บทที่ 52 พระสนม (2)
โดย
Ink Stone_Romance
นายท่านฉินยิ้มพลางเอ่ยว่า “นางเป็นรองผู้ดูแลของหอจุ้ยเซียน อย่าได้มองว่านางเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็กๆ เชียวนา นางทำได้ดีเชียว! แม่นางอวี๋นี่คือขันทีอู๋ที่ข้าเพิ่งบอกเจ้าเมื่อครู่”
อวี๋หวั่นก้าวไปข้างหน้าและคารวะขันทีอู๋
ขันทีอู๋เพียงมองเธอด้วยรอยยิ้มจางๆ โดยไม่แสดงท่าทางใดๆ จากนั้นก็กล่าวกับนายท่านฉิน “ไปพบพระสนมก่อนเถิด”
นายท่านฉินรู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก ที่จะได้เห็นสนมของฮ่องเต้!
เดิมคิดว่าเข้าวังมาเพื่อทำอาหาร ก็ควรจะถูกพาไปที่ห้องครัวทันที…
คนกลุ่มหนึ่งเดินตามขันทีอู๋ไปยังตำหนักเสียนฝู
ตำหนักเสียนฝูกว้างใหญ่ยิ่ง หลังจากเดินผ่านไปสองสามประตู และเดินเลี้ยวไปสักสองสามครั้งก็มาถึงห้องโถงของพระสนมเสียนเฟย
ขันทีอู๋หยุดอยู่ด้านนอกห้องโถงและกล่าวด้วยความเคารพ “ทูลพระสนม คนจากหอจุ้ยเซียนมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เข้ามา”
น้ำเสียงที่ผ่อนคลายทว่าเคร่งขรึม
ขันทีอู๋นำอวี๋หวั่นและคนอื่นๆ เข้าไปยังห้องโถง
บนแท่นประธานในห้องโถงใหญ่ อวี๋หวั่นมองเห็นสวี่เสียนเฟยที่เล่าลือกัน
นางสวมชุดชาววังสีม่วง บนศีรษะเสียบปิ่นปักผมรูปหงส์แปดหาง รูปร่างหน้าตางดงามอ่อนช้อย มือเรียวเล็กบอบบางและข้อต่อนิ้วที่ได้สัดส่วน นั่งอยู่ในพระราชวัง แผ่กลิ่นอายแข็งแกร่งไม่อาจบรรยาย
สมกับที่เป็นสตรีผู้ครองวังหลังมาถึงยี่สิบปี กลิ่นอายเช่นนี้มิใช่สิ่งที่สตรีธรรมดาจะมีได้
“ก้มลงคำนับพระสนม” ขันทีอู๋เอ่ยเตือน
นายท่านฉินทรุดตัวคุกเข่าแนบศีรษะลงกับพื้น “ฉินจั่วถวายบังคมพระสนม ขอพระองค์ทรงมีอายุยืนหมื่นปีหมื่น หมื่นปี”
……
อวี๋หวั่นและพ่อครัวอีกสองที่อยู่ด้านหลังก็ถวายบังคมตามนายท่านฉิน
ทั้งสามนับว่าเชื่อถือได้ ไม่ทำให้นายท่านฉินต้องอับอาย
“มีสตรีด้วยหรือ?” น้ำเสียงของสวี่เสียนเฟยดูแปลกใจเล็กน้อย “เงยหน้าขึ้น ให้ข้าดูหน่อย”
อวี๋หวั่นเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ
ในเมื่อนางเข้าวังมาในฐานะแม่ครัว อวี๋หวั่นจึงแต่งตัวเหมือนแม่ครัว กระโปรงยาวรัดเอวสีขาวล้วน เครื่องนุ่งห่มผ้าฝ้ายวสันตฤดูสีเหลืองนวล ไร้เครื่องประทินโฉมตกแต่งใบหน้า ทรงผมเกล้ามวยเดี่ยว การแต่งกายเช่นนี้ไม่เป็นที่สะดุดตาในฝูงชน ทว่าสวี่เสียนเฟยไม่เพียงมอง กลับมองสำรวจอยู่เนิ่นนาน
หากกล่าวถึงสตรีที่องคาพยพทั้งห้างดงามละเอียดอ่อนกว่าอวี๋หวั่นนั้นมีมากนัก ทว่ามองแล้วสบายตาเช่นนี้มีเพียงแค่นาง
อุปนิสัยสงบนิ่งเยือกเย็น เพียงแค่มองนางเช่นนี้ หัวใจที่ร้อนรนก็ดูเหมือนจะสงบลงได้อย่างช้าๆ
ความสงบสุข
ประโยคนี้ปรากฏขึ้นในใจของสวี่เสียนเฟยโดยไม่อาจหาเหตุผล
“พระสนม” มามาผู้ดูแลเรียกนางเบาๆ
นายท่านฉินไม่กล้าเงยหน้ามองไปรอบๆ โดยพลการ ทว่าก็รู้สึกว่าสวี่เสียนเฟยเฝ้ามองรองผู้ดูแลนานเกินปกติ
สวี่เสียนเฟยหยิบชาร้อนที่มามาผู้ดูแลส่งมาให้ พลางจิบเบาๆ “ข้ารู้สึกถูกชะตากับแม่นางผู้นี้ ให้นางอยู่พูดคุยกับข้า พวกเจ้าก็ไปเตรียมอาหารเถิด”
นายท่านฉินขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ มิใช่เรียกนางมาเพื่อให้ทำเต้าหู้เหม็นหรอกหรือ? ให้อยู่พูดคุยหมายความว่าอย่างไรกันแน่? หากพวกเขาทำรสชาติอาหารออกมาไม่ดีพอในภายหลัง จะนับเป็นความผิดพลาดของผู้ใดเล่า?
