บทที่ 1 แข่งขันทำอาหารระดับเทพ แม่ตัวจริงหรือตัวปลอม (3)
โดย
Ink Stone_Romance
เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งในแปดชั่วยามก่อนการแข่งขันรอบที่สามจะเริ่มขึ้น บรรดาพ่อครัวต่างเข้ามาประจำที่ อวี๋เฟิงถามผู้เข้าร่วมสองสามคน ทว่าก็หาได้มีผู้ใดพบเห็นอวี๋หวั่น
ลางสังหรณ์ที่เป็นลางร้ายค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจของอวี๋เฟิง เขาออกมาเพราะกังวลว่าอาหวั่นตามหาตนไม่พบจึงไม่ได้เข้าไปในห้อง และยืนอยู่ตรงทางเดินส่วนใดส่วนหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด เป็นไปไม่ได้ที่อาหวั่นจะไม่เห็นเขา หากไม่ได้ไปตามเขาก็มีแต่จะเกิดเรื่องขึ้นเท่านั้น
“พี่ใหญ่!”
ขณะที่อวี๋เฟิงตกอยู่ในความสิ้นหวัง อวี๋ซงก็รีบตามออกมา
“ข้ามิได้บอกให้เจ้าเฝ้าท่านพ่อไว้รึ?” อวี๋เฟิงกล่าวอย่างเย็นชา
อวี๋ซงกล่าวอย่างเหนื่อยหอบ “ข้าลืมบอกว่าอาหวั่นจะไปเอาน้ำแข็ง!”
น้ำแข็ง…อุโมงค์เก็บน้ำแข็ง?!
“องค์ชายรองเสด็จ…”
อวี๋เฟิงเดินไปได้เพียงหนึ่งก้าว ทันใดนั้นเสียงประกาศจากชาววังก็ดังมาจากด้านนอกหอเทียนเซียง และในทันใดนั้นทุกคนก็คุกเข่าลง
อวี๋เฟิงไม่มีทางเลือก ต้องดึงน้องชายให้ลงมาคุกเข่า
แม้เยี่ยนไหวจิ่งมักออกมาเดินเล่นท่ามกลางฝูงชน ทว่าส่วนใหญ่มักเป็นมาแบบส่วนตัวในชุดธรรมดา วันนี้เพื่อให้หอเทียนเซียงได้อวดความร่ำรวยจึงเปิดเผยตัวตนในฐานะองค์ชาย ทุกคนไม่เคยเห็นลูกมังกรหรือ? ถึงได้รีบร้อนวิ่งถลาออกไป ทำให้สองพี่น้องอวี๋ไม่อาจขยับตัวไปไหน
สวี่ส้าวเดินนำตระกูลของเข้าไปคำนับเยี่ยนไหวจิ่ง
ฝูงชนก็ติดตามไปกราบสามครั้ง คำนับเก้าครั้ง[1]
อวี๋ซงรีบร้อนแทบขาดใจ “องค์ชายอันใดนี่ เหตุใดไม่รีบเดินไป?”
พวกเขาต้องรีบไปตามหาน้องสาว!
ตอนนี้ เจ้าก้อนอ้วนกลมในกรงที่อยู่บนรถม้าด้านหลังเยี่ยนไหวจิ่งเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศของหอเทียนเซียงอย่างระแวดระวัง พลางกัดกรงเหล็กดังแกร๊กสองครั้ง
และหนีออกไปอย่างรวดเร็ว!
“องค์ชายทรงเสด็จมาเยี่ยมชมหอเทียนเซียง ช่างเป็นเกียรติแก่หอเทียนเซียงยิ่ง…” สวี่ส้าวกล่าวด้วยใบหน้าเบิกบาน
สายตาของเยี่ยนไหวจิ่งไล่ตามเจ้าก้อนอ้วนกลม พลันยกมือไปทางสวี่ส้าว
สวี่ส้าวรีบหุบปากเงียบในฉับพลัน
เยี่ยนไหวจิ่งจ้องมองเขาและเดินเข้าไปในหอเทียนเซียงด้วยท่าทางสง่าผ่าเผยทรงพลัง
ทุกคนมองเห็นแววตาอันเยือกเย็นดุจน้ำแข็งของเขา ต่างรีบหลีกทางให้ด้วยความหวาดหวั่น
………………
อวี๋หวั่นสูดควันมากเกินไปจนเกิดอาการเวียนหัว จนแทบไม่อาจถือค้อนได้อีกต่อไป
“อีก…อีกนิดเดียว…”
อวี๋หวั่นกระแทกค้อนลงไปอีกครั้ง แม้แต่ที่เจาะน้ำแข็งก็ร่วงหลุดมือ
อวี๋หวั่นล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง
เธอพยายามเต็มที่แล้ว
แต่มันก็…ไม่มีทางจริงๆ
เธอไม่ไหวแล้ว…
เคร้ง!
