บทที่ 29 ฉีกหน้ากาก (2)
โดย
Ink Stone_Romance
พ่อบ้านติงรีบไปเชิญหมอหลี่ซึ่งคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
หมอหลี่เป็นหมอที่มีความสามารถสูง เขารักษาให้ชนชั้นสูงโดยเฉพาะ หากไม่ใช่เพราะฐานะมารดาของไป๋ถัง พ่อบ้านติงก็คงเชิญเขามาไม่ได้
ขณะที่หมอหลี่ตรวจอาการให้ไป๋ถัง อาการของไป๋ถังก็แย่ลงกว่าเดิม หมอหลี่พับแขนเสื้อของนางขึ้น ก็พบว่าที่แขนของไป๋ถังมีตุ่มบวมแดง หมอหลี่กล่าวออกมาคำหนึ่งว่า ‘ไม่ดี’
“อะไรไม่ดีหรือ? ถังเอ๋อร์อาการหนักหรืออย่างไร?” นายท่านไป๋ถามด้วยความกังวลใจ
หมอหลี่ลุกขึ้นยืน ให้คนไปยกน้ำมา ใช้สบู่ล้างมือจนสะอาด กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้ายังบอกไม่ได้ หากภายในพรุ่งนี้เช้าก้อนบวมนี้ไม่แพร่ออกไป ก็ไม่ต้องเป็นห่วง แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น… ”
“หากไม่เป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไรหรือ?” ฮูหยินไป๋เอ่ยถามด้วยความกระวนกระวายใจ ผู้ใดภาวนาให้ไป๋ถังไม่เป็นโรคมากที่สุดก็คงเป็นนาง
หมอหลี่กล่าวว่า “พรุ่งนี้ข้าค่อยมาดูใหม่!”
แต่มิทันได้รอถึงเช้า กลางดึกพ่อบ้านติงก็มาเคาะประตูหน้าบ้านหมอหลี่
พ่อบ้านหลี่ท่าทางร้อนรน “ท่านหมอหลี่ คุณหนูบ้านข้าแย่แล้ว! ท่านรีบไปดูหน่อยเถิด!”
หมอหลี่ถือกล่องยาขึ้นรถม้าไป
ตุ่มแดงบนแขนของไป๋ถังแพร่กระจายไปทั่ว ในตอนแรกมีเพียงบนแขนด้านล่าง กลางดึกสาวใช้เช็ดตัวให้นาง ก็พบว่าที่แขนด้านบน แก้ม รวมไปถึงขาของนาง ก็ปรากฏก้อนแดงแบบเดียวกัน อาการของนางทรุดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อหมอหลี่มาถึง ตุ่มแดงก็ปรากฏไปทั่วตัว
“แย่แล้ว!” หมอหลี่ใจเสีย
“คุณหนูบ้านข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” พ่อบ้านติงถาม
หมอหลี่ตอบอย่างจนปัญญา “นะ…นางเป็นไข้ทรพิษ”
……
ไข้ทรพิษเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาได้ ไม่เพียงต้องตาย ยังแพร่เชื้อได้อีกด้วย มีหมู่บ้านหนึ่งรับขอทานซึ่งป่วยเป็นไข้ทรพิษมาด้วยความใจดี ทว่าในเวลาต่อมาคนทั้งหมู่บ้านป่วยและเสียชีวิตทั้งหมด และถ้าหากไป๋ถังเป็นไข้ทรพิษ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็คงเดาได้ไม่ยาก
วันต่อมาคนสกุลเฉินก็มาเยือนถึงบ้าน
ผู้มาเยือนคือฮูหยินเฉิน พี่สะใภ้ใหญ่ของฮูหยินไป๋
“พี่สะใภ้ใหญ่ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ? ยกเลิกการแต่งงาน?” ฮูหยินไป๋มองไปยังฮูหยินเฉินซึ่งบอกปัดนางอย่างง่ายดายด้วยเรื่องเพียงเท่านี้
หากถามว่าเหตุใดฮูหยินไป๋จึงเป็นเดือดเป็นร้อนถึงเพียงนี้ ก็คงต้องย้อนไปถึงครั้นนางสวียังมีชีวิตอยู่ ก่อนที่นางจะสิ้นใจ นางได้เขียนพินัยกรรมให้นายท่านไป๋ไว้ว่าตราบใดที่ไป๋ถังมีชีวิตอยู่ สินเดิมของนางจะเป็นของไป๋ถัง หากไป๋ถังไม่อยู่แล้ว สินเดิมของนางจำต้องกลับไปเป็นของสกุลสวี
นางสวีคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่านายท่านไป๋จะแต่งงานใหม่ นางกังวลว่าภรรยาใหม่จะไม่ดีกับบุตรสาว จึงยอมเป็นคนใจร้าย บังคับให้นายท่านไป๋ลงนามในพินัยกรรมฉบับนั้น
แต่ไหนแต่ไรมานายท่านไป๋ก็มิได้ละโมภปรารถนาสินเดิมของนางสวี เดิมทีเขาคิดว่าการยกทรัพย์สมบัติของนางสวีให้แก่ไป๋ถังเป็นเรื่องที่พึงกระทำ ทว่านางสวีทำเช่นนี้ ก็หมายความว่านางไม่เชื่อบิดาอย่างเขา เขาปกป้องบุตรสาวไม่ได้หรืออย่างไร? จึงต้องใช้วิธีจำพวกนี้มาบีบบังคับกัน!
