บทที่ 21 เข้าเมืองหลวงรับรางวัล
โดย
Ink Stone_Romance
“แซ่อวี๋?” เหยียนหรูอวี้ขมวดคิ้ว ทุกวันนี้นางรู้สึกประหนึ่งเป็นภูมิแพ้คนสกุลอวี๋ จะบอกว่าหาเรื่องก็มิผิด
เหยียนฉงหมิงรู้สึกสลดใจ ทำให้ในตอนนั้นเขาไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของบุตรสาว จนนางพึมพำประโยคหนึ่งว่า “ใต้หล้ามีคนแซ่อวี๋ไม่มากหรอกกระมัง” เขามองบุตรสาวด้วยความประหลาดใจ “ลูกอวี้ มีอะไรหรือ?”
เหยียนหรูอวี้ได้สติกลับมา นางพยุงฮูหยินเหยียนกลับเรือนไป แล้วมานั่งลงข้างโต๊ะตัวเล็กสำหรับวางน้ำชาและขนม เอ่ยถามเหยียนฉงหมิงซึ่งนั่งอยู่ด้วยกันว่า “ท่านพ่อ วันก่อนข้าเจอองค์หญิงซยงหนู”
“อ่อ…องค์หญิงมากความผู้นั้น…” เหยียนฉงหมิงปวดเศียรเวียนเกล้ากับคนผู้นี้เหลือเกิน แม้ว่าจะเป็นตัวประกันจากประเทศผู้พ่ายแพ้สงคราม แต่นางมิได้สำนึกเลยแม้แต่น้อย ร้องแรกแหกกระเชอไปตลอดทาง ถึงอย่างนั้นบุรุษอกสามศอกอย่างพวกเขาเองก็ไม่ควรไปจุกจิกกับสตรี
“ลูกอวี้เจอนาง…นางคงไม่ได้มีปัญหากับลูกอวี้หรอกใช่ไหม?” เหยียนฉงหมิงถามด้วยความกังวล
บ่าวยกกาน้ำชาเข้ามา เหยียนหรูอวี้รับกาน้ำชา โบกมือให้บ่าว บ่าวก็ถอยออกไปอย่างรู้มารยาท
เหยียนหรูอวี้รินชาให้ท่านพ่อ “เปล่าเจ้าค่ะ ท่านพ่อวางใจได้ ข้าเพียงแต่เห็นนางสั่งสอนคนบ้านนอก…ข้างกายของนางคล้ายจะมีองครักษ์ชาวจงหยวนคนหนึ่ง”
กล่าวถึงตรงนี้ เหยียนหรูอวี้เริ่มสังเกตสีหน้าของบิดา
เป็นดังคาด ท่านพ่อของนางขมวดคิ้ว “องครักษ์ชาวจงหยวนคนนั้นก็คืออวี๋เซ่าชิง!”
เหยียนหรูอวี้รู้สึกประหนึ่งถูกของแข็งกระแทกศีรษะ อะไรกันนี่ ที่แท้พ่อของนางเด็กนั่นเป็นคนนำทัพขับไล่ซยงหนูจนแตกพ่าย หากได้รับการปูนบำเหน็จ จะไม่เกินหน้าเกินตาท่านพ่อของนางหรือ?
หากฐานะของอวี๋หวั่นสูงกว่าเหยียนหรูอวี้มาตั้งแต่ต้นก็ว่าไปอย่าง ทว่าบนโลกนี้ยังมีคนที่เคยเห็นช่วงเวลาที่ผู้อื่นตกยาก จึงไม่อยากให้คนผู้นั้นได้ดีไปกว่าตน
“ท่านพ่อ คนผู้นั้นเก่งกาจหรือไม่?” เหยียนหรูอวี้ถาม
เหยียนฉงหมิงตอบว่า “เก่งกาจมาก เก่งกาจเหลือเกิน เพียงแต่ปูมหลังต่ำต้อยไปหน่อย”
ในกองทัพ ทหารปกติและทหารที่ถูกเกณฑ์เข้ามานั้นแตกต่างกันมาก ดูจากคุณูปการที่เขาทำไว้ หากไม่ใช่เพราะเป็นทหารที่ถูกจับมาจากชนบท ป่านนี้คงไปยืนอยู่ในตำแหน่งของแม่ทัพเซียวแล้ว
“แต่ว่าครั้งนี้นับว่าเขาโชคดี ฝ่าบาทจะพระราชทานรางวัลด้วยตนเอง หลังจากนี้ฐานะคงสูงอย่างไม่ต้องสงสัย” เหยียนฉงหมิงทอดถอนใจ
เหยียนหรูอวี้ยกชาขึ้นมาจิบด้วยสีหน้าเรียบเฉย กล่าวว่า “ฝ่าบาทจะพระราชทานรางวัลให้เขาได้อย่างไร? เห็นชัดๆ ว่าคนที่สร้างความดีความชอบคือท่านพ่อ!”
