[เล่ม 2] บทที่ 1 แข่งขันทำอาหารระดับเทพ แม่ตัวจริงหรือตัวปลอม (1)
โดย
Ink Stone_Romance
“เช่นนั้นคุณชายน้อยทั้งสามก็ถูกส่งมาอยู่ในมือท่านแล้ว”
ฟางมามาเอ่ยอย่างอ่อนโยน
เหยียนหรูอวี้ไม่คิดว่าเด็กๆ ที่นางพยายามใช้ทุกวิธีเพื่อนำตัวมา จะถูกพระชายาส่งมาให้อย่างง่ายดาย
ฟางมามารู้สึกประหลาดใจ ‘คู่หมั้น’ ที่ไม่ได้รับความโปรดปราน จู่ๆ ก็มีความสำคัญต่อพระชายามากขึ้น ไม่คิดว่าแปลกหรือ
ฟางมามากล่าวด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน “คุณชายไม่สบาย พระชายาคอยดูแลอยู่ ส่วนคุณชายน้อยยังเด็กนัก จึงไม่ควรให้ป่วยไปด้วย ช่วงนี้คงต้องรบกวนคุณหนูเหยียนช่วยดูแลพวกเขา”
เหยียนหรูอวี้กล่าวอย่างอบอุ่น “ท่านพูดราวกับข้าเป็นคนอื่นคนไกล ข้าเป็นแม่ของพวกเขา ข้าก็ควรจะดูแลพวกเขาอยู่แล้ว ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจพระชายายิ่งนักที่อนุญาตให้ข้าดูแลพวกเขา”
ฟางมามาตอบ “เช่นนั้น ต้องลำบากคุณหนูแล้ว”
…
ปลายเดือนสอง โรงงานขนาดย่อมของสกุลอวี๋จัดเตรียมสินค้าตามคำสั่งที่ได้รับในงานเลี้ยงวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าเว่ย และส่งมอบสินค้าชุดแรกให้กับนายท่านฉินได้สำเร็จ เต้าหู้เหม็นสีดำแปดร้อยชั่งกับเต้าเจี้ยวหมักสามสิบกระปุก
วัตถุดิบเหล่านี้ นายท่านฉินส่งไปยังหอจุ้ยเซียนที่ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองหลวงมากที่สุดสองแห่ง
เต้าหู้เหม็นที่เพียงมองก็เหม็นฟังก็เหม็น เดิมทีคิดว่าคงใช้เวลานานในการเปิดตลาด ทว่ากลับขายหมดภายในเวลาไม่ถึงสองวัน
นายท่านฉินจึงรีบสั่งสินค้าชุดถัดไปทันที แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการแข่งขันทำอาหารระดับเทพที่ยิ่งใหญ่ ที่จะจัดขึ้นในเมืองหลวง
“ของที่ข้าสั่งไว้ เจ้าค่อยๆ ทำเถิด ข้าไม่รีบ” นายท่านฉินกล่าวอย่างใจกว้าง
อวี๋หวั่นตอบ “ถึงแม้จะรีบร้อนก็ทำไม่ได้ เพราะไม่มีเครื่องมือทุ่นแรง ไม่อาจเพิ่มผลผลิตของเต้าหู้ได้”
นายท่านฉินครุ่นคิด “เครื่องมือที่เจ้าว่าคือ…”
อวี๋หวั่นตอบ “เครื่องแม่แรงและเครื่องใช้อื่นๆ อีกสองสามอย่างที่ข้าต้องการ”
นายท่านฉินสีหน้าครุ่นคิดจริงจัง “ข้าไม่เคยได้ยินสิ่งของที่เจ้าว่ามาเลย ทว่าข้ารู้จักช่างฝีมือเก่งกาจที่น่าจะช่วยเจ้าสร้างมันได้ เป็นคนรู้จักเก่าของข้า คิดราคาไม่สูงเกินไป”
เธอพยายามหาแทบตายก็หาไม่เจอ พอเลิกหาเลิกสนใจ กลับได้มาเสียง่ายๆ เครื่องมือเหล็กเป็นของใช้ในราชวงศ์โจว ตอนแรกเธอก็กังวลว่าร้านขายเหล็กจะไม่ทำให้
“ข้าต้องขอบคุณนายท่านฉินล่วงหน้า” อวี๋หวั่นเดินเข้าไปในห้อง หยิบถ่านขึ้นมาวาดรูป
นายท่านฉินมองรูปวาดในมือของเธออย่างประหลาดใจ
“แม่นางอวี๋…ลายเส้นของเจ้าไม่เลวเลย”
ภาพนี้วาดออกมาได้ดีไม่แพ้ช่างฝีมือระดับสูง หากเขาไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง คงไม่เชื่อว่าภาพนี้เป็นฝีมือของสตรีคนหนึ่งในหมู่บ้าน
“แม่นางอวี๋ช่างน่าประทับใจเสียจริง!”
