บทที่ 29 ฉีกหน้ากาก (1)
โดย
Ink Stone_Romance
ประตูปิดลง นายท่านไป๋และฮูหยินไป๋ต่างก็ออกไปแล้ว บ่าวรีบเข้ามาแล้วก็ออกไป โดยรอบของเรือนที่เมื่อครู่มีเสียงดังเอะอะโวยวายพลันเงียบลง อวี๋หวั่นลงมาจากกำแพง เดินตรงไปยังห้องของไป๋ถัง
ครั้งนี้ห้องของไป๋ถังไม่ได้ลงกุญแจจากด้านนอก แต่อวี๋หวั่นกลับผลักประตูเข้าไปไม่ได้
ลงกลอนจากด้านใน?
อวี๋หวั่นเคาะประตูเบาๆ ไม่มีเสียงตอบรับใด เธอไม่อยากกระโตกกระตาก ด้วยกลัวว่าจะทำให้ฮูหยินไป๋และคนอื่นที่เดินออกไปได้ไม่ไกลจะแห่กันกลับมา
อวี๋หวั่นอ้อมไปยังหน้าต่างห้องซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของทางเดิน ยื่นมือออกไปแล้วเลิกม่านขึ้น!
เธอเห็นว่าไป๋ถังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มือหนึ่งถือกรรไกร อีกมือหนึ่งจับเส้นผมยาวของตน นางง้างกรรไกรแล้ว หากช้าไปอีกเพียงชั่วพริบตาเดียว ผมยาวดำขลับดุจหมึกก็คงจะไม่เหลือแล้ว
“ท่านทำอะไรน่ะ?” อวี๋หวั่นดันตัวขึ้นแล้วกระโดดเข้าไปในห้องด้วยมือเดียว
ไป๋ถังหมดท่าทางอาลัยตายอยาก มิได้มองเสียด้วยซ้ำว่ามีคนเข้ามาในห้อง ขณะที่นางงับกรรไกรลง อวี๋หวั่นก็ดึงปิ่นปักผมเข้าไปสอดไว้ตรงกลางทันที
ไป๋ถังมองไปยังผู้มาเยือนด้วยความขุ่นเคือง แต่กลับพบว่าเป็นอวี๋หวั่น นางนิ่งไป น้ำตาไหลอาบสองข้างแก้ม “แม่นางอวี๋?”
“ข้าเอง” อวี๋หวั่นหยิบกรรไกรออกจากมือของนาง แล้ววางลงในกล่องบนโต๊ะเครื่องแป้ง “ท่านคิดจะทำอะไร? โกนหัวแล้วไปบวชเป็นพระในวัดหรือ?”
“แม่ชีต่างหาก!” ไป๋ถังทัดทาน
อวี๋หวั่นร้อง ‘อ้อ’ แล้วกล่าวว่า “ไม่เหมือนกันหรอกหรือ?”
ไป๋ถังกำลังจะเอ่ยปาก อวี๋หวั่นก็ตัดบทขึ้นว่า “ฟังดูดีเหมือนกัน ออกบวช ละตนออกจากกิเลสที่ฟังดูยากสักหน่อยก็คือละทางโลก ข้าไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นอย่างไร แต่ท่านทำได้อยู่แล้ว!”
“ข้า…” ไป๋ถังพูดไม่ออก
อวี๋หวั่นพูดต่อ “ข้าคิดมาตลอดว่าท่านไม่เหมือนกับสตรีอื่น แต่ดูจากตอนนี้ ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่”
ไป๋ถังโมโหสุดขีด อยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก “เจ้า…เจ้ามาตอกย้ำข้าหรืออย่างไร?”
อวี๋หวั่นพูดจากใจจริงว่า “สิ่งที่ข้าพูดไม่ใช่การตอกย้ำ เรียกว่าความจริง ถึงข้าจะเป็นคนนอก แต่ข้าก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า ‘คุณหนูไป๋ พ่อเจ้าไม่ได้เรื่องเอาซะเลย! แม่เลี้ยงเจ้ายิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เจ้าโกนหัวบวชชี ไม่ใช่การเปิดทางสะดวกให้พวกเขา…แล้วก็น้องพ่อเดียวกันของเจ้าหรอกหรือ?’”