ตัวกั้นทองเหลืองถูกกัดจนขาดออก
กรงเล็บเจ้าก้อนอ้วนกลมตะกุยประตูเหล็กด้วยความเร็ว
เมื่อเยี่ยนไหวจิ่งเดินมาถึงห้องเก็บน้ำแข็ง สิ่งที่เขาเห็นคือเจ้าก้อนอ้วนกลมกำลังข่วนและกระแทกประตู
“ฉางอัน” เยี่ยนไหวจิ่งส่งสายตา
จวินฉางอันอุ้มเจ้าก้อนอ้วนกลมขึ้นมาและดึงประตูเปิดออก
เจ้าก้อนอ้วนกลมโง่เขลาที่พยายามอยู่นาน “…”
ประตูเหล็กถูกดึงเปิดออก ร่างของอวี๋หวั่นที่พิงประตูอยู่ก็ล้มลงมาโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
จวินฉางอันรีบเข้าไปช่วยเธอ ทว่าเยี่ยนไหวจิ่งกลับรีบสืบเท้าก้าวเข้าไปรับร่างอวี๋หวั่นที่เกือบสิ้นสติไว้ในอ้อมแขน
อวี๋หวั่นมองเขาอย่างมึนงง “เยี่ยน…”
อวี๋หวั่นอยากจะเรียกชื่อเขาให้จบ ทว่าด้วยฤทธิ์ยา ศีรษะของเธอค่อยๆ เคลื่อนคล้อยและภาพทุกอย่างก็ดำมืด
เยี่ยนไหวจิ่งได้กลิ่นควันจางๆ ทว่าจวินฉางอันปิดประตูไว้ได้ทัน เขาไม่ได้สูดเข้าไปมากนัก ทว่าไม่ใช่กับแม่นางอวี๋ นางอยู่ข้างในเป็นเวลานาน เกรงจะเป็นอันตรายต่อชีวิต
“ฉางอัน ตามหมอหลวง!”
ทันทีที่เขาพูดจบ เสียงกรนเบาๆ ที่สม่ำเสมอก็ออกมา ‘คร่อก~ คร่อก~’
“…”
“…”
มุมปากของจวินฉางอันกระตุก
ใบหน้าเยี่ยนไหวจิ่งมืดมน
…
เยี่ยนไหวจิ่งพาอวี๋หวั่นที่สลบหลับใหลขึ้นไปยังห้องพักรับรอง
องค์ชายรองรีบร้อนไปที่ห้องเก็บน้ำแข็ง และเมื่อเขาออกมาก็มีร่างของสตรีผู้หนึ่งอยู่ในอ้อมแขน ทุกคนไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ผลักกันชะเง้อคอมอง อยากเห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับสตรีในอ้อมแขนขององค์ชายรอง ทว่าองค์ชายรองได้ห่อหุ้มตัวเธอด้วยเสื้อคลุมอย่างแน่นหนา ทำให้พวกเขาไม่อาจเห็นแม้เพียงผมสักเส้น
แม้พวกเขาไม่เห็น ก็มิได้หมายความว่าเหยียนหรูอวี้จะเดาไม่ออก
สตรีที่ออกมาจากอุโมงค์เก็บน้ำแข็งจะมีผู้ใดอีกนอกจากสาวชาวบ้านคนนั้น
เหยียนหรูอวี้มองลงไปพลางจิบน้ำชา “โชคดีเสียจริง!”
