บทที่ 32 ยามสอง
โดย
Ink Stone_Romance
อิ่งลิ่วรู้สึกประหนึ่งถูกตีแสกหน้า เขายืนตัวแข็งอยู่เช่นนั้น
เขาสงสัยว่าตนฟังผิดไป ทว่าในฐานะองครักษ์ชั้นเยี่ยมที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เขาตระหนักในความสามารถของตนเองดี แม้แต่ปีกของยุงซึ่งกำลังบิน เขาก็ได้ยินอย่างชัดเจน
เพราะฉะนั้นก็หมายความว่าคุณชายให้เขาถอดกางเกงจริง
อิ่งลิ่วมองไปยังมายาภาพรอบตัว ห้องอาบน้ำซึ่งปกคลุมไปด้วยไอน้ำ ถังอาบน้ำซึ่งมีกลีบดอกไม้ลอยล่อง แสงสีนวลสลัว…ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนดูคล้ายกับสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก
และแล้ว…วันนี้ก็มาถึงหรือ?
นับตั้งแต่ที่มีแม่นางอวี๋ อิ่งลิ่วก็คิดว่าคุณชายจะละทิ้งความปรารถนาที่มีต่อบุรุษอกสามศอกอย่างพวกเขาแล้ว ทว่าที่จริงคุณชายก็ยังไม่ลืมความคิดที่จะครอบครองร่างกายของพวกเขา
“ยืนนิ่งอยู่ไย? จะให้ข้าไปถอดให้หรือ?” คิ้วโก่งของเยี่ยนจิ่วเฉาขมวดเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์ นับวันยิ่งไม่ได้เรื่อง เป็นถึงองครักษ์ของคุณชายเยี่ยน ปฏิกิริยาตอบสนองช้ากระไรเพียงนั้น
ดูแล้ว ความเป็นชายของเขาคงจะรักษาเอาไว้ไม่ได้เสียแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่ใช่สตรี อีกทั้งไม่ถึงกับกำหนัดเสียจนทนไม่ไหว แต่ชีวิตของเขาเป็นของคุณชาย ความบริสุทธิ์ของเขาก็เป็นของคุณชาย อยากได้ก็เอาไปเลย!
อิ่งลิ่วปลดเข็มขัดด้วยความอับอาย!
“ช้าก่อน” เยี่ยนจิ่วเฉาเรียกเขา
อิ่งลิ่วพลันรู้สึกดีใจ คุณชายถอยหลังกลับได้ทันควัน รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าบุรุษเพศไม่ได้มีดีเท่าไรนัก?
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวว่า “ไปเรียกอิ่งสือซันมาด้วย”
อิ่งลิ่วอยากจะบ้าตาย ข้าคนเดียวไม่อาจทำให้ท่านพอใจได้หรืออย่างไร?
“ช่างเถอะ” เยี่ยนจิ่วเฉาโบกมือ
อิ่งลิ่วจึงใจเย็นลงได้ ครานี้เจ้าหนูน้อยของอิ่งสือซันก็คงอยู่รอดปลอดภัยแล้ว!
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดต่อ “เรียกมาให้หมด มามาไม่ต้อง”
ว่าแล้วเชียว!
“ลุงวั่นด้วยรึขอรับ?” อิ่งลิ่วตัวสั่น ขนลุกเกรียว
เยี่ยนจิ่วเฉาเลิกคิ้ว “อ้อ เขาก็ไม่ต้อง”
อิ่งลิ่วลองนับดู นอกจากลุงวั่นแล้ว ก็ยังเหลืออีกหลายสิบคน
อิ่งลิ่ว “…”
อิ่งลิ่วถึงกับลมจับ ล้มลงคาที่!
