บทที่ 44 พี่จิ่วยั่วโมโห
โดย
Ink Stone_Romance
อวี๋หวั่นส่งเด็กน้อยทั้งสามกลับไปยังจวน ลูกแมวที่ป่วยตัวนั้นก็ถูกพากลับไปเช่นกัน
บรรดาแม่นมต่างหวาดกลัว คุณชายน้อยมักซุกซนอยู่เสมอ จะเหวี่ยงข้ารับใช้ทิ้งเมื่อใดก็ได้ ทำให้ผู้คนต้องออกตามหาทุกแห่งหน ทว่าในท้ายที่สุดก็สามารถตามหาพบอย่างปลอดภัยทุกครั้ง จึงไม่มีผู้ใดสงสัยว่าคุณชายน้อยได้ออกไปจากจวนแล้ว และเมื่อฟังสิ่งที่แม่นางอวี๋กล่าว ดูเหมือนจะไม่ใช่ครั้งแรกเสียแล้ว
โชคดีที่ไม่เกิดเรื่องขึ้น ทว่าหากเกิดอันใดขึ้นเล่า…
เหล่าแม่นมนึกกลัวจนขาอ่อนแรง!
ในที่สุดรูของสุนัขก็ถูกปิด อวี๋หวั่นทำข้อตกลงกับเด็กจ้ำม่ำทั้งสามว่าต่อแต่นี้พวกเขาต้องไม่ออกจากจวนโดยไม่ได้รับอนุญาต หากต้องการไปที่ใด เธอก็จะเป็นคนพาไป
หลังจากได้รับจูบฟอดใหญ่ถึงสามครั้ง เหล่าเด็กน้อยก็ยอมตอบตกลงอย่างเขินอายมาก
วันนี้เยี่ยนจิ่วเฉาไม่อยู่ที่จวนเนื่องจากไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในท้องพระโรง
ในฐานะผู้ที่มิได้ทำแม้หน้าที่เพียงเล็กน้อยในท้องพระโรง จะผลีผลามไปปรากฏตัวที่จินหลวนเตี้ยน[1] ช่างเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดยิ่ง
ท้องพระโรงที่เสียงดังอึกทึก ยามเยี่ยนจิ่วเฉาก้าวข้ามธรณีประตูมา ทุกๆ เสียงก็เงียบกริบ! ทุกคนมองไปที่เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นตาเดียว เยี่ยนจิ่วเฉาก็มิได้สนใจสายตาของเหล่าข้าราชบริพาร ก้าวขึ้นไปยังแถวหน้าสุดท่ามกลางความโดดเด่น มองไปยังรองเสนาบดีกรมพิธีการที่กำลังถือฮู่ป่าน[2]และเอ่ยว่า “หลีกไป”
“เอ่อ… ” รองเสนาบดีกรมพิธีการที่กราบทูลได้เพียงครึ่งหนึ่ง หลีกทางไปด้านข้างอย่างล่องลอย
ยามหลีกทางเสร็จ รองเสนาบดีกรมพิธีการได้สติกลับคืน เหตุใดเขาต้องหลีกทางเล่า?!
องค์ชายสี่กระซิบกับองค์ชายห้าที่อยู่ด้านข้าง “ชายผู้นี้มิได้ถูกเสด็จพ่อลงโทษกักบริเวณสำนึกผิดหรอกรึ? เหตุใดจึงกล้าย่างกรายออกมา?”
สนมอวี้ผินมารดาผู้ให้กำเนิดองค์ชายห้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับสนมเจินเฟย ดังนั้นองค์ชายทั้งสองจึงสนิทสนมกัน ทว่าองค์ชายห้ามิได้เป็นที่โปรดปรานและไม่มีความห้าวหาญดั่งเช่นองค์ชายสี่ เขากระซิบเสียงต่ำว่า “โปรดระวังคำพูด ประเดี๋ยวเสด็จพ่อจะได้ยิน”
“ฮึ!” องค์ชายสี่กลอกตา
เหล่าองค์ชายมุ่นปากไปทางเยี่ยนไหวจิ่ง เป็นสัญญาณให้เขามองไปที่เยี่ยนจิ่วเฉา เยี่ยนไหวจิ่งพลันขมวดคิ้วอย่างไม่เอ่ยวาจา
คนเดียวที่มิได้สนใจว่าเหตุใดเยี่ยนจิ่วเฉาจึงมาที่จินหลวนเตี้ยนก็คงมีเพียงองค์ชายใหญ่ ฮองเฮาหมดสิ้นอำนาจ สวี่เสียนเฟยลอบกัดเขาทุกหนแห่ง ชีวิตของเขามิได้มีความสุข และเริ่มไม่อาจทำอันใดกับสิ่งที่เป็นอยู่ได้
“มิต้องสนใจข้า พวกเจ้าต่อได้เลย” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยอย่างใจเย็น
ทุกคน ‘ไม่สนใจเจ้า แล้วไฉนเจ้าต้องไปยืนอยู่ที่นั่น? จะครองตำแหน่งแต่ไม่ทำประโยชน์หรือ?’
