บทที่ 27 ครอบครัวสี่คน ลูกชายเรียกพ่อ (1)
โดย
Ink Stone_Romance
อวี๋เซ่าชิงได้รับการปล่อยตัวออกมาตามคำแนะนำของเหล่าขุนนางที่ทูลต่อฮ่องเต้ ทว่าเขายังเป็นผู้ต้องสงสัย จึงไม่อาจขยับตัวออกจากตำบลเหลียนฮวาได้ กระนั้นคนที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยเช่นเดียวกันอย่างเหยียนฉงหมิงก็ไม่สามารถออกไปจากเมืองหลวงได้
ระหว่างคนสองคน มีคนหนึ่งที่เป็นวีรบุรุษตัวจริง ชาวบ้านมิได้มีความเห็นต่อท่าทีของฮ่องเต้ เพียงแต่ตั้งหน้าตั้งตารอให้หาหลักฐานพบและเปิดเผยความจริงได้ในเร็ววัน
ฮ่องเต้มอบหมายเรื่องนี้ให้องค์ชายรอง ให้เขาร่วมมือกับคุกหลวงสืบหาความจริง
หลังจากเข้าเฝ้าเสร็จ เหยียนฉงหมิงมิได้ไปที่ใดต่อ เขาห้อตะบึงกลับจวนสกุลเหยียนทันที
เขารีบร้อนรุดเข้าไปยังเรือนชั้นใน แล้วถามสาวใช้ซึ่งกำลังกวาดพื้นอยู่ “คุณหนูใหญ่เล่า?”
สาวใช้ถูกนายท่านซึ่งโผล่มาจากที่ใดก็ไม่รู้ทำให้ตกใจกลัว จึงตอบตะกุกตะกักว่า “อยู่…อยู่ที่ศาลาเจ้าค่ะ”
เหยียนหรูอวี้กำลังเดินหมากล้อมอยู่ในศาลา หมากล้อมชุดนี้ตกทอดมานับร้อยปี ว่ากันว่าไม่มีผู้ใดแก้ได้ นางไม่เชื่อเป็นอันขาด
ลี่จื่อถูกรถม้าขององค์หญิงซยงหนูทับจนขาหัก ทุกวันนี้ข้างกายของเหยียนหรูอวี้ได้เปลี่ยนเป็นบ่าวระดับสองคนหนึ่ง นางชื่อว่าไฉ่ฉิน
ไฉ่ฉินไม่ได้ฉลาดเฉลียวเท่าลี่จือ ทว่ากลับไม่ได้เอะอายโวยวายเหมือนลี่จือ นางเพียงยืนนิ่งเงียบอยู่ด้านข้าง
“น้องสาว!” เหยียนเซี่ยเดินเข้ามา ใช้สายตาประเมินไฉ่ฉิน
เหยียนหรูอวี้พูดอย่างไม่รีบร้อน “อย่ายุ่มย่ามกับบ่าวของข้า”
เหยียนเซี่ยเบะปาก เขาเป็นนายท่านของจวนนี้ ยุ่มย่ามกับบ่าวแล้วอย่างไร? เพียงแต่บ่าวคนนี้ยืนนิ่ง มิได้ประจบประแจงเขาเหมือนกับลี่จือ ทำให้เหยียนเซี่ยหมดความสนใจในบัดดล หันไปจับจ้องเหยียนหรูอวี้ด้วยสายตาเปี่ยมความคาดหวัง “น้องสาวเดินหมากอยู่หรือ? เล่นคนเดียวจะไปสนุกอะไร? พี่ชายจะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าเอง!”
พูดจบก็ปัดหมากทั้งกระดาน ทำให้ความพยายามของเหยียนหรูอวี้ตลอดช่วงเช้านั้นหายลับไปกับตา
เหยียนหรูอวี้สีหน้าถมึงทึง “หากท่านไม่มีอะไรทำก็ไปเรียนหนังสือหรือรำกระบี่สิ! อย่ามาหาเรื่องข้า!”
เหยียนเซี่ยโมโหจนตาปูดโปน “เจ้าพูดกับพี่ใหญ่เจ้าแบบนี้รึ? เจ้าไม่รู้จักลำดับอาวุโสหรืออย่างไร? ข้าว่าหลังจากที่เจ้าเกี่ยวดองกับจวนคุณชายเยี่ยนแล้ว เจ้าก็ยิ่งไม่เห็นพี่ชายอยู่ในสายตา! เจ้าคิดว่าเจ้าเก่งกาจนักหรือ?”
เหยียนหรูอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ข้าไม่เก่งกาจ? เช่นนั้นท่านพี่ออกมาจากคุกหลวงได้อย่างไร? สกุลเหยียนพ้นโทษได้อย่างไร? ท่านพ่อได้เป็นท่านโหวได้อย่างไร? พี่ใหญ่ทำเรื่องรนหาที่ตายมากเพียงนั้น แต่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ได้อย่างไรกัน?”