ไม่แปลกที่เยี่ยนไหวจิ่งช่วยชีวิตผู้คน เขาเป็นองค์ชาย ย่อมห่วงใยประชาชนและดูแลประเทศ หากพบเหตุการณ์เช่นนี้แล้วไม่ช่วยเหลือคงเป็นเรื่องแปลก ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เหยียนหรูอวี้ไม่เข้าใจ เหตุใดองค์ชายรองต้องอุ้มสตรีชาวบ้านด้วยตัวเอง แทนที่จะเป็นองครักษ์?
เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในหอเทียนเซียง สวี่ส้าวจึงไม่อาจหลีกหนีความรับผิดชอบ เขาพาพนักงานติดตามไปด้วยความกลัวและกังวลใจ “ยังไม่รีบไปช่วยดูแลอีก?”
บรรดาสาวใช้แม่บ้านที่ดูดีหลายคนยื่นมือมารับอวี๋หวั่น
เยี่ยนไหวจิ่งตอบอย่างเย็นชา “ออกไป!”
พวกนางรีบเดินออกไปด้วยร่างกายสั่นระริก
เยี่ยนไหวจิ่งวางอวี๋หวั่นลงบนเตียงนุ่มและปิดประตู
“ฉางอัน”
“ขอรับ”
จวินฉางอันติดตามเยี่ยนไหวจิ่งมานาน บางเรื่องเยี่ยนไหวจิ่งไม่จำเป็นต้องสั่ง เพียงแค่มองตาครั้งเดียว จวินฉางอันก็เข้าใจได้ว่าเขาหมายถึงอะไร
จวินฉางอันไปตรวจสอบห้องเก็บน้ำแข็ง
และสืบพบว่าเป็นฝีมือคนของหอหม่านเจียงได้ไม่ยากนัก ทันทีที่องค์ชายรองช่วยคนออกมาจากห้องเก็บน้ำแข็ง คนของหอหม่านเจียงก็รู้ตัวว่ากำลังจะเจอปัญหาหนักแล้ว
ผู้ใดจะคิดเล่าว่าแม่ครัวตัวเล็กๆ จะโชคดีมีองค์ชายรองมาช่วย?
หลายคนพยายามจะหลบหนี ทว่าก็ถูกจวินฉางอันจับตัวกลับมา
ทั้งสามสารภาพความผิดของพวกเขา แต่เหตุการณ์ยังไม่จบ
เมื่อจวินฉางอันเข้ามาในห้องอีกครั้ง เจ้าก้อนอ้วนกลมก็กำลังถูหน้าอกด้วยท่าทางแสนสบายในอ้อมแขนของอวี๋หวั่น
เยี่ยนไหวจิ่งยืนอยู่หน้าเตียง จ้องมองอวี๋หวั่นอยู่ครู่หนึ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเปิดเผยใบหน้าให้นางเห็น ก่อนหลับไปนางเรียกว่า ‘เยี่ยน’ นางรู้ว่าเขาแซ่เยี่ยนได้อย่างไร?
“ฝ่าบาท” จวินฉางอันเอ่ยขัดจังหวะความคิดของเขา
“มีอันใด?” เยี่ยนไหวจิ่งที่เฝ้าอวี๋หวั่นอยู่หันมามอง
จวินฉางอันบอกเยี่ยนไหวจิ่งเรื่องการแข่งขันของสกุลอวี๋ พร้อมกับแบมือให้เห็นถังเหล็กขนาดเล็กที่มีสัญลักษณ์ประจำตระกูลแปลกประหลาด “…นี่ไม่ใช่เรื่องขัดแย้งธรรมดา ข้าพบสิ่งนี้ในห้องใต้ดิน มันคือสิ่งที่ปล่อยควันออกมา”
เยี่ยนไหวจิ่งหยิบถังเหล็กขนาดเล็กมาดูและเอ่ยอย่างครุ่นคิด “นี่คือ…”
“เผ่าปีศาจหนานเจียง” จวินฉางอันกล่าว
สายตาของเยี่ยนไหวจิ่งฉายแววประหลาดใจ เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับเผ่าปีศาจหนานเจียง ทว่ามันเป็นเพียงข่าวลือและไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นพวกเขาจริงๆ “พ่อครัวพวกนั้น…”
“ไม่ใช่พวกเขา” จวินฉางอันกล่าวอย่างลังเล
เยี่ยนไหวจิ่งท่าทีเคร่งขรึม “มีอันใดก็ว่ามา”