ฮ่องเต้ปวดหัว!
“อะแฮ่ม!” ในฐานะรองเสนาบดีกรมพิธีการผู้ใกล้ชิดของฮ่องเต้ หลังจากพิจารณาคำพูดและท่าทางของตนเองอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว ก็เอ่ยต่อจากเมื่อครู่อย่างเฉียบขาด
เป็นเรื่องเกี่ยวกับการแต่งงานระหว่างซยงหนูกับต้าโจว ตั้งแต่สมัยโบราณ การแต่งงานเป็นวิธีที่นิยมใช้ในการทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศสงบลงมากที่สุด ทว่าตั้งแต่เริ่มต้นราชวงศ์โจวใหญ่นี่นับเป็นครั้งแรก ผู้ที่ถูกส่งมาแต่งงานในครานี้คือองค์หญิงหมิงจู รองเสนาบดีกรมพิธีการแนะนำบุคคลสามคนโดยมิได้คำนึงถึงอายุหรือวรรณะแก่ฮ่องเต้ ทั้งหมดล้วนเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม อันได้แก่ บุตรชายคนโตของจวนเหลียงอ๋อง บุตรชายคนโตของจวนจิ้งอ๋อง และคุณชายรองจากภรรยาเอกของจวนหลี่อ๋อง
อ๋องทั้งสามเป็นพี่น้องต่างมารดาของฮ่องเต้ ยามเป็นองค์ชายก็มิได้อยู่ในอำนาจ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงมิได้มีส่วนร่วมในการสืบทอด และยังสามารถหลีกเลี่ยงโชคร้ายที่อาจถูกฮ่องเต้สังหารได้
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ย “พวกเขาทั้งหมดเป็นบุตรของท่านอ๋อง ข้าก็เช่นกัน เหตุใดเจ้าไม่เอ่ยถึงคุณชายผู้นี้เล่า”
รองเสนาบดีกรมพิธีการซวนเซแทบล้ม!
“รองเสนาบดีกรมพิธีการ–” เยี่ยนจิ่วเฉาลากเสียงราวกับจะบังคับให้เขาเอ่ยสักเหตุผล
เหงื่อเย็นผุดที่หน้าผากของรองเสนาบดีกรมพิธีการ พลันเอ่ยในใจ หากพิจารณาอย่างจริงจัง เจ้าคือผู้ที่เหมาะสมที่สุด ทว่าผู้ใดจะกล้าผลักเจ้าเข้าไปในขุมนรกแห่งซยงหนูเล่า? มิใช่ว่ามองสีหน้าของฝ่าบาทไม่ออกหรือ? หมวกผ้าแพรบางบนหัวข้า เว้นแต่จะไม่ต้องการมันอีกแล้ว!
เยี่ยนจิ่วเฉาถามเองตอบเอง “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าคงไม่คู่ควรพอ ข้าได้ยินมาว่าองค์หญิงแห่งซยงหนูเป็นหลานสาวตัวน้อยสุดที่รักของซยงหนู องค์หญิงผู้เป็นบุตรีก็ยังเทียบนางมิได้ หากยกนางให้กับบุตรชายของท่านอ๋องผู้ใด นับว่าไม่ยุติธรรมกับนางเป็นอย่างยิ่ง”
รองเสนาบดีกรมพิธีการ ‘ยากนักที่เจ้าลูกผู้ดีคนนี้จะถ่อมตัว ทว่าไฉนจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ…’
แน่นอนว่าเขาได้ยินที่เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ย “อย่างไรก็ต้องคู่กับองค์ชายกระมัง…”
วังหลังโกลาหล
“อันใดนะ? องค์หญิงแห่งซยงหนูจะเลือกคู่ครองจากหนึ่งในบรรดาองค์ชาย?” สวี่เสียนเฟยตกใจกับคำพูดของขันทีน้อย
ขันทีน้อยพยักหน้าและเอ่ยตอบ “พ่ะย่ะค่ะ พระสนม!”