นายท่านฉินรู้สึกอยู่เสมอว่ามีบางอย่างที่เขามองข้ามไป ทว่ายังไม่ทันจะเข้าใจ ก็ถูกขันทีอู๋นำไปยังห้องครัวเล็กๆ ของตำหนักเสียนฝู
สวี่เสียนเฟยมิได้เรียกอวี๋หวั่นให้ยืนขึ้น
อวี๋หวั่นจึงต้องคุกเข่าอยู่บนพื้นเย็นราวกับน้ำแข็งนานถึงครึ่งชั่วยาม
นักสืบที่คอยสังเกตอยู่นอกห้องโถงเห็นท่าไม่ดี จึงหันตัวเพื่อกลับไปรายงานต่อเยี่ยนไหวจิ่ง ทว่าชายในชุดดำของสวี่เสียนเฟยมาขัดขวางไว้…
……………
ห้องครัวขนาดเล็ก
นายท่านฉินวางโถใส่หน่อไม้ดองลงบนเตา ทันใดนั้นก็กลับนึกขึ้นได้ “โอ้! ข้าจำได้แล้ว! องค์ชายรองเคยช่วยแม่นางอวี๋ไว้!”
นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงการแข่งขันทำอาหารระดับเทพ อวี๋หวั่นถูกคู่แข่งขันทำร้ายและขังไว้ในอุโมงค์น้ำแข็ง องค์ชายรองปกปิดตัวตนของอวี๋หวั่นเพื่อรักษาชื่อของนาง คนอื่นๆ ไม่ทราบเรื่องนี้ ทว่าเขาและคนสกุลอวี๋จะไม่รู้เรื่องเช่นกันหรือ?
ขณะนั้นก็เคยสงสัย ทว่าหลังเกิดเรื่อง องค์ชายรองก็ไม่ได้มาติดตาม พวกเขาจึงค่อยๆ มองว่าเหตุการณ์นี้เป็นความเมตตาขององค์ชายรอง
ทว่าหาก…ไม่ใช่เพียงความเมตตาเล่า?
เป็นไปได้หรือไม่ ที่สวี่เสียนเฟยอาจเข้าใจผิดบางอย่าง จึงเรียกตัวอวี๋หวั่นมา?
นายท่านฉินใคร่จะแทงตัวเองให้ตาย “ข้า…ข้าลืมเรื่องที่สำคัญเช่นนี้ไปได้อย่างไร! ข้ามันสมองหมู! ข้า ข้า ข้า…ข้าช่างไร้ซึ่งมโนธรรม!”
นายท่านฉินยกโถลงจากเตาและเดินออกไปจากห้อง หลังจากก้าวข้ามธรณีประตูไปเพียงก้าวเดียว ขันทีอู๋ก็เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า “เถ้าแก่ฉิน ท่านจะไปที่ใด? อาหารของพระสนมพร้อมแล้วหรือ?”