……
ถนนฉางอันเป็นที่ตั้งของหอโคมเขียวอันเลื่องชื่อที่สุดในเมืองหลวง ไม่เพียงใหญ่โตโออ่า สตรีงามเพริดพริ้ง การแสดงยอดเยี่ยม แม้แต่แขกเหรื่อของที่นี่ยังเป็นแขกชั้นหนึ่ง ทว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าในหอหนิงเซียงได้ มีเพียงเงินทองนั้นไม่เพียงพอ ยังต้องเข้าตาเหล่าแม่นางด้านในด้วย
เมื่อถึงยามค่ำ เหล่าแม่นางก็จะมายืนพิงราวบันไดอยู่ที่ชั้นสอง ใช้พัดบังใบหน้า ท่าทางกรีดกรายงดงาม เหล่าบุรุษที่อยากเข้าไปด้านในล้วนเบียดเสียดกันอยู่หน้าประตูใหญ่ของหอหนิงเซียง ตะโกนโหวกเหวกโวยวายว่า “ข้าๆๆ” แม่นางทั้งหลายต่างหัวร่อ เมื่อนิ้วเรียวสวยชี้ออกไป จะมีเสมียนไปเชิญบุรุษที่ถูกเลือกเข้ามาด้านใน หากไม่ถูกเลือก ก็มิอาจรุกล้ำเข้ามาด้านใน หอหนิงเซียงเปิดกิจการมาอย่างราบรื่นตราบจนทุกวันนี้ ก็เป็นเพราะความพิเศษในตัวของมันเอง
จวินฉางอันเดินเข้ามาด้านหลังของฝูงชน เขาเงยหน้าขึ้น รอยยิ้มอบอุ่นวาดผ่านลงใบหน้างดงามดุจหยก เหล่าแม่นางอุทานว่า ‘โอ้’ ด้วยความประหลาดใจ
คุณชายผู้สง่างาม คุณสมบัติเพียบพร้อมที่จะเข้าไปในหอหนิงเซียง
จวินฉางอันพา ‘องครักษ์’ ของตนเข้าไปในหอหนิงเซียง โดยมีเสมียนเป็นผู้นำทาง
หลังจากที่เข้ามาด้านในแล้ว จะเลือกห้องไหนก็ล้วนขึ้นอยู่กับดุลพินิจของลูกค้า
จวินฉางอันเลือกห้องที่หรูหราราคาแพงที่สุดในหอหนิงเซียง ช่วยไม่ได้ ใครให้ ‘องครักษ์’ ของเขามากความ ไม่คุ้นชินกับห้องธรรมดากันเล่า?
แม่เล้าของหอหนิงเซียงมีนามว่าจินเหนียง เป็นสตรีที่ถือกำเนิดในหอโคมเขียว ไม่มีผู้ใดรู้อายุของนาง เพียงแต่รู้ว่านางยังคงงามสะคราญ
จินเหนียงยกน้ำชาและขนมเข้ามาในห้องด้วยตนเองพร้อมกับใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม “คุณชายชื่อเสียงเรียงนามว่าอันใด? เป็นครั้งแรกที่มาหอหนิงเซียงของพวกเราใช่ไหมเจ้าคะ?”
นางกล่าว สายตาพลางเคลื่อนไปหา ‘องครักษ์’ ของจวินฉางอัน องครักษ์สวมหมวกสาน เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ทว่าเขาก็มิได้ดูด้อยไปกว่าจวินฉางอันเลย
นางเดินไปหา ‘องครักษ์’
จวินฉางอันปราดเข้าไปขวางหน้านางเอาไว้ “ไม่ใช่ธุระของเจ้า”
นัยน์ตาของจินเหนียงกระตุกวูบหนึ่ง “คุณชายต้องการแม่นางคนไหนหรือเจ้าคะ?”