จวินฉางอันตอบ “ข้าเห็นผู้ติดตามของคุณชายสวี่อยู่ใกล้ๆ ห้องเก็บน้ำแข็ง”
“สวี่เฉิงเซวียน?” ดวงตาของเยี่ยนไหวจิ่งฉายแววเย็นชา
…
เมื่ออวี๋หวั่นตื่นขึ้น เยี่ยนไหวจิ่งก็จากไปแล้ว เจ้าก้อนอ้วนกลมที่ถูหน้าอกของเธอทำให้จวินฉางอันรู้สึกอึดอัดที่จะอุ้มมันออก
เยี่ยนไหวจิ่งปิดข่าวไม่ให้เล็ดลอดออกไป จึงไม่มีผู้ใดรู้ว่าคนที่เขาช่วยไว้คือแม่ครัวผู้ช่วยของหอจุ้ยเซียน
คนสกุลอวี๋ทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี ก่อนที่เยี่ยนไหวจิ่งจะจากไป เขาให้คนมาส่งข่าวบอกคนสกุลอวี๋ว่าอย่าต้องกังวล
อวี๋หวั่นกลับไปที่ห้อง พร้อมกับทราบเรื่องจากปากของลุงใหญ่และพี่ชายทั้งสอง ว่าเธอได้รับการช่วยเหลือจากองค์ชายรอง
ลุงใหญ่กล่าวอย่างจริงใจ “องค์ชายรองเป็นคนดียิ่งนัก”
อวี๋เฟิงพยักหน้า “ใช่”
อวี๋ซง “หึ!”
ด้านนอกมีเสียงบุรุษสองสามคนสนทนากัน
“เจ้าได้ยินรึไม่ คนจากหอหม่านเจียงเข้าไปหาองค์ชายรอง ถูกโบยสามสิบครั้ง แล้วยังถูกเตะออกจากการแข่งขันด้วย”
“สมควรแล้ว ผู้ใดใช้ให้พวกเขาไม่ระวัง!”
คนสกุลอวี๋สบตากันไม่เอ่ยสิ่งใด ก่อนจะกระแอมและไปเตรียมตัวแข่งขัน
หอหม่านเจียง ‘ลบหลู่’ องค์ชายรอง ทำให้การแข่งขันในรอบที่สามล่าช้า เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น อวี๋หวั่นก็ตื่นพอดี
คนสกุลอวี๋ทุ่มเทแรงกายแรงใจแข่งขันในรอบสุดท้ายของวันนี้
ลุงใหญ่เคยเห็นพ่อครัวเจียงทำอาหารมาก่อน ฝีมือการทำอาหารของเขาไม่ด้อยไปกว่าพ่อครัวโหยวและแม่นางตู้ เพียงแต่ฝีมือก็ไม่คงที่เท่าทั้งสอง ทว่าหากใช้สมาธิจดจ่อกับการแข่งในรอบที่สาม ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเข้ารอบ หากแต่เหล่าผู้ช่วยกลับทำให้เดือดร้อนจนถูกตัดสิทธิ์ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก
วัตถุดิบที่ได้รับในรอบที่สามคือถั่วแดง
พ่อครัวโหยวยังคงทำอาหารตามเกณฑ์ นั่นก็คือโจ๊กล่าปา
แม่นางตู้ถนัดของหวาน จึงทำขนมถั่วแดงมันแดงข้าวม่วง[2]
ลุงใหญ่โขลกถั่วแดงครึ่งหนึ่งทำเป็นไส้ถั่วแดง แล้วส่งให้อวี๋หวั่นปั้นหลงเปาหนึ่งลูก อีกครึ่งหนึ่งต้มกับเคียมซิก[3]และขาไก่ทำน้ำแกงเข้มข้น
ซาลาเปาไส้ถั่วแดงเนียนนุ่มหวานมันหนึ่งคำ กับน้ำแกงไก่รสเค็มสดใหม่ร้อนๆ มีกลิ่นหอมเข้มข้นหนึ่งคำ พ่อครัวรุ่นใหญ่ลิ้มรสอย่างเอร็ดอร่อย
รอบที่สามผ่านไป หอจุ้ยเซียนได้ผ่านเข้ารอบไปอย่างไม่ต้องสงสัยใดๆ
“คนพวกนั้นก็ผ่านรึ?” เหยียนหรูอวี้ขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ “แม้หอหม่านเจียงจะไม่อยู่แล้ว ทว่ายังเหลือหอหมิงเยว่ ร้านชิงเฟิง และร้านวั่งชวน เหตุใดพวกเขาถึงพ่ายแพ้ให้กับพ่อครัวจากชนบท?”