นายท่านฉินยิ้มและกล่าวว่า “จู่ๆ ข้าก็นึกได้ว่ามีวัตถุดิบบางชิ้นตกอยู่บนรถม้า ข้ากำลังจะไปนำมา”
ขันทีอู๋ยิ้มและเอ่ยว่า “ที่นี่คือวังหลวง ขาดวัตถุดิบอันใด? หากไม่มีจริงๆ จะให้คนไปนำมาให้”
นายท่านฉินรู้สึกสิ้นหวัง ที่ไม่อาจส่งข่าวได้…
………………
ตำหนักองค์ชายรอง
หลังจากเยี่ยนไหวจิ่งอ่านเอกสารราชการในมือและข้อมูลของนักสืบที่ถูกส่งมาจากก้งเฉิงเสร็จสิ้น เยี่ยนไหวจิ่งจึงเตรียมตัวเข้าวังเพื่อไปถวายบังคมสวี่เสียนเฟย ทันทีที่เขาออกจากตำหนัก ก็เห็นขันทีน้อยรออยู่ที่ประตูด้วยท่าทีอ่อนน้อม
นี่คือคนในวังของสวี่เสียนเฟย
“มารออยู่ที่นี่ มีเรื่องอันใด?” เยี่ยนไหวจิ่งขมวดคิ้วถาม
ขันทีน้อยกล่าวว่า “พระองค์กำลังจะเสด็จไปถวายบังคมพระสนมหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เยี่ยนไหวจิ่งเอ่ยตอบเบาๆ
ขันทีน้อยกล่าวว่า “พระสนมตรัสว่า ก่อนที่องค์ชายจะพิจารณาได้ว่าจะอภิเษกกับสตรีสกุลใด ไม่จำเป็นต้องไปถวายบังคมนางพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนไหวจิ่งคิ้วขมวดมุ่น “พระสนมเอ่ยเช่นนั้นจริงหรือ?”
ขันทีน้อยโค้งกายเอ่ยตอบ “พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย หากองค์ชายตัดสินพระทัยได้แล้ว ข้าน้อยจะพาพระองค์ไปถวายบังคมพระสนมทันที”
เยี่ยนไหวจิ่งกำหมัดแน่น “ไม่จำเป็น เจ้าไปบอกพระสนมของเจ้า ว่าวันหน้า…วันหน้าข้าค่อยไปเยี่ยมนาง”
ขันทีน้อยน้อมกายส่ง “น้อมส่งเสด็จองค์ชาย”
…
ณ วังหลวง ตำหนักเสียนฝู อวี๋หวั่นนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นเย็นเยือก เป็นเวลาครึ่งชั่วยาม หัวเข่าของเธอบวมและแสบร้อนระบม ทว่าใบหน้าของเธอก็มิได้แสดงความเจ็บปวดใดๆ หลังยังคงยืดตรง เงาร่างเย็นเยือกและแข็งกร้าว
สวี่เสียนเฟยปอกเปลือกส้มด้วยท่าทีไม่แยแสใดๆ และในที่สุดนางก็เอ่ยลอยๆ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงปล่อยให้เจ้าคุกเข่าอยู่ที่นี่?”
การใช้เล่ห์เหลี่ยม จะใช้กับผู้ที่จำเป็นต้องใช้ อย่างเช่นเหยียนหรูอวี้ นั่นไม่อาจสุภาพมากเกินไป ทว่าหญิงสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งในหมู่บ้าน คงไม่อยู่ในสายตาของสวี่เสียนเฟย
“เพราะองค์ชายรอง” สีหน้าของอวี๋หวั่นสงบราบเรียบ
สวี่เสียนเฟยคลี่ยิ้มอย่างแผ่วเบา “เจ้าก็ฉลาดดีนะ ดูเหมือนว่าเจ้าจะยอมรับว่า เจ้ายั่วยวนองค์ชาย บุตรของข้าเสียแล้ว”
อวี๋หวั่นเอ่ยด้วยท่าทีที่ไม่หยิ่งยโสหรือถ่อมตน “หากข้าบอกว่าข้าไม่ได้ยั่วยวน พระสนมจะเชื่อหรือไม่เพคะ?”