อวี๋หวั่นก็มีน้องชาย ในตอนที่ข้ามมิติมาที่นี่ หากไม่ใช่เพราะเถี่ยตั้นน้อยเชื่อฟัง และตามเธอแจเช่นนี้ เธอคิดว่าเธอก็คงไม่อาจเป็นพี่สาวใจดีของน้องได้ เรื่องความรู้สึกจำพวกนี้ ไม่ว่าจะอายุเท่าไร ทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน ไม่มีการให้เพียงฝ่ายเดียวหรือรับเพียงฝ่ายเดียว ไม่ใช่บอกว่าฉันและเธอมีสายเลือดร่วมกัน ฉันจำเป็นต้องเอ็นดูเธอปานจะกลืนกิน ฮูหยินไป๋เลี้ยงลูกมาให้เป็นคนแปลกหน้าของไป๋ถัง ถามหน่อยว่าไป๋ถังจะชอบเขาได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นจะยกสมบัติให้เขาได้อย่างไรกัน?
ไป๋ถังพูดอย่างเศร้าสลดว่า “เปิดทางก็เปิดทางไปสิ อย่างไรเสียทุกคนก็ต้องตาย ข้าอยู่ที่บ้านนี้ไปก็ขวางหูขวางตาพวกเขา”
“หมดอาลัยตายอยากแล้วหรือ?” อวี๋หวั่นย้ายเก้าอี้ไปวางข้างๆ ไป๋ถัง
“พ่อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ไป๋ถังเอ่ยถาม
อวี๋หวั่นส่งผ้าเช็ดหน้าให้นาง “ตอนนี้ท่านยังมีกะจิตกะใจถามเรื่องพ่อข้าอีก เขาออกมาจากคุกแล้ว รอหาพยานบุคคลมายืนยันว่าเขาบริสุทธิ์”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” ไป๋ถังรับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตา แล้วพูดต่อ “พ่อเจ้าดีกับเจ้าหรือไม่?”
คำถามนี้ ถ้าตอบไปตามตรงก็จะทำร้ายจิตใจของไป๋ถัง แต่ถ้าโกหกก็จะทำร้ายจิตใจของอวี๋หวั่นเสียเอง อวี๋หวั่นจึงเปลี่ยนเรื่องสนทนาทันที “ไม่ต้องพูดเรื่องท่านพ่อข้าแล้ว พูดเรื่องท่านดีกว่า ข้าขอถาม ท่านอยากยกเลิกการแต่งงานครั้งนี้หรือไม่?”
ไป๋ถังพึมพำ “ข้าคิดว่าเจ้าจะมาถามข้าว่าจะแต่งงานกับพี่ชายเจ้าหรือไม่เสียอีก ผู้จัดการชุยบอกพวกเจ้าว่าข้าจะแต่งงานสินะ?”
อวี๋หวั่นตอบ ‘อืม’ ในคอ “ข้าไปหอหยกขาวมา เดิมทีคิดว่าจะนำเกลือกับไข่ไก่ไปให้ท่าน ไม่รู้ว่าท่านไม่อยู่…จะว่าไป ท่านมองพี่ใหญ่ข้าออกหมดเลยสินะ”
ไป๋ถังเบ้ปาก “เจ้าทึ่มนั่นคิดว่าตัวเองซ่อนความรู้สึกเก่งหรืออย่างไร?”
