต้องรีบควักหัวใจให้อีกฝ่ายไป
อาจเป็นเพราะเสิ่นเวยก็มีบางอย่างที่เก็บซ่อนไว้ภายในซึ่งแตกต่างจากที่เห็นภายนอก ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ต่างจากเสิ่นอิง ถึงแม้ว่านางจะด่าเสิ่นอิงว่าไม่มีสมอง แต่ที่จริงแล้วไม่ได้โมโหพี่สาวเหมือนที่แสดงออกมา
เสิ่นเวยกับเสิ่นอิงมองลอดผ่านผ้าม่านออกไป ผ่านไปครู่หนึ่งก็เห็นถันหลางผู้นั้นกลับมาที่ร้านน้ำชาอีกครั้ง มีชายหญิงคู่หนึ่งตามเขามาด้วย ผู้ชายอายุประมาณยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปี แต่งกายเหมือนบัณฑิต ส่วนอีกคนเป็นหญิงวัยกลางคนอวบอ้วน เหมือนกับเถ้าแก่เนี้ย
“ดูสิ สองคนนั้นเป็นบ่าวรับใช้ของถันหลาง เหตุที่ถันหลังแยกตัวออกไปก่อนหน้านี้ก็เพื่อไปตามพวกเขา ถันหลางไม่ได้หลอกข้า เขากลับมาข้าแล้ว ข้าจะไปหาเขา” เสิ่นอิงบอกเสียงเบา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและความยินดี
เสิ่นเวยยื่นมือไปคว้าตัวเสิ่นอิงที่กำลังจะลงจากรถไว้และเอ่ยว่า “รีบร้อนไปไย อดทนดูไปก่อน” คนผู้นี้ต้องใจกว้างเพียงใดจึงเห็นสองคนนี้เป็นบ่าว มีบ่าวที่ใดต้องให้เจ้านายไปตามหาด้วยหรือ
เสิ่นอิงแค่นเสียงเยาะอย่างไม่พอใจ ข่มความร้อนใจ แล้วมองเหตุการณ์ข้างนอกต่อไป
ถันหลางผู้นั้นไม่เห็นหญิงสาวจึงไปถามกับเจ้าของร้านน้ำชา เสิ่นเวยเห็นเจ้าของร้านส่ายหน้า ก่อนที่ชายหนุ่มผู้นั้นจะกลับไปพูดบางอย่างกับชายหญิงคู่นั้นด้วยสีหน้าผิดหวัง
จึงได้เห็นหญิงวัยกลางคนแสดงโทสะออกมา ถลึงตาใส่ถันหลางแล้วก็หมุนกายเดินจากไป ถันหลางหันไปฝืนยิ้มให้บัณฑิตหนุ่ม หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เดินตามไปด้านหลัง
เสิ่นเวยเห็นพวกเขาขึ้นรถม้าไปด้วยหันจึงหันไปมองเสิ่นอิง พูดอย่างฉุนเฉียวว่า “เห็นหรือยัง ท่านเห็นหรือยัง ถันหลางของท่านไม่ได้ออกตามหาท่านสักนิด คนเช่นนี้จะเป็นคนดีได้อย่างไร”
เสิ่นอิงสีหน้าเจ็บปวด กัดริมฝีปาก ตอบกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “ข้าไม่เชื่อ ถันหลางเคยบอกว่ารักข้า เขาจะพาข้ากลับบ้านเกิดไปแต่งงาน เขาไม่มีทางทอดทิ้งข้า เขา บางทีเขาอาจจะกลับไปตามคนมาช่วยออกตามหาข้า” เมื่อคิดได้เช่นนี้ แววตาห่อเ**่ยวของเสิ่นอิงพลันเป็นประกายขึ้นมาอีกครั้ง “ใช่ เขาจะต้องไปตามคนมาแน่ๆ”
เสิ่นเวยหัวเราะเยาะ สะบัดแขนที่ถูกเสิ่นอิงจับไว้ “ไม่เห็นโลกศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ ท่านไม่เชื่อ เช่นนั้นพวกเราก็ตามไปดูกัน ตามพวกเขาไป อย่าให้คลาดสายตาล่ะ” คำพูดสุดท้ายนางหันไปสั่งกับโอวหยางไน่
โอวหยางไน่รับคำเสียงเบา ตอนที่คุณหนูสามเอ่ยปาก เขาก็รู้แล้วว่าคุณหนูสี่จะต้องสั่งให้ตามไปด้วย ดังนั้นเขาจึงสั่งความกับคนที่ซ่อนตัวอยู่ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
