สวี่โย่วเงยมองเจียงไป๋ที่ยังคงยืนนิ่งไม่ยอมขยับจึงเอ่ยถามเสียงเรียบ “ยังมีเรื่องอะไรอีก”
เจียงไป๋ขมวดติ้วลังเล เขาควรบอกคุณชายดีหรือไม่ ถึงอย่างไรก็เป็นผู้บุญคุณที่ช่วยชีวิต ไม่แน่ว่าคุณชายของเขาอาจจะอยากรู้ก็ได้ “คุณชาย ท่านเสนาบดีฉินทาบทามคุณหนูสี่แห่งจวนจงอู่โหวให้แก่บุตรชายคนเล็กของเขา พวกเขาส่งแม่สื่อไปทุกวัน ทั้งเมืองหลวงต่างก็รับรู้เรื่องนี้” แม้แต่ในโรงพนันก็ใช้เรื่องนี้มาพนันกัน พนันกันว่าการทาบทามครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่
มือของสวี่โย่วที่กำลังยกชาขึ้นจิบชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้เอ่ยคำใด เจียงไป๋รออยู่นานก็ไม่เห็นคุณชายเอ่ยคำใด จำต้องยอมถอยกลับไปแต่โดยดี
เจียงไป๋ที่ถอยออกประตูไป เขาลูบศีรษะอย่างกลัดกลุ้ม เขากำลังคิดว่า คุณชายเล็กแห่งตระกูลฉินจะคู่ควรกับคุณหนูสี่ได้อย่างไร ถึงแม้คุณหนูสี่จะดุร้ายอยู่บ้าง ทั้งยังแตกต่างจากคุณหนูผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวง แต่ว่าเจียงไป๋ก็ประทับใจในตัวนางมาก แต่ว่านางเป็นคนที่ช่วยคุณชายของเขาไว้ คำกล่าวที่ว่า รักบ้านและอีกาที่อยู่บนหลังคาก็ง่ายดายเช่นนี้
ภายในห้อง สวี่โย่ววางถ้วยชาลงบนโต๊ะ เขาหลับตาลง ก็ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ ผ่านไปนานจึงสั่งความไปว่า “ไปจวนองค์หญิงใหญ่”
“เพียงเพื่อเรื่องนี้?” องค์หญิงใหญ่มองหลานชายที่เย็นชาไม่สนใจใครมาตลอด นางคิดไม่ถึงว่าจะมีสักวันที่หลานชายจะมาขอให้ช่วย ทั้งยังทำไปเพื่อแม่นางผู้หนึ่ง
จงรู้ไว้เถอะ แต่ไหนแต่ไรมาอาโย่วไม่ยุ่งเกี่ยวกับหญิงผู้ใด ในเรือนก็มีแค่บ่าวผู้ชายและหญิงแก่เท่านั้น เหตุใดจึงใส่ใจคุณหนูสี่ของจวนจงอู่โหวเล่า ถึงขนาดมาขอให้นางช่วยหาคู่ครองที่ดีให้แก่คุณหนูสี่ เช่นนี้จะไม่ให้นางแปลกใจได้อย่างไร
สวี่โย่วพยักหน้าตอบไปตามตรง “พ่ะย่ะค่ะ ขอเสด็จอาโปรดช่วยหลานด้วย” ช่วยหาสามีที่ดีให้นางก็ถือว่าชดใช้หนี้น้ำใจให้นางแล้ว
“คุณหนูสี่ผู้นี้ก็…เอ่อ…ไม่เลวทีเดียว?” องค์หญิงใหญ่ไม่แน่ใจนักจึงย้อนถามกลับไป
ชายหนุ่มพยักหน้า “ไม่เลวพ่ะย่ะค่ะ” มีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ได้น่ารำคาญหรือใจแคบเหมือนหญิงสาวทั่วไป ครุ่นคิดแล้วจึงเอ่ยต่อไปว่า “นางค่อนข้างดุร้าย” ไม่ว่าเรื่องที่นางสั่งสอนฉินอิ่งอิ่งหรือตำหนิซื่อจื่อแห่งจวนหย่งหนิงโหว ทำให้รู้ว่านางมีนิสัยดุร้าย โดยเฉพาะตอนที่เผชิญหน้ากับกลุ่มนักฆ่า นางสามารถลงมือได้อย่างเลือดเย็น