แววตาของสาวใช้เป็นประกาย “คุณหนู เป็นไปได้หรือไม่ว่านางสุนัขจิ้งจอกจะใช้แผนการบางอย่าง?”
เหยียนหรูอวี้ชะงักไปครู่หนึ่ง พลันหัวเราะเยาะออกมา “เกือบลืมไป นางเป็นคนที่องค์ชายรองพาไปที่ห้อง”
ชายหนุ่มหญิงสาวอยู่ในห้องเดียวกัน บางทีองค์ชายรองอาจได้ครอบครองร่างกายของนางไปแล้วก็เป็นได้
เหยียนหรูอวี้เชื่อว่าที่คนสกุลอวี๋ผ่านเข้ารอบเป็นเพราะความสัมพันธ์ลับกับองค์ชายรอง แม้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์ชายรองถึงตาต่ำไปชอบสตรีบ้านนอกเยี่ยงนาง ทว่าก็ไม่มีเหตุผลใดนอกจากนี้แล้ว ไม่มีทางที่คนสกุลอวี๋จะมีความสามารถแข่งกับแม่นางตู้และพ่อครัวโหยวได้
“เอาล่ะ การแข่งขันจบแล้ว เราก็ควรจะกลับไปที่คฤหาสน์ เจ้าไปตามแม่หลินกับคุณชายน้อยมา”
เด็กน้อยส่งเสียงดังโวยวายเท่ากับเหยียนหรูอวี้ถึงสองคน เหยียนหรูอวี้จึงให้แม่หลินและแม่นมพาออกไป
สาวใช้รีบไปตามหา ทว่ากลับพบเพียงแม่หลินและแม่นมที่อยู่ในสภาพย่ำแย่
“คุณชายน้อยเล่า?” สาวใช้ถามด้วยความตกใจ
แม่หลินถือข้าวด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็จับพยุงเอวของตนเอง เอ่ยอย่างกระหืดกระหอบ “ไม่…ไม่รู้…”
ทันทีที่ทั้งสามออกมา ก็วิ่งราวกับม้าแหกคอกหายไปที่ใดแล้วก็ไม่รู้!
…
เด็กทั้งสามที่วิ่งหายไป ยามนี้กำลังเกาะขอบประตูห้อง โผล่หัวออกไปเงียบๆ ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองอวี๋หวั่นที่กำลังยุ่งตาไม่กะพริบ
ลุงใหญ่และพี่ชายไปเจรจาเรื่องการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ ส่วนอวี๋หวั่นอยู่เก็บข้าวของที่ห้อง
เธอรู้สึกราวกับมีบางอย่างแปลกๆ จึงหันไปมองอย่างรวดเร็ว หัวเล็กๆ ทั้งสามหลบออกไปไม่ทัน
ดวงตาของเธอเป็นประกายสดใส “พวกเจ้าเองหรือ?”
เด็กน้อยตัวอ้วนกลมที่ถูกจับได้ก้มหน้าด้วยความเขินอาย
อวี๋หวั่นพาทั้งสามเข้ามา
พวกเขาก่อเรื่องมาทั้งวัน เหงื่อซึมเปียกทั้งตัว ใบหน้าเล็กๆ สกปรกมอมแมม
อวี๋หวั่นหยิบน้ำมาล้างหน้าล้างมือและเช็ดเหงื่อให้กับทั้งสาม “กินอะไรมาหรือยัง?”