สวี่เสียนเฟยคิ้วขมวดมุ่น
การแต่งงานกับองค์หญิงแห่งซยงหนู ฟังดูเหมือนของดีที่หล่นมาจากฟ้า ทว่าเมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว อาจไม่ใช่โชคดีขององค์ชาย องค์หญิงหมิงจูมีสถานะสูงส่งล้ำค่า ดังนั้นย่อมแต่งกับคนเล็กๆ มิได้ เช่นนั้นก็คงเป็นพระชายาเอก เด็กที่เกิดจากพระชายาเอกล้วนเป็นตี๋จื่อ หากตี๋จื่อนั้นเกิดในจวนอ๋องก็แล้วไป ทว่าหากเกิดในจวนรัชทายาท เขาก็จะมีคุณสมบัติพอที่จะต่อสู้เพื่อครอบครอง
ไม่มีฮ่องเต้องค์ใดเต็มใจมอบแผ่นดินให้กับทายาทที่มีสายเลือดไม่บริสุทธิ์ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือผู้ใดก็ตามที่แต่งงานกับองค์หญิงแห่งซยงหนู ย่อมเป็นผู้ที่ไม่มีโอกาสได้เป็นรัชทายาท
สวี่เสียนเฟยกลัดกลุ้ม “ผู้ใดเป็นผู้เสนอความคิด?”
ขันทีน้อยเอ่ย “คุณชายเยี่ยนพ่ะย่ะค่ะ”
สวี่เสียนเฟยหายใจเข้าลึกพลางเอามือทาบอกด้วยความตกตะลึง “ฝ่าบาทเห็นชอบรึ?”
ขันทีน้อยไม่เอ่ยสิ่งใด
สวี่เสียนเฟยหัวเราะเยาะตัวเอง “นั่นสิ ฝ่าบาทมิใช่ว่าต้องการจะเห็นด้วยอยู่แล้วหรือ? เขาจะพลาดโอกาสกำจัดเสี้ยนหนามแทนเยี่ยนจิ่วเฉาไปได้อย่างไร?
“พระสนม” มามาผู้รับผิดชอบเดินเข้ามา ปรามสวี่เสียนเฟยที่โกรธเกรี้ยว พลางเอ่ยกับขันทีน้อยว่า “เจ้าถอยออกไปก่อน”
“ขอรับ” ขันทีน้อยถอยออกไป
สวี่เสียนเฟยกวาดเครื่องลายครามที่วางอยู่บนโต๊ะลงพื้น!
มามาผู้รับผิดชอบเอ่ย “อาจจะไม่ใช่องค์ชายรองก็เป็นได้ พระสนมอย่าได้กังวลเกินไป”
พระทัยของสวี่เสียนเฟยเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก “องค์ชายใหญ่ องค์ชายสามก็มีพระชายาเอกไปแล้ว องค์ชายสี่และองค์ชายห้าก็เพิ่งขอพระราชทานการอภิเษกต่อหน้าฝ่าบาทไปก่อนหน้านี้ นอกจากองค์ชายบุตรของข้าแล้ว ยังมีองค์ชายคนใดที่เหมาะสมกับวัยเช่นนี้อีก? องค์ชายหกที่อายุสิบสี่ หรือองค์ชายเจ็ดที่อายุสิบสองเล่า? อย่าบอกว่าองค์ชายแปดที่อายุห้าขวบ!”
มามาผู้รับผิดชอบเอ่ย “การแต่งงานขององค์ชายสี่และองค์ชายห้า เป็นเพียงการบอกกล่าวของพระสนมเจินต่อฝ่าบาท ทว่ายังไม่มีคำสั่งใดๆ”
“แล้วหากว่าองค์ชายบุตรของข้าถูกเลือกจะทำเช่นไร?” สวี่เสียนเฟยถามอย่างวิตกกังวล
มามาผู้รับผิดชอบชี้แนะ “เป็นไปมิได้เพคะพระสนม องค์ชายรองเป็นองค์ชายที่ฝ่าบาททรงรักใคร่มากที่สุด ฝ่าบาทไม่มีทางเห็นองค์ชายเป็นบุตรที่ทรงละทิ้งได้หรอกเพคะ”
สวี่เสียนเฟยค่อยๆ สงบลง “มามา เจ้าคิดว่าเยี่ยนจิ่วเฉา…มิใช่เลือดเนื้อของฝ่าบาทจริงๆ หรือ?”