นายท่านฉินตั้งหน้าตั้งตารอการแข่งขันใหญ่ที่กำลังจะมาถึงในอีกสามวันข้างหน้า แม้อวี๋ไคหยางจะเป็นพ่อครัวหลัก ทว่าเขามีลางสังหรณ์ว่าเด็กสาวผู้นี้จะสร้างความโดดเด่นเหนือผู้ใด
…
การแข่งขันปรุงอาหารระดับเทพจะมีขึ้นในวันที่สามเดือนสอง
วันนี้คนสกุลอวี๋ตื่นแต่เช้าตรู่ ป้าสะใภ้ใหญ่เข้าไปเตรียมอาหารเช้าในห้องครัว ทำข้าวฟ่างต้มผสมข้าวเล็กน้อย ธัญพืชเนื้อแน่นอย่างอัวอัวโถวและโรยด้วยต้นหอมสดและผักดองที่ทำเองอีกสองสามชิ้น สมาชิกของครอบครัวกินกันอย่างเอร็ดอร่อยไม่เหลือแม้แต่ต้นหอมสักใบ
อวี๋ซงกินอัวอัวโถวแปดชิ้นในคราวเดียว แต่ก็ไม่อิ่ม หมายจะไปตักมาเพิ่ม
“พอแล้ว” ป้าสะใภ้ใหญ่กดเขาให้นั่งลง “หากกินเยอะไปอาจไม่สบายตัวระหว่างทางได้ ข้านึ่งหมั่นโถวไว้แล้ว พวกเจ้าไปถึงแล้วค่อยกิน”
อวี๋ซงส่งเสียงอ้อ พลางมองไปที่อวี๋หวั่นที่กำลังกินโจ๊กเงียบๆ และเอ่ยว่า “ไม่…ไม่ต้องแล้ว ข้าอิ่มแล้ว!”
“พี่รองกินน้อยขนาดนี้เลยหรือ?” อวี๋หวั่นเงยหน้าขึ้นกล่าว
อวี๋ซงจ้องเธอ “เจ้าคิดว่าข้าเป็นถังข้าวสาร[1]รึ!”
อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว อัวอัวโถวแปดชิ้นก็คงอยู่ไม่ไกลจากถังข้าวสารสักเท่าใดกระมัง…
สถานที่จัดการแข่งขันใหญ่อยู่ที่หอเทียนเซียงบนถนนฉางอันในเมืองหลวง ว่ากันว่าเป็นหางเสือหลักของหอเทียนเซียง มีขนาดใหญ่กว่าที่ตั้งบนถนนเสวียนอู่ที่พวกเขาเคยไปถึงสามเท่า
มีร้านอาหารหลายสิบแห่งเข้าร่วมการแข่งขัน แต่ละแห่งส่งพ่อครัวมาได้สองคน ทว่าหอเทียนเซียงในฐานะเจ้าภาพ จึงส่งพ่อครัวมาถึงสี่คน หนึ่งในนั้นคือพ่อครัวเทพเป้า
หอจุ้ยเซียนมีพ่อครัวมาเข้าร่วมสองคน ทว่าหนึ่งในนั้นเกิดล้มป่วยกะทันหัน
“พ่อครัวอวี๋ แม่นางอวี๋ พี่น้องสกุลอวี๋!”