คุณหนูใหญ่ยิ่งไม่เข้าใจ “อาโย่วไม่รู้หรือว่าท่านเสนาบดีฉินกำลังสู่ขอคุณหนูสี่ให้กับบุตรชายคนเล็กของเขา”
“ทราบพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มพยักหน้า ราวกับล่วงรู้ถึงความคิดของอีกฝ่าย “แต่ไม่คู่ควร”
องค์หญิงใหญ่ได้ยินดังนั้นก็กระตุกมุมปาก เหลือเกินจริงๆ หลานชายของนางคนนี้ช่างเป็นคนพูดตรง ความหมายก็คือบุตรชายคนเล็กของเสนาบดีฉินไม่คู่ควรกับคุณหนูสี่
มองออกว่าเขาค่อนข้างห่วงใยคุณหนูผู้นั้นมากทีเดียว แต่ไม่รู้ว่าทั้งสองคนไปรู้จักกันเมื่อได้ คิดถึงตรงนี้องค์หญิงใหญ่ก็ตาเป็นประกายขึ้นมา “ในเมื่ออาโย่วห่วงใยคุณหนูสี่มากขนาดนี้ เหตุใดจึงไม่สู่ขอนางเสียเองเล่า” ถึงแม้ว่าว่าลำดับตระกูลของจวนจงอู่โหวจะต้อยไปสักนิด แต่ใครใช้ให้อาโย่วต้องตาต้องใจแม่นางผู้นั้นเล่า คู่หมายทั้งสามคนก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นเขาจะใส่ใจมากขนาดนี้
ถ้าหาก…องค์หญิงใหญ่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นความคิดที่ดี จงรู้ไว้เถอะ เพื่อให้อาโย่วยอมแต่งงาน นางกับฮ่องเต้ต้องวุ่นวายใจไม่น้อย ถึงแม้ว่าอาโย่วจะอ้างว่าตนเองมีชะตาชีวิตที่ไม่ดี ไม่อยากทำร้ายแม่นางพวกนั้น แต่ว่าในฐานะที่เป็นอาแท้ๆ เขาก็หวังว่าข้างกายหลานชายจะมีคนรู้ใจคอยเคียงข้าง
เมื่อสบกับสายตาที่จับจ้องขององค์หญิงใหญ่ สวี่โย่วยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ตอบกลับไปเสียงนิ่ง “ไม่เหมาะพ่ะย่ะค่ะ”
ทันใดนั้นองค์หญิงใหญ่ก็เหมือนกับลูกหนังที่ลมรั่ว แต่ยังมองหลานชายอย่างไม่ตัดใจ หวังว่าเขาจะเปลี่ยนความคิด
แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ “ก็ได้ อาจะช่วยเจ้า พูดมาเถอะ อยากหาคู่ครองเช่นไรให้นาง” ไม่ง่ายเลยกว่าหลานชายจะยอมเอ่ยปากขอร้องนางสักครั้ง จะไม่ช่วยได้หรือ
สวี่โย่วยังคงสีหน้าไร้ความรู้สึก “แล้วแต่เสด็จอาจะเห็นสมควรพ่ะย่ะค่ะ” เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า “หาตระกูลที่เรียบง่ายสักหน่อย เป็นคนใจเย็น” เด็กคนนั้นนิสัยดุร้าย หากแต่งกับคนอารมณ์ร้อนไม่ยอมอ่อนข้อให้นาง คงได้ทะเลาะกันทุกวัน ยิ่งกว่านั้นวรยุทธ์ของนางก็ยอดเยี่ยมมาก อืม หรือว่าหาคนที่มีวรยุทธ์เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกนางทุบตีทุกวัน
องค์หญิงใหญ่แค่ถอนหายใจออกมา อาโย่วห่วงใยนางชัดเจนเพียงนี้ เด็กคนนี้นี่
เสิ่นเวยกำลังยืนอยู่ในห้องรับรอง นิ่งฟังกองกำลังลับรายงานข่าวที่ไปสืบมา ซีกหน้าของนางครึ่งหนึ่งจมอยู่ในความมืด ทำให้คนอื่นเห็นสีหน้าของนางไม่ชัดเจน อั้นชีคุกเข่าลงข้างหนึ่ง กระดูกสันหลังเหยียดตรง เสิ่นเวยโบกมือครั้งหนึ่ง อั้นชีก็หายไปในความมืดอย่างเงียบเชียบราวกับภูตผี
เสิ่นเวยหันมามองโอวหยางไน่ที่อยู่อีกด้าน พึมพำว่า “โอวหยางไน่ เจ้าว่าข้าใจดีเกินไปหรือไม่ ไม่อย่างนั้น สองคนนั้นคงไม่กล้ายื่นมือมายุ่งเรื่องของข้า หึ อี๋เหนียงคนหนึ่ง หึๆ เป็นแค่อี๋เหนียงฐานะต่ำต้อยแท้ๆ แต่ช่างกำเริบเสิบสาน เจ้าว่าน่าขันหรือไม่”
คิดถึงข่าวที่อั้นชีมารายงานเมื่อครู่ เสิ่นเวยก็รู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา นางไม่อยากทำให้มือของตัวเองต้องแปดเปื้อนจริงๆ
ไม่ว่าหนึ่งคนหรือสองคนต่างก็คิดว่านางรังแกได้ง่ายๆ ในเมื่อรนหานที่ตายแล้ว เช่นนั้นก็อย่าโทษว่านางเลือดเย็นก็แล้วกัน
ดวงตาคู่สวยของเสิ่นเวยวาวโรจน์
ใบหน้าดำมืดของโอวหยางไน่แข็งค้างไปชั่วขณะ ถ้าหากคุณหนูเรียกว่าใจดี เช่นนั้นคงไม่มีคนใจร้ายแล้ว นึกถึงวิธีการที่นางใช้ฆ่าคน แม้แต่โอวหยางไน่ก็ต้องยอมสยบ
คนนอก รวมถึงกองกำลังลับของจวนโหวล้วนถูกร่างกายที่บอบบางและรูปโฉมที่งดงามของคุณหนูหลอกตา คุณหนูไม่ใช่สตรีบอบบาง แต่เป็นนางมารร้ายที่แข็งแกร่งที่สุดต่างหาก
รอดูเถอะ กองกำลังลับจะต้องชดใช้ที่กล้าดูถูกคุณหนู โอวหยางไน่กล้าพูดว่าส่วนลึกในใจของเขากำลังรอคอย นานแล้วที่ไม่ได้เห็นคุณหนูสำแดงอำนาจ คิดถึงจริงๆ
เสิ่นเวยมองเทียบเชิญในมือที่เพิ่งส่งมาเมื่อตอนกลางวัน มุมปากเหยียดยิ้มประชดประชัน
งานเลี้ยงที่จวนเสนาบดีฉิน คิดไม่ถึงว่าฉินอิ่งอิ่งที่ถูกนางสั่งสอนไปครั้งหนึ่งแล้วจะกล้าส่งเทียบเชิญมา เจ้าว่าน่าสนใจหรือไม่
ตอนกลางวัน ท่านป้าใหญ่ตั้งใจมาหว่านล้อมนางไม่ให้ไป เพราะเรื่องการแต่งงาน อีกฝ่ายรบเร้าจนเรื่องเลยเถิด ตอนเล่าลือกันไปทั่วทั้งเมือง เสิ่นเวยเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง หลีกเลี่ยงไม่พบหน้ากันเสียดีกว่า
ป้าสะใภ้ใหญ่หวังดีกับนาง กลัวว่าเสิ่นเวยจะหน้าบาง ได้ยินคำเล่าลือเหล่านั้นจะพูดแก้ต่างไม่ได้