ในรถม้า เสิ่นอิงเผลอกัดปาก ท่าทีลุกลี้ลุกลน เมื่อเทียบกับนางแล้ว เสิ่นเวยกลับมีท่าทีผ่อนคลายไม่รีบร้อน นางกวาดตามองเสิ่นอิง อยู่ๆ ในหัวก็มีคำพูดหนึ่งผุดขึ้นมา…ผู้หญิง นามของเจ้าก็คือคนอ่อนแอ ควรจะแก้สักหน่อย แม่นาง นามของเจ้าก็คือคนโง่ อืม แล้วก็พูดได้อีกว่า แม่นาง นามของเจ้าคือคนตาบอด…
ระหว่างทางเสิ่นเวยครุ่นคิดไปมากมาย
รถม้าเคลื่อนเข้ามาในเมืองหลวง ผ่านถนนเส้นแล้วเส้นเล่า สุดท้ายก็หยุดลง เสิ่นเวยมองเห็นพวกถันหลางลงจากรถม้า เข้าไปในอาคารหรูหราข้างถนน
เสิ่นเวยเงยหน้าขึ้นมอง มีตัวอักษรเขียนไว้ว่า ‘หนานเฟิงก่วน’ ทันใดนั้นเสิ่นเวยก็นึกสนุกขึ้นมา นี่มิใช่หอโคมเขียวที่เล่าลือกันไม่ใช่หรือ เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าถันหลางผู้นั้นจึงได้ให้ความรู้สึกแปลกๆ ที่แท้เขาก็เป็นคณิกาชายนี่เอง ก็เพราะทำงานเป็นคณิกาชายจึงจำเป็นต้องมีรูปโฉมหล่อเหลากิริยาสง่างาม ไม่อย่างนั้นใครจะเลือกซื้อตัว
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกขบขัน พี่สามของนาง คนที่หัวสูงยิ่งกว่าใคร คิดไม่ถึงว่าจะมาหลงชอบคณิกาชาย ฮ่าๆ น่าขันเสียจริง
เพราะอยู่ต่อหน้าเสิ่นอิง เสิ่นเวยจึงจำต้องกลั้นหัวเราะเอาไว้ ใบหน้าจึงดูไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง
“ว่าอย่างไร มีอะไรแปลกหรือ” เหตุใดแววตาของนางเด็กน่าตายคนนี้ช่างประหลาดนัก หรือใบหน้าของนางมีอะไรผิดปกติ เสิ่นอิงรู้สึกมึนงง
“ไม่มีอะไร” เสิ่นเวยไอออกมา วางสีหน้าเคร่งครึม ก่อนจะควานหาเสื้อผ้าชุดผู้ชายที่นางเตรียมสำรองไว้ออกมา ก่อนจะเอ่ยว่า “รีบเปลี่ยนเถอะ” รูปร่างของทั้งสองคนใกล้เคียงกันจึงน่าจะสวมได้
เสิ่นอิงยิ่งมึนงง “เพราะเหตุใด”
เสิ่นเวยกลอกตาอย่างเอือมระอา พูดอย่างรำคาญว่า “ท่านอยากตามไปดูถันหลางของท่านไม่ใช่หรือ เห็นหรือไม่ เมื่อครู่พวกเขาเพิ่งจะเข้าไปในหนานเฟิงก่วน รู้หรือไม่ว่าหนานเฟิงก่วนเอาไว้ทำอะไร”
เสิ่นอิงส่ายหน้า เสิ่นเวยจึงกล่าวต่อไปว่า “รู้หรือไม่ว่าซ่องเอาไว้ทำอะไร หนานเฟิงก่วนเป็นซ่องผู้ชาย ผู้ชายที่อยู่ข้างในถูกเรียกว่าคณิกาชาย สามี แมงดา หากพวกเราจะเข้าไปข้างในแล้วไม่แต่งตัวเป็นผู้ชายจะได้อย่างไร” คำอธิบายของเสิ่นเวยทั้งง่าย ทั้งหยาบคายและตรงไปตรงมา
เสิ่นอิงสีหน้าซีดเซียว แต่ก็ใช้มือสั่นๆ รับเสื้อผ้ามา นางแค่ใสซื่อไม่ได้โง่ จะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของน้องสาวได้อย่างไร เพียงแต่นางยังไม่ยอมตัดใจ อยากจะไปเห็นด้วยตาตัวเอง