จวินฉางอันตอบ “ข้าดูก่อน แล้วจะบอก”
ทุกคืน หอหนิงเซียงจะมีการประกวดของเหล่าโฉมงาม หากเป็นที่ถูกใจของแขกเหรื่อ ผู้ที่ให้ราคาสูงที่สุดก็จะสามารถพาพวกนางเข้าห้องไปได้
จินเหนียงมิได้รู้สึกแปลกใจกับคำพูดของจวินฉางอัน นางเพียงแค่สงสัยสถานะของอีกฝ่าย แต่ก็ทำได้เพียงเดินออกไปด้วยความเสียดาย
จวินฉางอันปิดประตู แล้วพูดกับ ‘องครักษ์’ ว่า “ทำให้องค์ชายตกใจแล้ว”
เยี่ยนไหวจิ่งถอดหมวกสานออก นั่งลงที่โต๊ะกลม เทชาสองถ้วย “เจ้าก็นั่งลงสิ”
จวินฉางอันนั่งลง
เยี่ยนไหวจิ่งมิได้มาที่หอหนิงเซียงเพื่อหาความสุข แต่เขานัดคนเอาไว้ที่นี่
“ผู้รอบรู้คนนี้รู้เรื่องในใต้หล้าจริงหรือ?” เยี่ยนไหวจิ่งเอ่ยถามอย่างไม่ไว้วางใจ
จวินฉางอันตอบว่า “ว่ากันว่าเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่ากันว่า?” เยี่ยนไหวจิ่งมองไปยังจวินฉางอัน
จวินฉางอันกล่าวว่า “ข้ากับเขาคุยกันไม่มาก ได้ยินเรื่องของเขามาจากเจียงหู แต่ข้าคิดว่าเขาคงจะไม่ทำให้องค์ชายรองผิดหวัง”
เยี่ยนไหวจิ่งดื่มชาหลงจิ่งซึ่งเก็บเกี่ยวก่อนวสันตฤดู “หากเขาเก่งอย่างที่ว่าจริง เหตุใดเจ้าไม่ถามเขาเล่า ว่าน้องชายของเจ้าถูกเผ่าปีศาจจับไปไว้ที่ใด?”
จวินฉางอันนิ่งเงียบ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ข้าจ่ายไม่ไหว”
ผู้รอบรู้แห่งเจียงหูไม่บอกข้อมูลแก่ผู้อื่นโดยปราศจากสิ่งแลกเปลี่ยน ถามสิ่งใด ล้วนต้องจ่ายด้วยสิ่งที่เขาคิดว่ามีราคาเท่ากับคำตอบนั้น
“จ่ายอะไร? ข้าจ่ายให้เจ้าได้” เยี่ยนไหวจิ่งถาม
จวินฉางอันชะงักไป “ไม่ใช่เงินพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายอย่าถามอีกเลย เรื่องนี้ข้าตัดสินใจเองได้”
เยี่ยนไหวจิ่งมองตาเขา “เจ้าสัญญากับข้าไว้แล้วว่าจะเป็นองครักษ์ให้ข้าสิบปี ยังไม่ครบสิบปี ข้าหวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอันใดกับเจ้า”
จวินฉางอันหลุบตา “ข้ารู้ขีดจำกัดของตนเอง องค์ชายโปรดวางใจ”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เยี่ยนไหวจิ่งมิได้ซักไซ้ต่อ เขาหวังเพียงว่าผู้รอบรู้ผู้นี้จะไม่ทำให้เรื่องยุ่งยากกว่าเดิม และรอบรู้เรื่องในใต้หล้าจริงๆ สำหรับราคาที่ต้องจ่าย…โจวไหวมีค่าเท่าไร ก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงขององค์ชายรอง
สวบ!
มีดเล่มหนึ่งพุ่งเข้าจากทางหน้าต่าง ปักลงบนภาพเขียนพู่กันของปรมาจารย์ชื่อดัง
เยี่ยนไหวจิ่งสีหน้าเย็นชา
จวินฉางอันเดินเข้าไปดึงมีดเล่มนั้นและข้อความออกมา เมื่ออ่านจบก็พูดกับเยี่ยนไหวจิ่งว่า “ผู้รอบรู้มีธุระเล็กน้อย วันนี้มาไม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เขานัดพวกเรายามบ่ายวันพรุ่งนี้ที่ศาลาซงฮวานอกเมืองหลวง”
เยี่ยนไหวจิ่งพลันมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