แต่เสิ่นเวยกลับไม่คิดเช่นนี้ นางกล่าวฮูหยินสวี่อย่างจริงจังว่า “ไปเจ้าค่ะ เหตุใดจะไม่ไป ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ข้ามีสิ่งใดต้องกลัว ถ้าหากข้าไม่ไปพวกเขาจะหลงคิดไปว่าข้ากลัว”
เสิ่นเวยอยากจะไปจริงๆ นางอยากไปดูว่าคนเหล่านี้จะใช้วิธีการใดมาจัดการกับนาง เหอะ หากไม่ใช่เพราะนางจงใจเปิดโอกาสให้ คนที่วางแผนเล่นงานนางได้สำเร็จจริงๆ ยังไม่มี อีกอย่างนางก็รำคาญวิธีการลอบกัดไม่ยอมเลิกราของพวกนางแล้ว รีบหักขาให้จบๆ ไปในครั้งเดียวดีกว่า ต่อไปพวกนางจะได้ไม่ทำเรื่องน่ารังเกียจอีก
ฮูหยินสวี่ได้ฟังความคิดของเสิ่นเวยก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่มาก จริงด้วย เวยเจี่ยเอ๋อร์ของพวกนางไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย เหตุใดต้องหลบเลี่ยงด้วย ทั้งๆ ที่จวนเสนาบดีฉินเป็นฝ่ายบีบบังคับคนอื่นแท้ๆ ไป เหล่าคุณหนูในจวนก็ไปกันหมด จะได้ทำให้จวนเสนาบดีฉินได้เห็นถึงการอบรมเลี้ยงดูและกิริยามารยาทของคุณหนูในจวนจงอู่โหว อย่าคิดว่ามีเพียงคุณหนูในจวนคุณนางฝ่ายบุ๋นเท่านั้นที่รู้มารยาท คุณหนูในจวนขุนนางฝ่ายบู๊ก็ไม่ได้ด้อยกว่าสักนิด
ฮูหยินจ้าวแห่งเรือนสองเพิ่งจะมีเรื่องทะเลาะกับนายท่านรองจึงไม่มีแก่ใจจะออกไปร่วมงานเลี้ยง ส่วนฮูหยินหลิวก็บอกว่าปวดศีรษะจึงไม่สามารถไปได้ ดังนั้นฮูหยินสวี่ ภรรยาของซื่อจื่อจึงรับหน้าที่พาคุณหนูในจวนทั้งหมดไปร่วมงาน
จวนเสนาบดีฉินประดับตกแต่งอย่างหรูหราโอ่อ่า เหนือประตูใหญ่สีแดงแขวนโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ไว้ ข้างประตูทั้งสองด้านวางประดับด้วยสิงโตหิน แลดูน่าเกรงขาม เมื่อเข้ามาในจวนก็มีพ่อบ้านกับแม่นมคอยรับรอง ผู้ที่ต้อนรับพวกเสิ่นเวยก็คือฉินเจินเจิน บุตรสาวในสมรสคนรองของเรือนสอง และเฉินอิ่งอิ่ง บุตรสาวในสมรสคนโตของเรือนสาม ภายในจวนแห่งนี้พวกนางมีฐานะเป็นอันดับที่ห้าและเจ็ด
ฉินเจินเจินทักทายทุกคนอย่างเป็นกันเองและใจกว้างมากทีเดียว แม้แต่เสิ่นเยว่วัยสิบขวบก็ถูกนางบีบแก้มกล่าวชมอยู่หลายคำ ในขณะที่ฉินอิ่งอิ่งกลับมีท่าทีไม่ยินดี ทั้งยังกลอกตาใส่เสิ่นเวยด้วย ยังดีที่นางยังพอมีมารยาทอยู่บ้างจึงไม่ได้เอ่ยคำพูดถากถางออกมา
แขกยังมีอีกมาก พี่น้องตระกูลฉินจึงไม่อาจให้การต้อนรับแค่พวกเสิ่นเวยเท่านั้น หลังจากทักทายกันแล้วก็มีสาวใช้นำพวกนางไปด้านใน ก็ไม่รู้ว่าเสิ่นเวยคิดมากเกินไปหรือไม่ นางกลับรู้สึกว่าคุณหนูฉินเจินเจินดูจะใส่ใจนางมากเป็นพิเศษ