“นี่มิได้เป็นสิ่งสำคัญเพคะพระสนม” มามาผู้รับผิดชอบเอ่ย
สวี่เสียนเฟยเอ่ยแผ่วเบา “จริงสินะ เขากำลังจะตาย ไม่สำคัญว่าเขาจะทำเช่นไร ฝ่าบาทไม่มีทางส่งต่อบัลลังก์ ให้กับผู้ที่จะไม่สามารถมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้… ทว่าเขาก็ยังมีบุตรชายอีกสามคน!”
มามาผู้รับผิดชอบไม่รับคำพูดของสวี่เสียนเฟย และดูเหมือนจะนึกบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ พลางเอ่ย “ฝ่าบาททรงปฏิบัติต่อเยี่ยนอ๋องเป็นอย่างดี หม่อมฉันได้ยินมาว่า ในปีนั้นฝ่าบาททรงตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตตนเองแลกกับเยี่ยนอ๋อง”
สวี่เสียนเฟยหัวเราะเย้ยหยัน “อย่างไรเยี่ยนอ๋องก็นำเขาหนึ่งก้าว เอาชีวิตตนเองมาจบ…คิดดูแล้ว ยามฮ่องเต้องค์ก่อนยังมีชีวิตอยู่ เขาเคยต้องการให้เยี่ยนอ๋องตายใช่หรือไม่?”
มามาผู้รับผิดชอบพยักหน้า “มีเหตุการณ์เช่นนั้นจริง ทุกคนที่ทราบเรื่องถูกประหารชีวิตทั้งหมด หม่อมฉันโชคดีหลบซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงจึงรอดมาได้”
สวี่เสียนเฟยจิบชาอย่างช้าๆ “เหตุใดฮ่องเต้องค์ก่อนจึงอยากให้เยี่ยนอ๋องตายเล่า? มิใช่ว่ารักเยี่ยนอ๋องมากหรอกหรือ?”
“เรื่องนี้หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ” มามาผู้รับผิดชอบเอ่ย
สวี่เสียนเฟยวางถ้วยน้ำชาลงพร้อมเอ่ยว่า “แท้จริงแล้วฮ่องเต้องค์ก่อนมิได้สวรรคตด้วยอาการประชวร ทว่าถูกวางยาโดยบุตรชายกตัญญูที่คอยเฝ้าอยู่หน้าเตียงมิใช่หรือ?”
“พระสนม! โปรดระวังวาจา หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง!” มามาผู้รับผิดชอบเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
สวี่เสียนเฟยยิ้มถากถาง และลดเสียงลง “ฝ่าบาทไม่ลังเลที่จะปลงพระชนม์พระบิดาเพราะเห็นแก่น้องชาย ทรงปฏิบัติต่อเยี่ยนอ๋องอย่างลึกซึ้งยิ่งนัก…”
…
การคัดเลือกองค์ชายที่จะแต่งงาน ไม่เพียงแต่ทำให้สวี่เสียนเฟยทุกข์ใจ เป็นดังที่สวี่เสียนเฟยกล่าว การแต่งงานขององค์ชายสี่และองค์ชายห้ายังไม่ได้รับการประกาศ และยังมีความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนพระทัยฝ่าบาท องค์ชายสี่โกรธมากจนทำเอะอะต่อหน้าสนมเจิน พร้อมทั้งขู่จะสังหารเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างตรงไปตรงมา องค์ชายห้าไม่มีความกล้าที่จะก่อความวุ่นวาย ทว่าเขาก็กลับปิดประตู และกลั้นใจอยู่เป็นเวลานาน ผู้ที่หดหู่ที่สุดเกรงว่าคงเป็นฮ่องเต้ เขาไม่ได้เข้าข้างบุตรคนใด และไม่ต้องการเอาคนของซยงหนูมาเป็นลูกสะใภ้เช่นกัน
ทว่า…
ฮ่องเต้นึกถึงสิ่งที่เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยในจินหลวนเตี้ยน เสนาบดีหลายสิบคนที่อ่านหนังสือปราชญ์ สำลักจนไม่อาจหักล้างคำพูดแม้แต่คำเดียวได้
หากมิได้เห็นด้วยตาตนเอง ฮ่องเต้คงไม่มีทางรู้ว่า คนหัวดื้อที่ไม่ชอบเจรจาอย่างเยี่ยนจิ่วเฉาในวันธรรมดาจะพูดเก่งถึงเพียงนี้
“ฝ่าบาท…” ขันทีวังมาพร้อมชาสมุนไพรร้อนๆ
ฮ่องเต้โบกมือ “ข้าต้องการความสงบ”
หลังจากทำให้คนทั้งหมดทุกข์ทรมานเจียนตายได้สำเร็จ เยี่ยนจิ่วเฉาก็กลับบ้านด้วยความพึงพอใจ
……………….