สวี่เสียนเฟยก้มลงมองนาง “สตรีเช่นเจ้า ข้าเห็นมามากมายนัก ปากช่างดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ทว่าท้องกลับมีน้ำเน่ามากกว่าผู้ใด องค์ชายรองมีศักดิ์เป็นเชื้อพระวงศ์ ไม่เคยสัมผัสกับสตรีชาวบ้านทั่วไปเช่นพวกเจ้า แรกเจอเย้ายวนหอมหวาน ยากที่จะไม่หลงใหลมัวเมา”
อวี๋หวั่นเอ่ยช้าๆ “ชาวบ้านทั่วไป? ขออภัยที่ข้าเอ่ยตรงๆ ชาติกำเนิดของข้า ดูจะสูงกว่าพระสนมอยู่เล็กน้อย”
ในสี่ชนชั้นของจีน ต้าโจวเน้นเกษตรมากกว่าการค้า แม้เกษตรกรจะยากจน ทว่าในแง่ของชาติกำเนิดก็อยู่สูงกว่าบรรดาพ่อค้า
“บังอาจนัก!” สวี่เสียนเฟยไม่ชอบเมื่อมีผู้ใดเอ่ยถึงชาติกำเนิดของนาง แม้ว่าในยามนี้สกุลสวี่จะมีหน้ามีตาเพียงใด ทว่าพวกเขาก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าพวกเขาเคยเป็นพ่อค้า ต่อหน้าผู้คนเหล่านั้นประจบสกุลสวี่ ทว่าลับหลังกลับเย้ยหยันเช่นไรไม่อาจรู้
หม่าฮองเฮาสิ้นความโปรดปรานไปนานแล้ว นางห่างจากตำแหน่งฮองเฮาอีกเพียงก้าวเดียว และก้าวเดียวนั้น ก็คือชาติกำเนิดของนาง!
สวี่เสียนเฟยวางส้มที่ปอกไว้ครึ่งลูกลง และมองอวี๋หวั่นที่ไร้ซึ่งความเกรงกลัวและกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ด้วยสายตาเย็นชา “แม้แต่องค์หญิงก็ยังไม่อาจหาญทำตัวกำเริบเสิบสานเช่นนี้ต่อหน้าข้า ข้าคิดว่าเจ้าคงเบื่อชีวิตแล้วกระมัง! เจ้าคิดว่าบุตรชายของข้ารักเจ้า แล้วข้าจะไม่กล้าทำอันใดกับเจ้าเช่นนั้นรึ?”
อวี๋หวั่นส่ายศีรษะ “ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้น ทุกอย่างล้วนเป็นการคาดเดาของท่านเอง”
สวี่เสียนเฟยแสยะยิ้มเย็นชา “การคาดเดาของข้าอย่างนั้นหรือ? ได้ เช่นนั้นเจ้าก็บอกข้ามา ว่ายืมความกล้ามาจากผู้ใด เจ้าจึงบังอาจไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา?”
อวี๋หวั่นเอ่ยอย่างใจเย็น “อยากลงโทษผู้ใด ย่อมหาข้ออ้างได้เสมอ วันนี้ข้าหมอบอยู่ใต้เท้าของท่านด้วยความเคารพนบนอบ ท่านคงไม่อาจระบายอารมณ์กับข้ากระมัง?”
สวี่เสียนเฟยเอ่ยกระทบกระเทียบ “ระบายอารมณ์? เจ้าหมายความว่า เจ้าไม่ได้ทำอันใดผิด ทั้งหมดคือข้ากลั่นแกล้งเจ้ารึ?”
อวี๋หวั่นเงยหน้าขึ้นและเผชิญหน้ากับสายตาของสวี่เสียนเฟย “ข้าไม่รู้ว่าพระสนมได้ยินเรื่องระหว่างข้ากับองค์ชายรองมาจากที่ใดและมากเพียงใด แม้ว่าจะเป็นการสอบปากคำผู้ต้องสงสัย ทว่าไม่เท่าไรก็รีบตัดสินว่าบุคคลนั้นดีหรือเลว พระสนมไม่ได้ฟังความจากข้า กลับเข้าใจสุ่มสี่สุ่มห้าว่าข้าหลอกล่อองค์ชายรอง ขออภัยที่ข้าต้องเอ่ยตามตรง ข้ามิได้รับความเป็นธรรม”
สวี่เสียนเฟยชะงัก “พูดได้ดี!”
“พระสนม” มามาผู้ดูแลส่ายศีรษะให้สวี่เสียนเฟย
สวี่เสียนเฟยกระซิบ “ข้ารู้ดี”
มามาผู้ดูแลบอกเป็นเชิงว่า สวี่เสียนเฟยไม่ควรฆ่าอวี๋หวั่น ในเมื่ออวี๋หวั่นเป็นสตรีที่องค์ชายรองชอบพอ การฆ่านางเป็นเรื่องเล็ก ทว่าแม่ลูกขัดแย้งเป็นเรื่องใหญ่ มีวิธีจัดการกับนางที่ดีกว่านี้!