“หืม?” เหยียนฉงหมิงตะลึงงัน แล้วมองไปยังบุตรสาวอย่างไม่เข้าใจ นางกลับจิบชาต่อ มิได้มองเขาแต่อย่างใด “ลูกอวี้หมายถึง…จะให้พ่อไปแย่งความดีความชอบเขาน่ะหรือ? ไม่ได้หรอก!”
“ทำไมจะไม่ได้เจ้าคะ?” เหยียนหรูอวี้วางถ้วยชาลง แล้วมองเหยียนฉงหมิง “ข้าขอถามท่านพ่อ เรื่องที่แม่ทัพเซียวส่งรายชื่อให้กับอวี๋เซ่าชิง มีบุคคลที่สามรู้เรื่องด้วยหรือไม่?”
“ไม่มีแน่นอน” เหยียนฉงหมิงส่ายหัว “คนผู้นั้นปิดปากสนิท พวกเราคิดว่าเขาบ้าไปแล้ว เหตุใดจึงไม่ยอมรอให้กองกำลังมาช่วย เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็จะข้ามภูเขาหิมะไปให้ได้! จนพบแม่ทัพใหญ่เซียว…ไม่สิ ในตอนที่เจอกับแม่ทัพเซียวเขาก็ไม่ได้ส่งมอบรายชื่อให้ เขาบอกกับแม่ทัพใหญ่เซียวว่าต้องการพบแม่ทัพผางเหรินแห่งโยวโจว แม่ทัพใหญ่เซียวจึงจะพาเขาไปที่จวนสกุลผาง เขาถึงจะส่งรายชื่อนั้นให้กับมือแม่ทัพผางเหริน ที่น่าขันก็คือ แม่ทัพผางเหรินหันไปส่งให้แม่ทัพใหญ่เซียวอีกที! เจ้าว่าคนผู้นี้ซื่อบื้อหรือไม่เล่า? ต่อหน้าแม่ทัพใหญ่เซียวยังไม่ประจบประแจง สุดท้ายแล้วรายชื่อนั้นก็ต้องส่งให้แม่ทัพใหญ่เซียวอยู่ดี!”
นี่มิได้เรียกว่าซื่อบื้อ คำสั่งทางการทหารหนักแน่นดังขุนเขา แม่ทัพเซียวสั่งให้เขาส่งให้แม่ทัพผางเหริน ย่อมต้องส่งให้แม่ทัพผางเหรินเท่านั้น แม้จะรู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายแล้วผางเหรินก็ต้องส่งให้แม่ทัพใหญ่เซียว
บุรุษผู้นี้หัวรั้นเสียจนน่ากลัว
เหยียนหรูอวี้ดึงผ้าเช็ดหน้าด้วยสีหน้านิ่ง “ในเมื่อไม่มีผู้อื่นรู้เรื่องนี้ แม่ทัพเซียวตายไปแล้วย่อมไม่มีพยาน เช่นนั้นก็ง่ายแล้ว”
“เจ้าจะทำอะไร?” เหยียนฉงหมิงเอ่ยถาม
เหยียนหรูอวี้หัวเราะ พูดว่า “แม่ทัพเซียวนำรายชื่อนี้ข้ามหุบเขาหิมะมาอย่างยากลำบาก ถูกกองทัพซยงหนูตามล่าจนบาดเจ็บสาหัส เขารู้ดีว่าตนคงอยู่บนโลกได้อีกไม่นาน ในตอนนั้นเองก็เจอกับท่านพ่อ แม่ทัพเซียวจึงมอบรายชื่อนั้นให้ท่านพ่อ สั่งท่านพ่อว่าต้องนำไปส่งให้กับแม่ทัพผางเหรินแห่งโยวโจวเท่านั้น”
เหยียนฉงหมิงตื่นตะลึง “ตะ…แต่เขาถูกอวี๋เซ่าชิงช่วยเอาไว้นะ…คนที่เขาพบหน้าก่อนตายก็คืออวี๋เซ่าชิง เรื่องนี้จะอธิบายว่าอย่างไร?”