“จะ…เจ้า…” เหยียนเซี่ยพูดจาตะกุกตะกัก เด็กคนนี้กล่าวได้ถูกต้องทุกประการ ที่สกุลเหยียนกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง ก็ล้วนเป็นเพราะน้องสาวของเขา มิเช่นนั้นครอบครัวของเขาก็คงยังนอนอยู่ในคุก อย่าว่าแต่ท่านพ่อของพวกเขาได้เป็นท่านโหวเลย แม้แต่ข้าวก็เกรงว่าคงจะกินไม่อิ่มท้อง
เข้าใจก็เข้าใจอยู่หรอก แต่เหยียนหรูอวี้ปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ ทำให้เหยียนเซี่ยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จ้องเขม็งไปยังเหยียนหรูอวี้ แค่นเสียงขึ้นจมูก “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ความลับของเจ้า”
เหยียนหรูอวี้สีหน้าขึงขังขึ้นทันที “ความลับอันใด?”
สายตาของเหยียนเซี่ยไปหยุดที่หน้าท้องแบนราบของเหยียนหรูอวี้
เหยียนหรูอวี้กำหมัดใต้แขนเสื้อแน่น
“อวี้เอ๋อร์!”
เหยียนฉงหมิงเข้ามาขัดจังหวะช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานของสองพี่น้อง เขาจับเสื้อขึ้น หายใจเป็นช่วงๆ แล้วบอกกับไฉ่ฉินว่า
“ไป…ไปรินน้ำชามาให้ข้า!”
“เจ้าค่ะ” ไฉ่ฉินตอบรับ
สองพี่น้องปรับสีหน้าเป็นปกติ
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” เหยียนฉงหมิงเอ่ยถามบุตรชาย
เหยียนเซี่ยกล่าวว่า “ข้ามาเดินหมากเป็นเพื่อนน้อง”
เหยียนฉงหมิงถลึงตาใส่บุตรชาย “ความสามารถด้านหมากล้อมของเจ้าต่ำเตี้ยเรี่ยดินเช่นนี้ ข้าว่าเจ้าต้องแพ้น้องอย่างแน่นอน! ยังไม่รีบไปเรียนหนังสืออีก! โตถึงเพียงนี้ จะรอให้ข้าขอตำแหน่งให้เจ้าหรืออย่างไร?”
ทุกคนในบ้านล้วนรักและเอ็นดูน้องสาว นับวันเขายิ่งไม่เหลือที่ยืนในบ้าน เหยียนเซี่ยแค่นเสียงขึ้นจมูก สะบัดแขนเสื้อเดินออกไปจากศาลา
โดยรอบปราศจากคน เหยียนฉงหมิงนั่งลงด้วยความตื่นตระหนก “อวี้เอ๋อร์ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! อวี๋เซ่าชิงออกมาจากคุกแล้ว!”
มือของเหยียนหรูอวี้ซึ่งกำลังวางหมากหยุดชะงักครู่หนึ่ง “พบพยานแล้วหรือ? เช่นนั้นท่านพ่อมีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ?”
หากอวี๋เซ่าชิงไร้ความผิด คนที่ผิดย่อมต้องเป็นเหยียนฉงหมิง หากเป็นเช่นนั้นเขาคงจะมิได้มีชีวิตอยู่รอดปลอดภัยในบ้านอีกต่อไปแล้ว
เหยียนฉงหมิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในราชสำนักให้บุตรสาวฟัง
เหยียนหรูอวี้คิดว่าเรื่องนี้ไม่ง่าย แม้ความดีความชอบของบิดานางจะยิ่งใหญ่ ทว่ายังเป็นมือใหม่ในราชสำนัก เหตุใดจึงมีขุนนางจำนวนมากแก้ต่างแทนเขากัน? หากเป็นเรื่องบังเอิญ ก็ออกจะบังเอิญไปสักหน่อย หากไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นางก็คิดไม่ออกว่าใครเป็นคนทำ
องค์ชายรอง? หรือว่าคุณชายเยี่ยน?