วันสุดท้ายในชีวิตสามีภรรยาของทั้งสองมิได้มีความสุขนัก นางสวีจากไปพร้อมกับความรู้สึกอย่างไรไม่อาจรู้ได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจลบเลือน การตัดสินใจของนางสวีในครั้งนั้น ทำให้ไป๋ถังสามารถเติบโตขึ้นมาได้อย่างราบรื่น
“พี่สะใภ้ใหญ่…”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ข้ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ไป๋ถังเป็นไข้ทรพิษ! เจ้าจะปิดบังข้าใช่หรือไม่? เจ้าอยากฆ่าล้างตระกูลข้าหรืออย่างไร?”
นางเก็บความสงสัยไว้ในใจ แล้วบอกกับฮูหยินเฉินว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าไม่ได้ปิดบังพวกท่าน แต่บ่าวคนนี้…ไม่เป็นอะไร”
ฮูหยินเฉินขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่านางแกล้งป่วยรึ?”
ฮูหยินไป๋กล่าวว่า “เมื่อถึงยามคับขัน นางก็เกิดล้มป่วยขึ้นมา ใต้หล้าจะมีเรื่องบังเอิญเพียงนี้ได้อย่างไร?”
ฮูหยินเฉินโต้กลับ “เช่นนั้นเจ้าก็ลองแกล้งป่วยให้ข้าดูหน่อยสิ!”
มีตุ่มแดงขึ้นไปทั่ว ไข้สูงไม่ลงสักที ใบหน้าซูบซีด เอาตรงไหนมาแกล้งป่วยกัน?
“ข้าไปดูมาแล้ว! เด็กคนนั้นกำลังจะตายอยู่แล้ว!”
ไม่เช่นนั้น ฮูหยินเฉินจะยอมยกเลิกการแต่งงานได้อย่างไรเล่า?
แม้จะไม่รู้ว่าไป๋ถังทำได้อย่างไร แต่ฮูหยินไป๋มั่นใจมากว่านางกำลังแกล้งป่วย “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านให้เวลาข้าอีกสองสามวัน ข้าจะต้องคิดหาวิธีเปิดโปงแผนการของเด็กนั่นให้ได้!”
ฮูหยินเฉินสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไป
ฮูหยินไป๋ไปยังห้องของไป๋ถัง “พวกเจ้าถอยไป”
“เจ้าค่ะ” บ่าวที่ดูแลไป๋ถังออกไปจากห้อง
ฮูหยินไป๋เดินมาด้านหน้าเตียง มองไปยังไป๋ถังที่กำลังเจ็บปวดเจียนตาย แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถังเอ๋อร์ เจ้าป่วยจริงๆ หรือ?”
ไป๋ถังก่นด่าอวี๋หวั่นในใจนับครั้งไม่ถ้วน ยาบ้าอะไรกันนี่ นางจะตายอยู่แล้ว!
ไป๋ถังลืมตามองฮูหยินไป๋ พูดอย่างอ่อนระโหนโรยแรงว่า “ท่านแม่ ท่านว่าอย่างไรเล่า?”
ฮูหยินไป๋นัยน์ตากระตุกวูบหนึ่ง “แน่นอนว่าเจ้าต้องเสแสร้งน่ะสิ!”
ไป๋ถังตอบตะกุกตะกักว่า “แล้วอย่างไร…เจ้าเปิดโปงข้า…ดูซิว่าจะมีคนเชื่อหรือไม่…”
“ไป๋ถังเจ้าคอยดู อย่าคิดว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเจ้าจะไม่ต้องแต่งงาน!” ฮูหยินไป๋เดินปึงปังออกจากห้องไป นางเด็กนี้บ้าบิ่นเป็นที่สุด ไม่เท่าไรก็ออกลายแล้ว!