จางเข่อซินไม่ได้มา ครอบครัวของนางเพิ่งจะกลับมาจากด่านชายแดน ทั้งยังเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ ไม่ได้ไปมาหาสู่กับขุนนางฝ่ายบุ๋น สวีเหลิ่งเหมยก็ไม่ได้มา ได้ยินว่าถูกกักบริเวณให้เรียนรู้กฎระเบียบอยู่แต่ในเรือน เพื่อนสนิทเพียงสองคนของเสิ่นเวยกลับไม่มา ความสนุกของนางลดลงครึ่งหนึ่ง
เสิ่นซวง พี่สาวคนรองถูกต้อนรับอย่างดี เพิ่งจะมาถึงก็ถูกลากออกไปแล้ว เสิ่นอิง เสิ่นเสวี่ย และเสิ่นเซวียนพากันแยกตัวไปหาสหายของตัวเอง เหลือแค่เสิ่นเยว่ที่ยังยืนอยู่ข้างกายเสิ่นเวย
“เหตุใดน้องแปดไม่ไปเล่นกับสหายเล่า” เสิ่นเวยเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
เสิ่นเยว่เผยยิ้มกว้าง พูดอย่างใสซื่อว่า “ข้าอยากอยู่เป็นเพื่อพี่สี่เจ้าค่ะ” หลายวันมานี้นางคอยมองอยู่ตลอด เวลานี้พี่สี่เป็นผู้ที่มั่งคั่งมาก หากสนิทสนมกับพี่สี่ ข้าวของเล็กน้อยที่เล็ดลอดระหว่างนิ้วของนางออกมาก็เพียงพอให้ตนได้ใช้
เสิ่นเวยคลี่ยิ้ม ลูบดวงหน้าเล็กของน้องสาว เอ่ยว่า “ไปเล่นเถอะ ความหวังดีของเจ้า พี่สี่รับรู้แล้ว ดูสิ สหายของเจ้ากำลังรออยู่” เสิ่นเวยมองเห็นเด็กหญิงผู้หนึ่งกำลังกวักมือเรียกเสิ่นเยว่อยู่ที่หน้าซุ้มดอกไม้
เสิ่นเยว่ก็มองเห็นแล้ว นั่นเป็นสหายคนใหม่ที่นางได้รู้จักเมื่อตอนที่ไปจวนองค์หญิงใหญ่ ภายหลังส่งจดหมายหากันสองครั้งก็เริ่มสนิทสนมกัน
ถึงแม้เสิ่นเยว่จะอยากอยู่กระชับความสัมพันธ์กับเสิ่นเวย แต่ในขณะเดียวกันก็อยากไปเล่นกับสหายจึงรู้สึกลำบากใจขึ้นมา ดวงหน้าเล็กเผยความสับสน เหมือนกับซาลาเปาสีขาวลูกใหญ่
เสิ่นเวยคลี่ยิ้มออกมา “ไปเถอะ พี่สี่โตขนาดนี้แล้ว จะหลงทางได้หรือ”
เสิ่นเยว่คลี่ยิ้มเอียงอาย วิ่งหน้าหน้าระรื่นไปหาสหาย เมื่อทั้งสองคนมาเจอกันก็คว้ามืออีกฝ่ายไว้ ไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน ใบหน้าจึงแย้มยิ้มสดใส
อายุน้อยช่างดีจริงๆ เสิ่นเวยก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง พาสาวใช้สองคนเดินออกไปเรื่อยเปื่อย
สาวใช้สองคนที่เสิ่นเวยพามาด้วยวันนี้ คนหนึ่งคือเถาฮวา อีกคนคือเยว่กุ้ย หลีฮวากับเถาจือขอให้เสิ่นเวยพาพวกนางมา พวกนางไม่วางใจอย่างมากที่คุณหนูไปเป็นแขกที่จวนเสนาบดีฉิน และเถาฮวากับเยว่กุ้ยต่างก็มีวรยุทธ์ติดตัว หากมีเรื่องจริงๆ ก็พอจะช่วยเหลือคุณหนูได้