เสิ่นเวยดึงเสิ่นอิงลงจากรถม้า ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปยังหนานเฟิงก่วน เสิ่นเวยการคุ้นชินกับแต่งกายด้วยชุดบุรุษนานแล้ว นางก้าวเดินอย่างสง่างาม มือก็ขยับโบกพัดขนนก วางท่าสุขุมน่าเกรงขาม นางดึงดูดความสนใจของคนรอบข้างด้านหน้าจึงไม่มีใครสนใจกับเสิ่นอิงมากนัก อีกทั้งชายหนุ่มที่คอยรับรองแขกที่นี่ส่วนใหญ่ก็ร่างกายผอมบางเป็นปกติอยู่แล้วจึงไม่มีใครสงสัยอะไร
เมื่อเข้ามายังห้องโถงก็มีบ่าวรับใช้หน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งเข้ามานำทาง “คุณชาย เชิญชั้นสองขอรับ” เขาผายมือเชิญ เสิ่นเวยจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ
เป็นครั้งแรกที่เสิ่นอิงทำเรื่องนอกกรอบเช่นนี้ นางมือเท้าเกร็งไปหมด เสิ่นเวยจำต้องโอบสะโพกของพี่สาวเอาไว้ แสร้งทำราวกับว่ารักใคร่กันมาก “ผ่อนคลาย เป็นธรรมชาติหน่อย ท่านเป็นเช่นนี้ช้าเร็วจะต้องเผยพิรุธออกไปแน่”
เสิ่นเวยไม่พูดยังจะดีเสียกว่า เมื่อเสิ่นเวยพูดออกไปอย่างนั้น เสิ่นอิงก็ยิ่งตื่นเต้นจนก้าวไม่ออก โชคดีที่เสิ่นเวยคอยพยุงไว้ ไม่อย่างนั้นนางคงล้มไปกองกับพื้นแล้ว ทำอย่างไรได้ เสิ่นเวยจำต้องพยุงนางก้าวไปเบื้องหน้าทั้งอย่างนี้ เหอะ กล้าหนีตามผู้ชายไม่ใช่หรือ แต่เวลานี้กลับรู้จักกลัว
บ่าวรับใช้นำทางไปอย่างนอบน้อม เมื่อขึ้นมาบนชั้นสองก็เลี้ยวไปทางขวา ผ่านทางเดิน เขาก็ผลักประตูห้องรับรองห้องหนึ่งเข้าไป “เชิญคุณชายทั้งสองด้านในขอรับ”
เสิ่นเวยและเสิ่นอิงเข้าไปยังห้องรับรอง บ่าวผู้นั้นก็ตามเข้ามาด้านหลัง ทั้งยังปิดประตูให้อย่างใส่ใจ ในตอนที่เสิ่นเวยกวาดตามองรอบๆ อย่างสำรวจก็เห็นบ่าวผู้นั้นเดินมาหยุดที่ผนังทางด้านขวา ไม่รู้ว่าเขาแตะนิ้วไปที่ใด ภาพวาดบนผนังก็ม้วนขึ้นไปเผยให้เห็นรูเล็กๆ บนผนังห้อง
“คุณชาย บ่าวจะคอยปรนนิบัติอยู่ด้านนอก หากต้องการสิ่งใดเชิญสั่งมาได้เลยขอรับ” บ่าวรับใช้พูดกับเสิ่นเวยอย่างนอบน้อม ก่อนจะถอยออกไป
ในใจของเสิ่นอิงรู้สึกปั่นป่วนไปหมด ในหัวของนางมีแต่ความสับสน ความคิดต่างๆ ประเดประดังเข้ามา
เสิ่นเวยหรี่ตามมองผ่านรู ทำให้ได้เห็นภาพเหตุการณ์ในห้องข้างๆ พอดี อืม สองคนที่กำลังดื่มสุรากันในห้องข้างๆ ก็คือถันหลางกับชายที่แต่งตัวเป็นบัณฑิตผู้นั้น เสิ่นเวยพยักหน้า นึกชื่นชมการทำงานของหน่วยลับ อืม กลับไปต้องเพิ่มเงินเดือนให้พวกเขาเสียหน่อยแล้ว
“มานี่ ยืนนิ่งอยู่ทำไม” เสิ่นเวยหันมาเรียกพี่สาว “เร็วเข้า พวกเขาอยู่ห้องข้างๆ จากในนี้มองเห็นได้”
เสิ่นอิงเดินไปด้วยท่าทีมึนงง คิดไม่ถึงว่าจะมองเห็นถันหลางของนางจริงๆ ทั้งสองแนบหูกับผนังห้อง บทสนทนาจะห้องข้างๆ ก็ดังลอดเข้ามา
“น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ สินค้าชั้นดีเสียด้วย หากส่งไปทางใต้จะต้องได้ราคาตั้งเท่านี้” ถันหลางกางมือออกมาบอกจำนวน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียดาย “หากรู้แต่แรกข้าจะไม่แยกตัวออกไปหรอก พวกท่านก็เหลือเกิน เหตุใดจึงช้านักเล่า ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงอยู่บนเรือแล้ว”