ไป๋ฮูหยินเรียกสาวใช้และบ่าวสูงอายุที่ไว้เนื้อเชื่อใจมา “ช่วงนี้พวกเจ้าจับตาดูคุณหนูเอาไว้ให้ดี ดูว่ารอบตัวนางมีคนแปลกหน้ามาหรือไม่”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน” ทั้งสองตอบรับ
ฮูหยินไป๋ครุ่นคิด “แล้วก็จับตาดูพ่อบ้านติงไว้ด้วย”
ทั้งสองจับตาดูมาสองวันแล้ว ก็ยังไม่พบความผิดปกติ สกุลเฉินเร่งเร้ามาแล้วครั้งหนึ่ง ทำให้ฮูหยินไป๋นั่งไม่ติด และเดินทางออกจากคฤหาสน์ไปด้วยเหตุผลที่ว่าจะไปเยี่ยมมารดา
อวี๋หวั่นและอวี๋เฟิงเฝ้าสังเกตคฤหาสน์สกุลไป๋มาหลายวัน ในที่สุดก็เห็นฮูหยินไป๋ออกมา
ในตอนที่ฮูหยินไป๋นั่งรถม้าไปถึงถนนเสวียนอู่ สาวใช้คนหนึ่งก็เดินลงมา
บนรถม้าด้านหลัง “พี่ใหญ่ ท่านตามนางไป คอยดูว่านางจะทำอะไร”
อวี๋เฟิงพยักหน้าแล้วตามไป
อวี๋หวั่นตามฮูหยินไป๋ไปยังโรงน้ำชาหลังหนึ่ง ครานี้นางเปลี่ยนอาภรณ์ทั้งชุด นางสวมเสื้อคลุม สวมหมวกซึ่งมีผ้าคลุมหน้า ผ้าคลุมหน้ายาวปกปิดใบหน้าของนาง หากอวี๋หวั่นไม่ได้จ้องนางอยู่ตลอดเวลา เธอก็คงจะจำไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนี้คือฮูหยินไป๋
ฮูหยินไป๋เข้าไปในโรงน้ำชา
อวี๋หวั่นตามนางไป
ไป๋ฮูหยินเดินเข้าไปอย่างง่ายดาย ราวกับเป็นลูกค้าประจำของที่นี่
“เดี๋ยว เจ้ามาจากไหน?” เสมียนในโรงน้ำชาหยุดเธอไว้
โรงน้ำชาหรูหราเช่นนี้ไม่ใช่สถานที่ที่คนสวมเสื้อผ้าฝ้ายอย่างอวี๋หวั่นจะเข้ามา
สีหน้าของอวี๋หวั่นไม่ได้เปลี่ยนแต่อย่างใด แต่ท่าทางของเธอน่าเกรงขาม “ข้ามากับฮูหยินบ้านข้าน่ะสิ ทำไม? เจ้าอยากพบฮูหยินบ้านข้าหรืออย่างไร?”
ท่าทีของอวี๋หวั่นข่มขู่เสมียนหนุ่มได้อย่างได้ผล เขาค้อมตัวงกๆ “ล่วงเกินแล้ว แม่นาง เชิญ”
ถูกขัดจังหวะเช่นนี้ ฮูหยินไป๋หายตัวไปเสียแล้ว อวี๋หวั่นทำได้เพียงพึ่งโชค เดินไปตามห้องต่างๆ ยังดีที่โชคเข้าข้างเธอ เสียงของฮูหยินไป๋ดังขึ้นมาจากห้องด้านในสุดของทางเดิน
“…โอกาสทองหายวับไปกับตา ข้าล่ะโมโหเสียจริง…”
เสียงนั้นเล็กแหลมอ่อนหวาน อวี๋หวั่นฟังแล้วก็อดขนลุกไม่ได้
ยืนอยู่หน้าห้องเช่นนี้ก็ออกจะสะดุดตาไปสักหน่อย คนที่ผ่านไปผ่านมาอาจพบเห็นเข้า ห้องข้างๆ เป็นห้องว่าง แต่น่าเสียดายที่ผนังหนาเกินไป ฟังไม่ได้ยิน อวี๋หวั่นเปิดหน้าต่างออก แล้วก็พบว่าฝั่งตรงข้ามก็เป็นหน้าต่างอีกบานหนึ่งซึ่งห่างจากหน้าต่างห้องของฮูหยินไป๋เพียงหนึ่งแขนเท่านั้น
อวี๋หวั่นลองเสี่ยงปีนข้ามไป
ห้องนั้นใหญ่และโอ่อ่า อวี๋หวั่นคิดว่าน่าจะเป็นห้องชุดหรูราคาแพงแบบดั้งเดิม
อวี๋หวั่นปีนเข้าไปบนหน้าต่างของ ‘ห้องชุดหรูหรา’ นั้น ร่างท่อนบนยื่นออกไป เอวของเธองอเป็นมุมประหลาด เมื่อทำเช่นนี้เธอก็จะยื่นตัวออกไปติดกับหน้าต่างของห้องฮูหยินไป๋ได้
อวี๋หวั่นเจาะหน้าต่างกระดาษเป็นรูเล็ก
อวี๋หวั่นสาบานได้ เธออยากรู้เพียงว่าฮูหยินไป๋จะใช้วิธีอะไรเปิดโปงไป๋ถัง ไม่ได้ตั้งใจล่วงรู้ความลับก้องโลกของนาง
ในห้องที่อบอวลไปด้วยกลิ่นของกำยาน ฮูหยินไป๋สวมเสื้อผ้าน้อยชิ้น กำลังคลึงเคล้าอยู่ในอ้อมอกของบุรุษ บุรุษผู้นั้นร่างกายสูงใหญ่ แกนกลางลำตัวขนาดมหึมา อวี๋หวั่นมั่นใจว่าเขาไม่ใช่นายท่านไป๋ซึ่งย่างเข้าวัยกลางคนและตัวอ้วนท้วนอย่างแน่นอน
……………………………………………