เสียงนายท่านฉินดังมาจากด้านนอกบ้านหลังเก่า
ป้าสะใภ้ใหญ่เก็บชามและตะเกียบของอวี๋หวั่นที่กินไปเพียงครึ่งหนึ่ง “ไปเถิด”
อวี๋หวั่นพยักหน้า ลุกขึ้นกล่าวทักทาย “เหตุใดนายท่านฉินมาเช้านัก?”
นายท่านฉินยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ให้เช้าได้อย่างไร หากไปสายเจ้าจะหมดสิทธิ์เข้าแข่งขัน เจ้ายังมิได้ทานอันใดมาใช่รึไม่? ข้าเตรียมอาหารไว้ในรถม้าแล้ว”
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างรีบร้อน “ข้ากินมาแล้ว”
“เช้าขนาดนี้น่ะรึ?” นายท่านฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
อวี๋หวั่นเอ่ยในใจ เท่านี้จะนับประสาอันใด? ยามที่เริ่มธุรกิจในช่วงแรก ยังไม่ทันพ้นราตรีก็เคยตื่น
การแข่งขันแบ่งออกเป็นสามวัน วันแรกยังไม่ใช้วัตถุดิบของตนเอง อวี๋หวั่นจึงไม่ได้นำสิ่งใดติดมา เธอลงสนามแข่งขันพร้อมลุงใหญ่และพี่ชายทั้งสองคน
ระหว่างทางที่ไปหอเทียนเซียง นายท่านฉินบอกกับทั้งสี่เกี่ยวกับกฎการแข่งขันใหญ่ นอกจากวันที่สามของการแข่งขันที่พ่อครัวเทพเป้าจะมาเยือน พ่อครัวที่เหลือต้องผ่านการคัดรอบอย่างดุเดือดในสองวันแรก กล่าวให้เข้าใจง่ายๆ คือต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ไปจนกว่าจะก้าวเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ
นายท่านฉินไม่หวังให้ชนะพ่อครัวเทพเป้า ทว่าต้องอยู่ให้ถึงวันที่สาม เพราะมีเพียงวันนั้นที่ผู้เข้ารอบจะถูกอนุญาตให้ใช้วัตถุดิบของตนเอง
“เช่นนั้น ในช่วงแรกกำหนดไว้ว่าอย่างไร ก็ต้องทำอย่างนั้นใช่รึไม่?” อวี๋หวั่นถาม
“ถูกต้อง” นายท่านฉินกล่าว “หากเจ้าได้วัตถุดิบที่ไม่อาจใช้ประโยชน์ ก็จะส่งผลต่ออาหารของเจ้า ทว่าข้าไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับพ่อครัวอวี๋”
ลุงใหญ่อยู่ในหอเทียนเซียงมานาน ไม่ว่าโบยบินหรือว่ายน้ำ อาหารพื้นฐานล้วนเคยทำทั้งหมด มีน้อยนักที่เขาไม่อาจทำได้
สิ่งที่กังวลคือ การลงแข่งกับพ่อครัวจากหอเทียนเซียงในรอบที่เร็วเกินไป ลุงใหญ่วางมือมานานแล้ว หากต้องแข่งกับเพื่อนร่วมงานในอดีต โอกาสชนะแทบไม่ต้องเอ่ยถึง
รถม้าเคลื่อนมาอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็มาถึงถนนฉางอัน
ถนนคับคั่งไปด้วยผู้คน ทว่าด้านหน้าหอเทียนเซียงแออัดยิ่งกว่า รถม้าไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ หลายคนต้องลงจากรถเดินเข้าไป
ในที่สุด เมื่อมาถึงประตู อวี๋หวั่นก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคย “คุณหนูไป๋?”