ลงทุนลงแรงถึงเพียงนี้เพื่อสตรี จะไม่มากไปสักหน่อยหรือ? เมื่อใดที่เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ฮ่องเต้ย่อมต้องสงสัยอย่างแน่นอน
“พอแล้ว ข้าไม่คิดแล้ว” เหยียนหรูอวี้กดขมับที่ปวดหนึบ
“เป็นอะไรหรือ อวี้เอ๋อร์” เหยียนฉงหมิงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” เหยียนหรูอวี้หยิบหมากสีขาวขึ้นมา แล้วบอกกับเหยียนฉงหมิงว่า “ไม้เด่นเกินพงพนา ลมพัดมาย่อมหักโค่น[1] ดูแล้วฝ่าบาทคงจะริษยาท่านพ่อ”
“อ่อ…” เหยียนฉงหมิงตะลึงงัน
เหยียนหรูอวี้ยิ้มจางๆ กล่าวว่า “ฝ่าบาททรงไม่ปรารถนาให้มีเซียวเจิ้นถิงคนที่สอง ในขณะเดียวกันก็ต้องการให้ท่านพ่อรู้ว่าแท้จริงแล้วใครเป็นผู้กุมชะตาชีวิตของท่านพ่อ ไม่ใช่ประชาชน ไม่ใช่เหล่าขุนนาง หากแต่เป็นโอรสสวรรค์ที่ไม่มีผู้ใดสูงส่งเกิน”
เหยียนฉงหมิงขบคิดคำพูดของบุตรสาว
เหยียนหรูอวี้กล่าวต่อว่า “ต่อไปท่านพ่อจำต้องถ่อมตน ทว่าหากมีผู้ใดมาผูกมิตร ก็ไม่ต้องสนใจ”
เหยียนฉงหมิงตกใจ “หา? เช่น…เช่นนั้นจะดีหรือ? หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ชื่อเสียงของข้าก็คงย่อยยับ”
เหยียนหรูอวี้ตอบเสียงราบเรียบว่า “ชื่อเสียงย่อยยับไม่สำคัญ การทำให้ไม่มีคนกล่าวโทษท่านได้นั้นสำคัญกว่า ท่านพ่อดูคุณชายเยี่ยน ก็จะเข้าใจว่าฝ่าบาททรงโปรดคนอย่างไร”
คนทั้งโลกหันหลังให้แล้วอย่างไร? ขอเพียงมีฝ่าบาทคอยคุุ้มกะลาหัวอยู่ ชีวิตก็จะรุ่งโรจน์ มีกินมีใช้ไปทั้งชาติ!
“แต่ว่า…” เรื่องนี้เหยียนฉงหมิงเข้าใจดี กระนั้นก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เขาวางใจไม่ลง “แม่ทัพเซียวมีทหารคนสนิทชื่อว่าโจวไหว เขารู้ว่าข้าไม่เคยพบกับแม่ทัพเซียว อู๋ซันกำลังไปตามหาเขา หากพาเขากลับมาได้จริง เรื่องนี้ก็จะเลยเถิดกันไปใหญ่”
เหยียนหรูอวี้หลุบตาลง บีบหมากสีดำในมือแน่น “ให้พวกเขามีปัญญาตามเขาเจอแล้วค่อยว่ากัน”
……
อวี๋เซ่าชิงได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว คนสกุลอวี๋ต่างก็โล่งอกโล่งใจไปตามกัน ก่อนหน้าที่อู๋ซันมาที่บ้านและเล่าว่าอวี๋เซ่าชิงถูกจับเข้าคุกหลวง ลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่เกือบลมจับเสียแล้ว โชคดีที่ในตอนนี้อวี๋เซ่าชิงกลับมาแล้ว
ได้ยินว่าชีวิตในคุกนั้นแสนลำบาก คนที่ถูกจับเข้าไปล้วนถูกทุบตีและปล่อยให้หิวโหย น้องสามจะต้องทุกข์ทรมานเป็นแน่
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าม้าด้านหน้าประตู ลุงใหญ่ก็ถือไม้เท้าเดินออกไป “น้องสามเจ้าดูผอม…ท้วมแล้ว…”
เขาไม่ได้รู้สึกไปเองใช่หรือไม่? เหตุใดน้องสามเข้าคุกไป แต่หน้ากลมขึ้นเล่า?
ในกองทัพยังต้องฝึกซ้อมและออกรบ แต่อยู่ในคุกหลวงกับได้แต่นอนๆๆ กินๆๆ แล้วก็นอนๆๆ แล้วก็กินๆๆ อาหารที่ลุงวั่นจัดเตรียมให้นั้นมีมากและหลากหลายเสียยิ่งกว่าอาหารในคืนฉลองวันส่งท้ายปี อวี๋เซ่าชิงรู้สึกเสียดาย จึงกินจนหน้ากลมด้วยประการฉะนี้
ทว่าที่กล่าวว่าหน้ากลมนั้น ก็เพราะเปรียบเทียบกับอวี๋เซ่าชิงผู้ผอมโซก่อนหน้านี้ การข้ามหุบเขาหิมะทำให้เหล่าทหารกล้าล้วนผ่ายผอม ในระยะเวลาครึ่งเดือนก็ไม่อาจทำให้อวี๋เซ่าชิงมีเนื้อหนังขึ้นมาได้ แต่ลุงวั่นมีวิธี
บัดนี้อวี๋เซ่าชิงร่างกายกำยำและหล่อเหลาอย่างแท้จริง จนนางเจียงยืนตาเป็นประกายอยู่ข้างๆ
“ซู้ด~” นางเจียงสูดน้ำลาย
ฝีมือทำอาหารของลุงใหญ่นั้นยอดเยี่ยม แต่สิ่งที่อวี๋เซ่าชิงชอบกินมากที่สุดกลับเป็นพริกหยวกทอดและไข่เจียวกุยช่ายฝีมือป้าสะใภ้ใหญ่ เพราะให้ความรู้สึกประหนึ่งรสมือแม่
…………………………………………………
[1] ไม้เด่นเกินพงพนา ลมพัดมาย่อมหักโค่น เปรียบเปรยถึงผู้ที่โดดเด่น ย่อมตกเป็นเป้าหมายในการโจมตี