วังหลวงร้อนเป็นไฟ ชีวิตของเหยียนหรูอวี้ก็ไม่ง่ายนัก ตั้งแต่เยี่ยนจิ่วเฉาส่งเหล้าสองไหมาให้เหยียนเซี่ย เหยียนหรูอวี้ก็รู้สึกสงสัยอย่างมาก
นางนึกย้อนไปถึงคืนนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้นางก็ยิ่งรู้สึกประหลาด นางดื่มไม่เก่ง ทว่าก็ไม่ควรหมดสติไปในสองหรือสามแก้ว นางเมาจริงหรือ? หรือมีสิ่งใดผสมอยู่ในเหล้ากันแน่?
ด้วยความบังเอิญ นางได้ยินเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันที่เหยียนเซี่ยไปวัดหนิงอันพร้อมกับโถเถ้ากระดูก เยี่ยนจิ่วเฉาก็ไปที่วัดหนิงอันด้วยเช่นกัน!
กระดาษข้อความที่นางหาไม่พบนั้นอยู่ที่ใดกัน?
ไฉนเยี่ยนจิ่วเฉาจึงปรากฏตัวที่วัดหนิงอันด้วยความบังเอิญเช่นนั้น?
เหยียนเซี่ยมิได้ทำข้อตกลงใดกับเยี่ยนจิ่วเฉาหรือ?
“คุณหนูเหยียน คุณหนูเหยียน คุณหนูเหยียน!”
เสียงที่แทรกเข้ามาในหูทำให้เหยียนหรูอวี้ฟื้นคืนสติ เหยียนหรูอวี้มองไปยังทิวทัศน์ที่ไม่คุ้นเคย งุนงงอยู่เป็นเวลานานกว่าจะจำได้ว่านางอยู่ในจวนของอำมาตย์จาง วันนี้มีงานเลี้ยงวันเกิดหลานสาว และนางได้รับเชิญให้มาเข้าร่วมงานเลี้ยง
บุคคลที่เพิ่งเรียกนางก็คือบุตรีท่านหนึ่งที่มาร่วมงานเลี้ยง สกุลหยาง
คุณหนูหยางเอ่ยถามด้วยความกังวล “คุณหนูเหยียน เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
เหยียนหรูอวี้มองไปที่นางแล้วมองที่ตนเอง จึงตระหนักได้ว่า ไม่รู้เมื่อใดที่นางมาที่บ่อน้ำโดยลากเด็กอายุประมาณสามหรือสี่ขวบอยู่ในมือ นางเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ใบหน้ามีรอยฝ่ามือใหญ่ๆ ตากลมเป็นสีแดงทว่ากลับไม่ร้องไห้งอแง
คุณหนูหยางเหลือบมองเด็กพลางเอ่ยว่า “คุณหนูเหยียนมีเรื่องอันใดหรือไม่? หรือว่าเด็กผู้นี้ทำให้เจ้าขุ่นเคือง?”
เหยียนหรูอวี้เอ่ยถามเบาๆ “เจ้าคิดว่าข้าตีนางรึ?”