ท้องของเด็กทั้งสามพร้อมใจร้องคำราม
อวี๋หวั่นเปิดกระเป๋า หยิบซาลาเปาหมูไส้ถั่วแดงออกมาสามชิ้น
ซาลาเปาไส้ถั่วแดงที่ทำในช่วงการแข่งขันรอบที่สาม เธอแอบคีบมาสองสามชิ้นไว้ให้พวกเขา ทว่าเธอก็ไม่แน่ใจว่าจะได้พบพวกเขาหรือไม่
“ข้าโชคดียิ่งนัก ใช่หรือไม่?” อวี๋หวั่นเผยรอยยิ้มพลางลูบหัวเด็กทั้งสาม
เด็กๆ คว้าซาลาเปาหมูขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย
ขณะที่ดูพวกเขากิน อวี๋หวั่นรู้สึกอิ่มเอมใจเกินบรรยาย
“คอแห้งรึไม่?” อวี๋หวั่นรินน้ำให้พวกเขา
ทั้งสามดื่มน้ำอย่างเชื่อฟังและเคี้ยวซาลาเปาหมูในมือต่อ
เมื่อเหยียนหรูอวี้มาถึง สิ่งที่เห็นคือเด็กน้อยสามคนกำลังกินอาหารอย่างเชื่อฟัง และอวี๋หวั่นก็มองพวกเขาด้วยใบหน้าที่แสนอ่อนโยน
ดวงตาของเหยียนหรูอวี้สัมผัสถึงความร้อนผ่าวอย่างรุนแรง
เด็กชายตัวเล็กๆ ที่ไม่เคยสงบนิ่งยามที่อยู่ต่อหน้านางเมื่อครู่ กลับกลายเป็นทารกน้อยแสนเชื่อฟังในมือของสตรีผู้นี้…นางใช้วิธีอันใดหลอกล่อให้พวกเขาลุ่มหลงได้ถึงเพียงนี้?
“โอ้ คุณชายน้อย พวกท่านอยู่ที่นี่เองหรือ?” แม่หลินตบหัวใจด้วยความโล่งอก พลันเดินเข้าไปในห้อง แต่ก็ต้องชะงันที่เห็นอวี๋หวั่นอยู่ข้างๆ “แม่นางอวี๋?”
อวี๋หวั่นมองนางและเหยียนหรูอวี้ที่ยืนอยู่นอกประตู รอยยิ้มของเธอพลันจางหายและยืนขึ้นอย่างช้าๆ
เหยียนหรูอวี้เข้ามาในห้อง มองอวี๋หวั่นผ่านหางตาอย่างดูถูก และเอ่ยกับเด็กน้อยทั้งสาม “แม่มิได้บอกรึว่าอย่ากินของที่ผู้อื่นให้? ยังไม่วางอีก?”
ทั้งสามไม่ยอมวาง
“อย่าต้องให้แม่กล่าวอีกเป็นครั้งที่สอง”
พวกเขาก็ยังไม่ปล่อย!
บุตรชายของตัวเองหักหน้านางต่อหน้าอวี๋หวั่น สิ่งนี้ทำให้เหยียนหรูอวี้เดือดดาลจนแทบคลั่ง
ทว่าอยู่ต่อหน้าผู้คนนางจำต้องอดทน “พวกเจ้า พาคุณชายน้อยไปขึ้นรถม้า”
นางออกคำสั่ง องครักษ์ผู้มีวิทยายุทธ์สองสามคนเข้ามากวาดต้อนเด็กน้อยที่พยายามขัดขืนออกไป
จากนั้นเหยียนหรูอวี้ก็เดินจากไป
ด้านในรถม้า เหยียนหรูอวี้แย่งซาลาเปาจากมือทั้งสาม และโยนออกจากรถม้าอย่างไม่ใยดี “กลับบ้าน!”
…………………………………………………….
[1] กราบสามครั้ง คำนับเก้าครั้ง คือ การคำนับเจ้านาย หรือบูชาเทพเจ้า โดยก้าวท้าวซ้ายไปข้างหน้า คุกเข่าขวาลง จากนั้นจึงคุกเข่าซ้าย และโค้งคำนับศีรษะให้ครบสาม แล้วจึงยืนตรงขึ้นทำแบบเดิมจนครบสามครั้ง
[2] ขนมถั่วแดงมันแดงข้าวม่วง เป็นเค้กทำจากถั่วแดง มันหวาน และ ข้าวไรซ์เบอรี่
[3] เคียมซิก เป็นสมุนไพรจีนรสหวานอมฝาดที่มีสรรพคุณบำรุงไตและม้าม