จวินฉางอันรู้ดีว่าเขาไม่สบอารมณ์ ครานี้มิอาจกล่าวโทษที่เขาโกรธ เขาเป็นถึงองค์ชาย คนที่จะตัดสินใจว่ามาหรือไม่ย่อมต้องเป็นเขา ไหนเลยจะมีคนผิดนัดเขา? แม้ผู้รอบรู้ผู้นี้จะมีชื่อเสียงกว้างไกล แต่ในสายตาของบุตรแห่งโอรสสวรรค์ เขาก็เป็นเพียงคนหยาบช้าไร้มรรยาทแห่งเจียงหู
“องค์ชาย” จวินฉางอันอธิบายแทนผู้รอบรู้ “จากความเข้าใจที่ข้ามีต่อผู้รอบรู้ เขาไม่ได้ไม่เห็นองค์ชายอยู่ในสายตา เกรงว่าเขาจะเกิดเรื่องด่วนจริง พรุ่งนี้ข้าจะไปพบเขา องค์ชายรอที่จวนรอความจากข้า”
เยี่ยนไหวจิ่งกลับตอบว่า “ไม่ ข้าจะไปกับเจ้า”
อย่างไรเสียก็มิใช่เพียงเพื่อสืบความเรื่องของโจวไหว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเขาหวังว่าผู้รอบรู้จะช่วยเขาได้
จวินฉางอันครุ่นคิด แล้วตอบว่า “ย่อมได้ พรุ่งนี้หากเขาไม่มา องค์ชายมิต้องลงมือ ข้าจะไปสั่งสอนเขาเอง”
เยี่ยนไหวจิ่งมิได้ตอบรับ เพียงแต่กล่าวว่า “กลับจวนเถอะ”
“อืม” จวินฉางอันหยิบหมวกสานบนโต๊ะส่งให้เขา
เยี่ยนไหวจิ่งสวมหมวกเรียบร้อย สาวเท้าไปยังหน้าประตู ขณะที่กำลังรอให้จวินฉางอันเปิดประตู เขาได้ยินจวินฉางอันเอ่ยขึ้นว่า “องค์ชาย ท่านเป็น ‘องครักษ์’ ของข้า ข้าไม่เปิดประตูให้ท่าน”
เยี่ยนไหวจิ่งมุมปากกระตุก ดึงประตูเปิดออกอย่างไม่เต็มใจ
จวินฉางอันลอบยิ้ม
ทั้งสองเดินลงไปด้วยกัน ขณะที่เดินผ่านโถงกลาง ก็ได้ยินเสียงดังเอะอะจากมุมหนึ่งของห้อง เยี่ยนไหวจิ่งหยุดฝีเท้าลง แล้วมองไปยังต้นเสียง ก็เห็นโคมสีลูกท้อห้อยระย้า บุรุษสวมอาภรณ์หรูหรากำลังถือจอกสุรา ดื่มเสียจนเมามาย ดูเหมือนว่าเหล่าคุณชายเจ้าสำราญที่ห้อมล้อมเขา กำลังฟังเขาพูดอยู่
“ใครหรือ?” เยี่ยนไหวจิ่งเอ่ยถาม
จวินฉางอันมองตามไป แล้วกล่าวว่า “นายน้อยสกุลเหยียน บุตรชายคนโตของเหยียนโหว”
เยี่ยนไหวจิ่งมิได้สนใจสกุลเหยียน เนื่องจากเขารู้ว่าสกุลเหยียนเกี่ยวดองกับคุณชายเยี่ยน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางเข้าไปข้องแวะด้วยเป็นอันขาด
ขณะที่เขากำลังจะเดินออกไป เหยียนเซี่ยซึ่งกำลังเมามายได้ที่ก็แค่นหัวเราะออกมา “พวกเจ้าไม่เชื่อ? พวกเจ้า…ไปสืบความได้….นายท่านแห่งสกุลเหยียนผู้นี้…เคยพูดเท็จเสียเมื่อไหร่! ข้าจะบอกความลับเรื่องหนึ่งให้พวกเจ้าฟัง…สตรีโหดเหี้ยมผู้นั้น…นาง…นางมีลูกไม่ได้!”
ฝูงชนโดยรอบหายใจเข้าเฮือกหนึ่งด้วยความตกใจ
สตรีที่มีลูกไม่ได้ เป็นสตรีจริงหรือ? ชีวิตนี้คงจบเห่แล้ว! ไม่มีผู้ใดกล้าแต่งงานด้วย!
“พูดมาขนาดนี้ สตรีผู้นั้นคือใครเล่า?” คุณชายคนหนึ่งเอ่ยถาม
“ใช่แล้วๆ! ใครกัน?” คุณชายอีกคนหนึ่งซักไซ้
เยี่ยนไหวจิ่งหยุดฝีเท้าลงอีกครั้ง
“พวกเจ้าอยากรู้ว่านางเป็นใคร…” เหยียนเซี่ยยิ้มเยาะ “นางก็คือ…”
………………………………………