ไป๋ถังที่กำลังก้าวขาข้ามธรณีประตูหันกลับมาด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียง คนด้านข้างนางก็หยุดเช่นกัน ทำให้อวี๋หวั่นรู้ว่าผู้จัดการชุยก็อยู่ที่นั่นด้วย
อวี๋หวั่นเอ่ยทัก “ผู้จัดการชุย”
“แม่นางอวี๋” เมื่อผู้จัดการชุยเห็นเธอ ก็พลันนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่ถูกเยี่ยนจิ่วเฉาจับได้ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอาย
ไป๋ถังรู้สึกสนิทสนมอบอุ่นใจ เอื้อมไปจับมืออวี๋หวั่น “ใยเจ้าถึงมาที่นี่ได้ มาดูการแข่งขันหรือ? เจ้ามาคนเดียวรึ?”
สตรีตัวเล็กๆ ที่แสนเย็นชาในครั้งแรกที่พบกัน กลับกลายเป็นคนช่างจ้อเหมือนเถี่ยตั้นน้อยเมื่อสนิทคุ้นเคย
อวี๋หวั่นหัวเราะ “ข้ามากับครอบครัวและนายท่านฉินแห่งหอจุ้ยเซียน”
ไป๋ถังชะเง้อมองด้านหลัง ทว่ากลับเห็นเพียงลุงใหญ่ นายท่านฉิน และอวี๋ซงเท่านั้นที่เดินเข้ามา ไม่รู้อวี๋เฟิงไปแอบหน้าแดงอยู่ที่ใด
หอหยกขาวไม่มีคุณสมบัติในการมาเข้าชม ทว่าคุณหนูไป๋ทุ่มเงินเหมาห้องชั้นสองอย่างเย่อหยิ่ง ห้องชั้นสามวิสัยทัศน์เหมาะสมกว่า ทว่าเสียดายที่ไม่เปิดให้คนทั่วไปอย่างนางได้จับจอง
ไป๋ถังกล่าวด้วยความตื่นเต้น “มิใช่ว่าหอเทียนเซียงถูกคุณชายเยี่ยนทำลายชื่อเสียงไปแล้วหรือ? ข้าได้ยินว่าขุนนางหลายคนถูกรับเชิญให้มาร่วมงานนี้เพื่อกอบกู้ชื่อเสียง หากโชคดีก็อาจได้พบเชื้อพระวงศ์ หากเป็นเช่นนั้นเงินที่ข้าจ่ายไปก็คงไม่เสียเปล่า! อ้อ เมื่อครู่ที่เจ้าบอกว่าอยู่กับคนของหอจุ้ยเซียน หอจุ้ยเซียนใดหรือ?”
อวี๋หวั่นกำลังจะเอ่ยปากตอบนาง ทันใดนั้นด้านนอกก็เกิดความวุ่นวายขึ้น เด็กรับใช้ชายสองคนในโถงใหญ่ละทิ้งงานในมือทั้งหมด แล้วรีบวิ่งไปที่ประตู
สตรีในชุดกระโปรงสีขาว ผูกเอวด้วยแถบผ้าสีฟ้าอ่อน ท่าทางอรชรอ้อนแอ้น แต่งกายวิจิตร เดินมาด้วยท่วงท่าสง่างามท่ามกลางฝูงชนที่รายล้อม
นางสวมผ้าคลุมสีฟ้าอ่อน หน้าผากประดับไพลิน คิ้วเรียวโค้งดุจจันทร์เสี้ยว แววตาประกายสดใส
เอวเรียวบางผูกด้วยแถบผ้าสีฟ้าราวกับน้ำแข็งโปร่งแสง ยามต้องลมกระโปรงและแถบผ้าพัดพลิ้วปลิวไสว ทำให้คนทั้งร่างงดงามถึงขีดสุด
ทุกสายตาที่จับจ้องปรากฏร่องรอยของความประหลาดใจ
นี่คงไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ทว่าเป็นเทพธิดาที่ปรากฏกายออกมาจากภาพวาดกระมัง?