เหยียนหรูอวี้หัวเราะ “อย่างที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ แม่ทัพเซียวอยู่ได้ไม่นาน เพื่อให้ท่านพ่อทำภารกิจได้สำเร็จ เขาจึงใช้ตัวเองหลอกล่อทหารซยงหนูแทนท่าน ระหว่างที่หลบหนีการไล่ล่า ท่านก็ไปเจอกับอวี๋เซ่าชิง ก็เท่านี้”
“หมายถึง…แม่ทัพเซียว…ให้รายชื่อกับข้ามา…แล้วข้า…ก็ให้รายชื่อนั้นกับอวี๋เซ่าชิง?” เหยียนฉงหมิงกล่าวทวนเพื่อให้แน่ใจว่าบุตรสาววางแผนเช่นนี้
นัยน์ตาของเยียนหรูอวี้เย็นเยียบ “ไม่ใช่ให้ แต่ว่าขโมย! เขาขโมยรายชื่อจากท่านพ่อ!”
“เอ่อ…นั่น…นั่น…” เหยียนฉงหมิงตกใจกลัวแผนการอันอาจหาญของบุตรสาว “นั่น นั่น…”
เหยียนหรูอวี้กล่าวว่า “ทรัพย์ศฤงคารอยู่ท่ามกลางพยันตราย ท่านพ่อ ถ้าลูกเดาไม่ผิด ท่านกับหัวหน้ากองพันคนนั้นก็มิได้ลงรอยกันเท่าไร ใช่หรือไม่?”
“เฮ้อ เรื่องนี้ก็ถูกเจ้ามองออกจนได้รึ?” เหยียนฉงหมิงพูดอย่างขื่นขม ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอวี๋เซ่าชิงเลวร้ายถึงเพียงนั้นเลยหรือ? หลังจากที่เขาได้ขึ้นเป็นแม่ทัพกุยเต๋อหลาง เขาก็ไม่ได้สร้างความลำบากใจให้อวี๋เซ่าชิงอีก
เหยียนฉงหมิงนิ่งเงียบ
ประสบการณ์บอกกับเขาว่า อวี๋เซ่าชิงไม่ใช่คนประเภทที่จะรังแกผู้อื่น ทว่าใจคนยากจะหยั่งถึง อวี๋เซ่าชิงไม่ลุกขึ้นสู้ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไร้ทางสู้ ครั้นเขามีอำนาจขึ้นมา เขาจะยอมปล่อยผู้ที่เคยรังแกเขาไปหรือ?
“ถ้าฝ่าบาทไม่เชื่อจะทำอย่างไร?”
นั่นเป็นเรื่องที่เหยียนหรูอวี้คะเนเอาไว้แล้ว
เหยียนหรูอวี้ตอบว่า “หากท่านพ่อกับเขาพูดไม่ตรงกัน ท่านพ่อคิดว่าฝ่าบาทจะเชื่อคำพูดของใคร?”
เหยียนฉงหมิงได้สติกลับมาทันที มองไปยังบุตรสาว ยืดอกเท้าเอว แล้วยกถ้วยชาขึ้นมาพร้อมกับกล่าวว่า “ย่อมต้องเชื่อว่าที่พ่อตาของเยี่ยนจิ่วเฉาที่พระองค์รักน่ะสิ”
เหยียนหรูอวี้ค้อมกายคำนับเล็กน้อย แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มสดใสดุจฤดูใบไม้ผลิว่า “ลูกขออวยพรล่วงหน้าให้ท่านพ่อได้รับการตบรางวัลอย่างงาม!”
เหยียนฉงหมิงหัวเราะร่า “เป็นลูกอวี้ของพ่อที่ฉลาดเฉลียว เก่งกว่าพี่ชายของเจ้าที่เอาแต่เที่ยวเล่นเป็นไหนๆ!”