“ข้า ข้า ข้า…ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น! คุณหนูเหยียนโปรดอย่าเข้าใจข้าผิด!” คุณหนูหยางเอ่ยอย่างร้อนรน
เหยียนหรูอวี้คลี่ยิ้มเบาๆ พลางเอ่ย “ไม่ใช่ข้า นางถูกคนรังแก ข้าจึงพานางมาล้างหน้าที่แม่น้ำ”
“เป็นเช่นนี้เอง…” คุณหนูหยางปากอ้าตาค้างด้วยความตกตะลึง
เหยียนหรูอวี้คุกเข่าลงและเช็ดหน้าของเด็กหญิงตัวน้อยด้วยผ้าเช็ดหน้า “ไม่ต้องกลัวนะ ไม่มีผู้ใดกล้ารังแกเจ้าอีกต่อไป หลังจากล้างหน้าแล้ว พี่สาวจะพาเจ้าไปกินขนม”
ดวงตาของเด็กสาวเต็มไปด้วยหวาดกลัว…
เหยียนหรูอวี้ช่วยเด็กคนหนึ่ง ทั้งปลอบประโลม ล้างหน้า ป้อนขนม และพาไปส่งถึงมือบิดามารดาของนางเองกับมือ ภาพลักษณ์ที่ดูใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้คนเช่นนี้ ทำให้นางได้รับความรู้สึกดีๆ จากผู้คนโดยฉับพลัน ในเวลาต่อมา ชื่อเสียงของบุตรีสกุลเหยียน ในด้านความมีเมตตาและคุณธรรมเป็นเลิศก็ได้แพร่สะพัดออกไป
ทุกคนคิดว่าเหยียนหรูอวี้ไม่คู่ควรกับเยี่ยนจิ่วเฉา ทว่ายามนี้พวกเขากลับรู้สึกว่าคุณชายผู้วิปลาสไม่คู่ควรกับเหยียนหรูอวี้
ท้ายที่สุด สตรีบริสุทธิ์และมีเกียรติผู้นี้ ในปีนั้นถูกบังคับให้ผูกมัดตนเองกับคนอื่นเพื่อเห็นแก่ลูก นางไม่สามารถแม้แต่จะร้องขอความตาย ถือกำเนิดมาด้วยความแน่วแน่ อดทนเลี้ยงดูจนเติบใหญ่อย่างยากลำบาก ย่อมเป็นเรื่องยากสำหรับครอบครัวของหญิงสาว
“คุณหนูเหยียนขอให้เดินทางปลอดภัย คราหน้าโปรดมาที่บ้านของข้าอีกนะ!” คุณหนูจางมาส่งเหยียนหรูอวี้ถึงประตูด้วยตนเองและบอกลานางอย่างไม่เต็มใจ
“แน่นอน ขอบคุณสำหรับการต้อนรับ” เหยียนหรูอวี้ก้าวเข้าไปในรถม้าอย่างสง่างาม
“คุณหนูเหยียนงดงามสมชื่อเสียจริง”
“ใช่แล้ว เพียงใบหน้างดงามก็มากพอแล้ว ยังมีความสามารถโดดเด่นอีก คุณหนูจาง ปู่ของท่านก็ชื่นชมนางใช่หรือไม่?”
“อืม” คุณหนูจางพยักหน้า “นางเก่งกว่าท่านปู่ของข้าในด้านการเล่นหมากรุก ทว่านางก็มิได้ชนะท่านปู่ ท่านปู่บอกว่า คนรุ่นหลังที่สามารถเรียนรู้และฝึกฝนจนเป็นเช่นนางนั้นหาได้น้อยนัก”
“การเล่นกู่ฉินเมื่อครู่ ข้าก็รู้สึกว่านางยอมอ่อนให้ข้า” คุณหนูซุนที่แข่งเพลงกู่ฉินกับเหยียนหรูอวี้เอ่ย
เห็นได้ชัดว่ามีความสามารถ ทว่าไม่เคยแข่งขันกับพวกเขาให้เป็นที่หนึ่ง เพื่อนเช่นนี้ ผู้ใดก็คงต้องชื่นชอบกระมัง?
มีเพียงคุณหนูหยางที่อยู่ด้านข้างที่ไม่เอ่ยสิ่งใด
นางคิดว่าที่แม่น้ำนั่นนางคงตาฝาดไปกระมัง? คุณหนูเหยียนผู้มีความรู้และมีเหตุผลเช่นนี้ จะรังแกเด็กไร้เดียงสา และลากไปที่แม่น้ำในท่าที่เกือบจมน้ำได้เช่นไร?
คุณหนูเหยียนก็มิได้เสียสติ จริงรึไม่?
ต้องเป็น…นางที่ตาฝาดไปเป็นแน่
………………………………………………………..
[1] จินหลวนเตี้ยน 金銮殿 เป็นอีกชื่อหนึ่งของตำหนักไท่เหอ ที่มีความหมายว่ามหาสันติแห่งความสมานฉันท์
[2] ฮู่ป่าน หรือแผ่นป้ายเตือนความจำของเหล่าขุนนางจีนสมัยโบราณ เทียบได้กับสมุดจดบันทึกที่ต้องถือพกติดตัวไปทุกครั้งที่มีการเรียกเข้าประชุม