ปีนี้เยว่กุ้ยอายุสิบสามปีแล้ว เป็นบ่าวที่เสิ่นเวยซื้อตัวมาระหว่างที่เดินทางกลับเมืองหลวง เดิมทีนางอยู่ในคณะกายกรรม แต่เพราะหน้าตาสะสวยจึงถูกอันธพาลหมายตา คิดจะฉุดกลับไปเป็นสาวใช้ โชคดีที่เสิ่นเวยบังเอิญผ่านมา หัวหน้าคณะก็เป็นคนจิตใจดี ทนเห็นเยว่กุ้ยต้องตกนรกไม่ได้ เขาเห็นเสิ่นเวยพาบ่าวไพร่มามากมายจึงมาขอร้องนางให้รับเยว่กุ้ยไว้ หญิงสาวยังไม่ทันได้เอ่ยคำใด พวกสาวใช้ข้างกายก็อดทนไม่ไหวแล้ว นางจึงต้องซื้อตัวเยว่กุ้ยไว้
คนที่ฝึกฝนกายกรรมย่อมต้องมีวรยุทธ์ติดตัวอยู่บ้าง วรยุทธ์ของเยว่กุ้ยนับว่าไม่เลว หากปล่อยทิ้งไว้ก็น่าเสียดายจึงหาคนคอยชี้แนะให้นางสามสี่กระบวนท่า แต่เด็กคนนี้ก็ขยันขันแข็งทีเดียว นางฝึกซ้อมทุกวัน จนก้าวหน้าไปมาก
จวนเสนาบดีฉินมีระเบียงยาว มีเถาวัลย์เลื้อยคลุมเต็มไปหมด ด้านบนก็มีดอกไม้ที่กำลังผลิบาน เมื่อมองไปก็เห็นในเกลียวคลื่นสีเขียวแต่งแต้มด้วยดอกไม้หลากหลายสีสัน ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งมากทีเดียว
เสิ่นเวยเดินไปตามระเบียงยาวอย่างเบิกบาน เงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนตลอดเวลา แสงอาทิตย์ส่องผ่านช่องว่างลงมา เกิดเป็นจุดเงาบนร่างของเสิ่นเวย ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายมาก
ถ้าหากไม่มีใครมารบกวนคงจะดี “คุณหนูสี่เจ้าคะ คุณหนูรองตระกูลเสิ่นไม่ระวังทำให้เท้าพลิกเจ้าค่ะ” สาวใช้ผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีรีบร้อน
“อยู่ที่ใด พี่รองของข้าเป็นอย่างไรบ้าง ร้ายแรงมากหรือไม่ ข้างกายมีผู้ใดคอยดูแล” เสิ่นเวยเอ่ยถามด้วยสีหน้าร้อนใจ
สาวใช้ผู้นั้นชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง พร้อมเอ่ยว่า “อยู่ทางด้านโน้นเจ้าค่ะ บ่าวก็ไม่ทราบว่าอาการบาดเจ็บของคุณหนูรองเป็นอย่างไรบ้าง เพียงแต่ดูเหมือนนางจะเจ็บมากเจ้าค่ะ พี่สาวอาภรณ์สีชมพูที่ดูแลอยู่ข้างกายคุณหนูรองวานให้บ่าวมาตามท่านให้ไปช่วยเจ้าค่ะ”
วันนี้สาวใช้ข้างกายเสิ่นซวงสวมชุดสีชมพูพอดี เสิ่นเวยแววตาวูบไหว สั่งความอย่างร้อนใจว่า “รออะไรอีก ยังไม่รีบนำทางไป”
เสิ่นเวยรีบตามสาวใช้ระดับล่างผู้นั้นไปที่จุดที่เกิดเรื่อง เดินไปพลางก็นึกบ่นในใจไปพลาง ‘ตายจริง สาวใช้ธรรมดาในจวนเสนาบดีฉินกลับรู้จักนาง ทั้งยังสามารถตามหาตัวนางได้ในทันที รอยรั่วขนาดใหญ่เช่นนี้กลับมองไม่เห็น ใครช่างไม่มีสมองปานนี้’