“อารุ่ย เจ้าช่างกล้าเสียจริง แม้แต่บุตรสาวของขุนนางก็กล้าหลอก เจ้าไม่กลัวว่าจะถูกสับเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นหรือ” ชายหนุ่มผู้ที่แต่งกายด้วยชุดบัณฑิตพูด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
ถันหลางกลับไม่แยแส “พี่เยี่ย หลายปีมานี้ในที่สุดข้าก็เข้าใจ คนที่กล้าได้กล้าเสียเท่านั้นจึงจะมีกินมีใช้ หากขี้ขลาดก็ต้องอดตาย ข้าหลอกอะไรพวกนาง พวกนางพาตัวเองมาให้ข้าเองต่างหาก เข้าใจหรือไม่ ใครใช้ให้พ่อแม่ของข้ามอบใบหน้านี้ให้ข้าเล่า ฮ่ะ ฮ่าๆ” น้ำเสียงเกลื่อนไปด้วยความพอใจและหยิ่งผยองอย่างแปลกประหลาด
บัณฑิตผู้นั้นยิ้มตาม “เจ้าหลบหน้าไปก่อนดีกว่า หลอกลวงพวกคุณหนูในตระกูลเศรษฐียังพอว่า ข้าได้ยินว่าครั้งนี้เหยื่อเป็นบุตรสาวนอกสมรสของจวนโหว เหตุใดเจ้าจึงอาจหาญเกินตัวเช่นนี้ หากนางชี้มาที่เจ้าก็ไม่รู้แล้วว่าเจ้าจะตายอย่างไร อารุ่ย ข้าว่าเจ้าซ่อนตัวสักระยะดีกว่า”
“กลัวอะไรเล่า พี่เยี่ยวางใจเถอะ ไม่เป็นไรหรอก ข้าจะบอกท่านให้ ยิ่งเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ก็ยิ่งรักหน้าของตัวเอง คุณหนูในเรือนต้องอับอายก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร สุดท้ายก็แสร้งป่วย” ถันหลางพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน “แต่น่าเสียดายที่นางหนีไปเสียแล้ว ครั้งนี้รูปโฉมถือว่าชั้นหนึ่ง ทั้งยังหัวอ่อนเชื่อคนง่าย ทางใต้ชื่นชอบสินค้าเช่นนี้ที่สุด น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ” เขาส่ายหน้ายังรู้สึกเสียดาย
เสิ่นเวยมองไปที่เสิ่นอิง เห็นใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือด หญิงสาวกำลังสั่นเทาไปทั้งร่าง ราวกับกำลังอดทนกับอะไรบางอย่าง เสิ่นเวยรีบดึงนางเข้ามาหา บอกเสียงเบาว่า “ไปกันเถอะ”
สิ่งที่ควรเห็นก็ได้เห็นแล้ว สิ่งที่ควรได้ยินก็ได้ยินแล้ว รีบกลับจะดีกว่า นางเห็นสภาพของเสิ่นอิงในตอนนี้รู้สึกไม่ค่อยวางใจนัก ส่วนชายหนุ่มสองคนนั้นเดี๋ยวก็มีคนจัดการเอง
เสิ่นอิงเซื่องซึมราวกับหุ่นไม้ นางถูกเสิ่นเวยพาตัวออกมาจากหนานเฟิงก่วนทั้งอย่างนั้น หญิงสาวไม่รู้ตัวเช่นนั้นว่าตนเองกลับออกมาอย่างไร นางรู้แต่เพียงว่าตนเองถูกหลอก ถันหลางของนาง ถันหลางที่เคยมองนางอย่างอ่อนโยนเป็นแค่นักต้มตุ๋นเท่านั้น เขาหลอกนาง ที่จริงแล้วเขาไม่ใช่คุณชายผู้สูงศักดิ์ที่ออกท่องยุทธภพอะไรทั้งนั้น เขาเป็นเพียงคณิกาชายที่ขายตัวแลกเงินเท่านั้น เขาคิดจะหลอกนางไปขายที่ทางใต้ ขายให้กับสถานที่สกปรกอย่างนั้น
แค่คิดถึงเรื่องนี้ เสิ่นอิงก็อดตัวสั่นไม่ได้ เกือบไปแล้ว อีกนิดเดียวนางก็จะถูกทำลายแล้ว!