อวี๋หวั่นจินตนาการท่าทางเลิ่กลั่กของอวี๋เฟิง ต่อให้เป็นคนตาบอดก็ยังมองออก
อวี๋หวั่นหลุดหัวเราะ กล่าวว่า “ระหว่างท่านกับพี่ใหญ่ข้าเป็นอย่างไรย่อมเป็นเรื่องของพวกท่าน ท่านจะแต่งหรือไม่แต่งงานกับเขา ข้าก็ยังจะช่วยท่านยกเลิกการแต่งงานครั้งนี้”
ไป๋ถังรู้สึกซาบซึ้งใจ มองไปยังอวี๋หวั่น น้ำตาไหลอาบข้างแก้ม “แม้ว่าเจ้าชอบทำข้าเดือดร้อน แต่ข้าก็คิดว่าเจ้าเป็นคนดี”
อวี๋หวั่นลูบคาง “ข้าก็คิดอย่างนั้นแหละ ข้าเป็นคนดี จริงๆ นะ”
ไป๋ถัง “…”
……
หลังจากที่มั่นใจว่าไป๋ถังจะไม่ทำเรื่องบ้าๆ อีก อวี๋หวั่นก็ปีนข้ามกำแพง แล้วบอกเล่าเรื่องของไป๋ถังให้อวี๋เฟิงฟัง เมื่อได้ยินว่านายท่านไป๋ลำเอียงปกป้องฮูหยินไป๋ ทั้งยังตบหน้าไป๋ถัง อวี๋เฟิงก็โมโหจนเส้นเลือดปูดโปน “มีพ่อพรรค์นี้อยู่บนโลกด้วยรึ!”
อวี๋หวั่นถามต่อ “ตอนนี้ท่านยังวางใจ ยอมให้คุณหนูไป๋ไปแต่งงานกับคนสกุลเฉินอยู่ใช่ไหม?”
อวี๋เฟิงคิดมาตลอดว่าฐานะของตนต้อยต่ำ ไม่คู่ควรกับคุณหนูแห่งสกุลไป๋ จนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังรู้สึกว่าไม่คู่ควร ทว่าสกุลเฉินไม่คู่ควรยิ่งกว่า อวี๋หวั่นพูดเอาไว้ไม่ผิด ไป๋ถังและฮูหยินไป๋ก็เปรียบเสมือนน้ำกับไฟ ไป๋ถังแต่งงานเข้าบ้านเดิมของฮูหยินไป๋ ย่อมไม่มีทางได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย…เขาไม่ยอมทนมองนางกระโดดเข้ากองไฟเป็นแน่
อวี๋เฟิงยืนขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้าจะไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่!”
อวี๋หวั่นหยุดเขาไว้ “คุณหนูไป๋ยังไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะแต่งงานกับท่าน”
อวี๋เฟิงนิ่งไป “เอ่อ…เรื่องนั้น…”
อวี๋หวั่นอดรู้สึกขบขันไม่ได้ “ข้าล้อเล่น ข้ายังไม่ได้ถามว่านางคิดอย่างไร ให้ท่านไปถามเองวันหลัง”
อวี๋เฟิงใบหน้าแดงก่ำ
อวี๋หวั่นพูดว่า “จัดการเรื่องสกุลเฉินก่อนจะดีกว่า”
อวี๋หวั่นไปยังร้านขายยา ซื้อสมุนไพร จ้างให้ร้านยาต้มและปั้นเป็นลูกกลอน แล้วนำไปยังคฤหาสน์สกุลไป๋
“นี่คืออะไร?” ไป๋ถังเอ่ยถามพลางมองขวดยาบนโต๊ะ
อวี๋หวั่นเปิดจุกขวดออก เทยาสีดำออกมาหนึ่งเม็ด แล้วบอกกับไป๋ถังว่า “ส่วนประกอบหลักก็มีผักคาวทอง ซันชี
และมะขามแขก แล้วก็มีส่วนประกอบอื่นอีกนิดหน่อย กินเข้าไปแล้วท่านจะรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย แต่ว่าไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ข้าคำนวณปริมาณไว้พอเหมาะ”
“เรื่องยาเจ้าก็รู้หรือ?” ไป๋ถังเอ่ยถาม
“ตำราแพทย์ของท่านปู่เป้าเขียนเอาไว้” อวี๋หวั่นตอบ
“ยังมีท่านปู่เป้าอีก?” ไป๋ถังไม่รู้เรื่องที่อวี๋หวั่นและพ่อครัวเทพเป้ารู้จักกัน
อวี๋หวั่นมองออกไปนอกประตู จะมีคนผ่านไปมาเมื่อไรก็ไม่อาจรู้ได้ “เรื่องมันยาว ท่านกินยาก่อนเถอะ”
ไป๋ถังบีบยาลูกกลอนเม็ดสีดำปี๋ “ก่อนหน้านี้…เจ้าเคยให้ผู้อื่นกินหรือไม่?”