เหยียนหรูอวี้ยิ้ม “วันนี้ท่านพ่อไปอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่เถิด ทุกคำพูดและการกระทำของท่านล้วนอยู่ในสายตาของผู้คน อย่าให้ใครนำไปพูดได้เป็นอันขาด”
เดิมทีเหยียนฉงหมิงคิดว่าจะไปพักผ่อนที่ห้องของอนุภรรยา เมื่อได้ยินบุตรสาวพูดเช่นนี้ก็คิดว่ามีเหตุผล อย่างไรเสียการให้ความสำคัญกับภรรยาหลวงก็เป็นสิ่งที่วิญญูชนพึงกระทำ หากเรื่องนี้แพร่ออกไปก็รังแต่จะเป็นผลดีกับตัวเขาเอง
เมื่อความคิดนี้แล่นปราดเข้ามาในสมอง เหยียนฉงหมิงระงับจิตกระสัน แล้วเดินไปหาภรรยาผู้ซึ่งชราลงทุกวันด้วยความลังเล
……
ฟ้ายังไม่ทันสว่าง อวี๋เซ่าชิงก็ตื่นแล้ว เขาดันท่อนขาที่พาดอยู่กลางเอวของเขาออกไป ดันมือที่เกาะก่ายอยู่บนร่างของเขาทั้งคืนออก จากนั้นก็ย่องลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบ
อู๋ซันรออยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้าน อวี๋เซ่าชิงไม่อาจพำนักอยู่ที่บ้านได้นานเกินไป เขายังต้องกลับไปกองทัพ หากฮ่องเต้ประสงค์จะพบเขา เขาก็อาจต้องเข้าวังหลวงไป
อวี๋เซ่าชิงมิได้ทำเสียงดังจนคนในบ้านตื่น หลังจากล้างหน้าบ้วนปาก เขาก็เข้าไปทำกับข้าวในครัว จากนั้นก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมชุดเกราะ แล้วค่อยๆ จูงม้าเดินออกไป
ครั้นจูงม้าจนออกนอกหมู่บ้านไป อวี๋เซ่าชิงจึงกระโดดขึ้นหลังม้า เกราะเย็นยะเยือกสะท้อนแสงตะวันเลือนรางบนเส้นขอบฟ้า
เมื่ออู๋ซันเห็นว่าเขาขึ้นม้าแล้ว จึงขี่ม้าของตนเช่นกัน อู๋ซันเข้าใจดีว่าเขาไม่อยากส่งเสียงดังจนทำให้คนในหมู่บ้านตื่น กล่าวตามตรง คนที่มียศเท่าอวี๋เซ่าชิงในตอนนี้ ทว่ามิได้เย่อหยิ่งโอหังนั้นนับว่าพบเห็นได้ยากยิ่ง
“อวี๋เฒ่า” อู๋ซันกล่าว ทั้งคู่ขี่ม้าได้แล้ว ก็หมายความว่าพูดคุยกันได้แล้วเช่นกัน “คนจากหมู่บ้านเจ้ากลับมาได้ทั้งหมดหรือไม่?”
อวี๋เซ่าชิงตอบ “มีเด็กคนหนึ่งไม่ได้กลับมา”
ไป๋เสี่ยวตุนอายุน้อยกว่าอวี๋เซ่าชิงสิบปี เขาถูกจับเข้ากองทัพไปตอนอายุสิบเจ็ดปีพอดิบพอดี ปีนี้เป็นปีที่เจ็ดแล้ว เพิ่งจะอายุยี่สิบสี่ กระดูกกลับถูกฝังกลบในสนามรบไปตลอดกาล
“เช่น…เช่นนั้นคนในครอบครัวของเขาก็คงต้องเศร้าเป็นแน่”
“แม่ของเขาร้องไห้อยู่นาน”
“ผมขาวส่งศพผมดำนั้นมัน…” อู๋ซันเกาหัว ลอบสบถกับสิ่งที่ตนพูด ทำไมถึงพูดเรื่องที่ทำให้คนเจ็บปวดเช่นนี้นะ เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “อวี๋เฒ่า ข้าได้ยินมาว่า วันนี้เจ้าต้องไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท ฝ่าบาทจะต้องปูนบำเหน็จให้เจ้าอย่างงาม แม่ทัพระดับสี่ก็ไม่เลว หากโชคดีก็อาจได้เป็นท่านโหวก็ได้!”
อู๋ซันไปส่งอวี๋เซ่าชิงเข้าวังหลวงด้วยตนเอง มองเขาเดินขึ้นตำหนักจินหลวนไป
กระนั้นเขาก็ไม่ได้รอคอยข่าวดีว่าอวี๋เซ่าชิงได้ปูนบำเหน็จอย่างงาม ในทางตรงกันข้าม กลับมีข่าวส่งมาว่าอวี๋เซ่าชิงได้รับโทษฐานหลอกลวงฮ่องเต้ และถูกจับเข้าคุกหลวง!
………………………………………..