ขณะที่ทุกคนตกตะลึงในรูปลักษณ์ของนาง สตรีผู้นั้นก็ยื่นมือเรียวงามออกไปจูงเด็กน้อยสองคน ซึ่งยังมีเด็กอีกหนึ่งคนที่ถูกจูงโดยหญิงรับใช้ด้านหลัง
ทั้งสามสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกัน โตเท่ากันและหวีผมทรงเดียวกัน
ชั่วชีวิตนี้ฝาแฝดก็นับว่าหาได้ยากมากแล้ว นับประสาอันใดกับแฝดสาม
พวกเขาทั้งสามมิได้สวมผ้าคลุมหน้า ใบหน้าทั้งหมดจึงถูกเผยให้เห็น
ทุกคนตกตะลึงตาค้าง นี่พวกเขากำลังฝันใช่รึไม่? เด็กน้อยที่งดงามขนาดนี้จะมีที่ใดในใต้หล้า? เทพบุตรตัวน้อยในภาพวาดก็ยังไม่น่ารักเท่านี้!
โดยเฉพาะยามพวกเขาก้มหัวเล็กๆ ลงอย่างหดหู่ มือเล็กๆ ถูกจูงให้เดินไปข้างหน้า คล้ายกับจะทำให้หัวใจของผู้คนละลายจนแหลกเหลว
เพียงเห็นแวบแรกอวี๋หวั่นก็จำพวกเขาได้
เด็กน้อยสามคนไม่ต้องบอกก็รู้ ผู้หญิงที่จูงพวกเขาอยู่…ก็คงเป็นเหยียนหรูอวี้ คุณหนูใหญ่ของจวนแม่ทัพ
หลังจากเยี่ยนจิ่วเฉาพาเด็กๆ กลับไป ก็ไม่ได้อยู่กับเขาแต่ส่งไปให้เหยียนหรูอวี้หรือ?
ทำไมกัน?
บุรุษวัยกลางคนในท่วงท่าสบายๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เดินแหวกฝูงชนด้านหลังเข้ามาด้วยขาที่ก้าวยาวและรวดเร็ว พร้อมกับโบกมือ ส่งยิ้มสดใส
มีคนจำได้ว่าเขาคือสวี่ส้าวเจ้าของใหญ่แห่งหอเทียนเซียง
สวี่ส้าวเป็นพี่ชายของสวี่เสียนเฟย สวี่เสียนเฟยได้ครองวังหลัง คนจำนวนไม่น้อยจึงเรียกสวี่ส้าวว่ากั๋วจิ้วเย่น้อย ส่วนกั๋วจิ้วเย่ใหญ่คือพี่ชายน้องชายของครอบครัวฮองเฮา
แม้แต่เขาก็ไปพบเหยียนหรูอวี้ด้วยตนเอง
“เอ นั่นมิใช่เหยียนหรูอวี้หรอกหรือ?” ไป๋ถังถาม
นางเคยเห็นเหยียนหรูอวี้มาก่อน แม้นางจะสวมผ้าคลุมหน้าก็ตาม แต่ครั้งนี้นางไม่สวม ทำให้ยิ่งจดจำได้ง่าย อีกทั้งยังมีแม่หลินกับเด็กน้อยน่ารักอีกสามคน ไป๋ถังไม่มีทางจำผิดเป็นแน่
ไป๋ถังพึมพำ “เหตุใดนางยังมาที่นี่? คู่หมั้นของนางทำลายชื่อเสียงของคนอื่น ยังมีหน้ามาอีกหรือ?”