สวี่เสียนเฟยอยู่ในตำแหน่งเช่นทุกวันนี้ได้อย่างไร? เหตุใดจึงไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนเองได้แม้แต่น้อย? ทำได้เพียงขู่ขวัญอวี๋หวั่นให้หวาดกลัว ทว่าวิธีนี้กลับใช้ไม่ได้ผล ต่อให้เปลี่ยนวิธีก็เท่านั้น
สวี่เสียนเฟยมีสีหน้าโกรธเกรี้ยว และค่อยๆ ยกมุมปากขึ้น “ข้าได้ยินเกี่ยวกับคดีพ่อของเจ้า”
ดวงตาของอวี๋หวั่นสั่นไหวเล็กน้อย
สวี่เสียนเฟยจ้องมองสีหน้าของเธอและยิ้มอย่างเย้ยหยัน “แท้จริงแล้วไม่สำคัญว่าใครแย่งความดีความชอบใคร ทว่าสำคัญที่ฮ่องเต้ต้องการปกป้องผู้ใดมากกว่า เจ้าคิดว่าเมื่อตัดสินโทษแล้ว พ่อของเจ้ายังมีทางรอดหรือ?”
“เหตุใดพระสนมจึงคิดว่า คนที่ฮ่องเต้ต้องการปกป้องไม่ใช่พ่อของข้าเล่า” อวี๋หวั่นถามกลับ
มามาผู้ดูแลส่ายหัว ดรุณีผู้นี้ช่างห้าวหาญนัก ผู้ใดกันแน่ที่ถูกซักถาม?
สวี่เสียนเฟยยิ้มหยัน “อย่าบอกนะ ว่าเจ้ายังไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสกุลเหยียนกับจวนคุณชายเป็นเช่นไร?”
อวี๋หวั่นจ้องนางไม่กะพริบตา “พระสนมหมายความว่า ฮ่องเต้ทรงคุ้มครองสกุลเหยียนเพียงเพราะเห็นแก่หน้าจวนคุณชายหรือ?”
“หรือจะเห็นแก่หน้าเจ้าเล่า?” สวี่เสียนเฟยยิ้มเยาะ
อวี๋หวั่นลดสายตาลงและเอ่ยด้วยเสียงกระซิบ “ในสายตาของฮ่องเต้ คุณชายเยี่ยน…มีความสำคัญปานนี้เชียวหรือ?”
สวี่เสียนเฟยเลิกคิ้วและกล่าวว่า “สำคัญดังขุนเขาไท่ซาน เหนือกว่าความเป็นพ่อแม่ลูก”
มุมปากของอวี๋หวั่นกระตุก “หากเป็นเช่นนี้ ข้าแนะนำพระสนมว่าอย่าทรงทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
ประโยคหลังไม่ได้เชื่อมต่อกับประโยคก่อนหน้า สวี่เสียนเฟยไม่เข้าใจว่าอวี๋หวั่นกำลังเอ่ยถึงสิ่งใด สวี่เสียนเฟยมองไปที่อวี๋หวั่นอย่างแปลกใจ “หากเจ้าไปจากองค์ชายรอง ข้าจะรับปากเจ้า ไม่ว่าตอนนั้นฮ่องเต้จะตัดสินโทษเช่นไร ข้าจะรักษาชีวิตพ่อของเจ้าแทนเจ้า”
อวี๋หวั่นยิ้มจางๆ “พระสนมไม่จำเป็นต้องคุกคามข้า ข้าไม่ได้ตั้งใจจะแต่งเข้าจวนองค์ชาย องค์ชายรองมิได้บอกพระสนมหรอกหรือ? เขาขอแต่งงานกับข้าในฐานะสนมเช่อเฟย ทว่าข้าปฏิเสธไปแล้ว”
“เจ้า!” สวี่เสียนเฟยยืนขึ้นด้วยความโกรธ!
อวี๋หวั่นเอ่ยอย่างใจเย็น “หรือนี่ไม่ใช่สิ่งที่พระสนมต้องการ? พระสนมโกรธเคืองด้วยเรื่องอันใดอีก? หรือข้าต้องทำท่าทีเหมือนถูกบีบบังคับให้ต้องไปจากบุตรชายท่านด้วยความโศกเศร้าเสียใจ ไม่อนุญาตให้ข้าดูถูกบุตรชายท่านหรือ? ในสายตาของท่าน บุตรชายอาจเป็นที่หมายปอง ทว่าในสายตาของข้า เขาไม่ได้เป็นสิ่งใดเลย”
“เจ้า!” สวี่เสียนเฟยวิ่งลงบันได เงื้อมือหมายจะตบหน้าเธอด้วยความโกรธแค้น!
……………………………………………………..