“ไม่เคย ท่านเป็นคนแรก!”
ดีใจหรือไม่? ประหลาดใจหรือไม่? ซาบซึ้งหรือไม่?
ไป๋ถัง “…”
มิใช่ต้องกังวลว่านางกินไปแล้วจะตายไหมหรอกหรือ…
ในที่สุดไป๋ถังก็กินยาลงไป
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น ไป๋ถังก็เริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย บ่าวชราที่นำอาหารมาให้คิดว่านางโมโหนายท่านและฮูหยินจน
เป็นเช่นนี้ จึงมิได้นำมาใส่ใจ จนตกดึก ไป๋ถังเริ่มร้องด้วยความเจ็บปวด
สาวใช้ซึ่งเฝ้าตอนกลางคืนก็พยุงนางขึ้นมา “คุณหนู เป็นอะไรหรือ?”
“ขะ…ข้าปวดหัว…” ไป๋ถังพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง
สาวใช้ใช้มือแตะบนหน้าผากของนาง แล้วหดมือกลับด้วยความตกใจ “ร้อนเหลือเกิน”
ไป๋ถังไม่สบาย แข้งขาไร้เรี่ยวแรงและอ่อนเพลียอยู่ตลอด ทั้งยังปวดศีรษะ มีไข้สูง ฮูหยินไป๋เชิญหมอมาตรวจอาการ เป็นเพราะไป๋ถังต้องแต่งงานกับบุตรชายของสกุลเฉิน เรื่องตรวจรักษาโรคของไป๋ถังนั้น นางจึงใจกว้างอย่างถึงที่สุด
หลังจากหมอตรวจอาการแล้ว วินิจฉัยว่าไม่สบายจากลมหนาวขั้นรุนแรง จ่ายยาขับร้อนให้นาง ทว่าหลังจากที่กินยาเข้าไป อาการของไป๋ถังก็มิได้ดีขึ้น มิหนำซ้ำยังแย่ลงกว่าเดิม
ต่อให้นายท่านจะรักลูกไม่เท่ากัน แต่ไป๋ถังก็เป็นลูกในไส้ของเขา เขาย่อมไม่อาจนิ่งนอนใจ
เขากล่าวกับฮูหยินไป๋ด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เจ้าเชิญหมออะไรมา? แม้แต่ไข้ก็ยังรักษาไม่หาย! สรุปแล้วเจ้าให้คนดูแลนางจริงหรือไม่?”
“นายท่านหมายความว่าอย่างไร? ข้าไม่ตั้งใจดูแลนาง? หรือว่าข้าตั้งใจให้นางกินยา? นายท่าน ที่ผ่านมาข้า
ปฏิบัติต่อไป๋ถังอย่างไรท่านไม่เห็นหรือ? ในใจท่านไม่รู้เลยหรือ?” ฮูหยินไป๋ร่ำไห้ออกมาอย่างเศร้าโศกเสียใจ
นายท่านไป๋ใจอ่อน “ข้าไม่ได้กล่าวโทษสิ่งที่เจ้าทำ เจ้า…เอาเถอะ เปลี่ยนหมอคนใหม่ ให้พ่อบ้านติงไปตาม”
พ่อบ้านติงเป็นคนสนิทของไป๋ถัง หลังจากที่ฮูหยินไป๋เข้ามาดูแลเรื่องต่างๆ ในบ้าน นางก็ย้ายเขาไปดูแลห้องเก็บของ ฮูหยินไป๋ไม่อยากให้ความสำคัญกับเขามาก แต่ก็ไม่ควรไปกระตุกหนวดนายท่านด้วยเรื่องนี้ นางจึงให้บ่าวนำความไปแจ้งแก่พ่อบ้านติง
…………………………………..