“คู่หมั้น?” อวี๋หวั่นไม่ได้แสดงอาการใดๆ
“ก็เยี่ยนจิ่วเฉาไง!” ไป๋ถังกระซิบ
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างเฉยเมย “เขาไม่ได้บอกว่าจะแต่งงานกับนาง”
ไป๋ถังเลิกคิ้วพลันกล่าวว่า “บุตรก็มีแล้ว จะทำอย่างไรได้หากไม่แต่งงาน? เจ้าไม่เห็นที่ฮ่องเต้ทรงยกย่องสกุลเหยียนหรือ? ทั้งสั่งให้กลับคำตัดสินคดี ทั้งอวยยศ ขาดเพียงของขวัญหมั้นที่จะส่งไปคฤหาสน์ของนางก็เท่านั้น! อ้าว? นั่นเจ้าจะไปที่ใด? ข้ายังพูดไม่จบเลย! เจ้าจะไปห้องปีกของข้ารึไม่?”
หลังจากผู้จัดการชุยเสวนากับลุงใหญ่และนายท่านฉินเรียบร้อยก็เดินกลับมา “คุณหนู เราขึ้นไปข้างบนกันเถิด”
ไป๋ถังที่ถูกทิ้งให้ยืนอย่างเงียบเหงาอยู่เบื้องหลังอวี๋หวั่นเกาหัว “ข้าพูดสิ่งใดผิดรึ?”
“อ้า หาเป็นเช่นนั้นไม่” ผู้จัดการชุยคลี่ยิ้ม “สกุลอวี๋มาที่นี่เพื่อลงแข่งขัน การแข่งขันใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว แม่นางอวี๋ต้องไปเตรียมตัว”
“ข้าก็คิดว่านางจะสนใจเรื่องการแต่งงานของเยี่ยนจิ่วเฉาด้วยเหตุใด?” ไป๋ถังโล่งใจ เดินขึ้นไปชั้นสองพลางสนทนากับผู้จัดการชุย
เหยียนหรูอวี้กับบุตรชายทั้งสามได้รับเชิญจากสวี่ส้าวให้ขึ้นไปที่ชั้นสาม ซึ่งมีเพียงขุนนางเท่านั้นที่ขึ้นไปได้
มิได้มีเพียงอวี๋หวั่นกับไป๋ถังที่รู้จักเหยียนหรูอวี้
ไม่นานข่าวว่าคู่หมั้นของคุณชายเยี่ยนมาที่หอเทียนเซียงก็แพร่ไปในฝูงชน ทุกคนเดาว่าหอเทียนเซียงกับคุณชายเยี่ยนได้ยุติความขัดแย้งกันแล้ว แม้จะไม่เคยมีตัวอย่างเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ทว่าคุณหนูเหยียนก็เป็นมารดาบุตรทั้งสามของเขา วาจาของนางคงมีน้ำหนักไม่มากก็น้อย
ขณะเดียวกัน ข่าวลือก่อนหน้านี้เกี่ยวกับเหยียนหรูอวี้ที่มิได้รับการเหลียวแลก็ถูกกลบไป นางปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนพร้อมทั้งคุณชายน้อยทั้งสาม ผู้ใดจะกล้าบอกว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ต้องการนาง กลัวก็แต่จะมีข่าวดีในเร็ววัน อีกไม่นาน นางคงได้แต่งเข้าจวนคุณชาย
เหยียนหรูอวี้ยิ้มอย่างภาคภูมิ อวี๋หวั่นกลับไปหาลุงใหญ่และพี่ชายทั้งสองของเธอ
การแข่งขันใหญ่ของวันนี้แบ่งออกเป็นสามรอบ โดยแต่ละรอบจะได้รับวัตถุดิบที่กำหนด ส่วนจะทำอาหารอะไรอยู่ที่การแสดงความสามารถ หนึ่งกลุ่มจะมีพ่อครัวสิบคน สุดท้ายแต่ละกลุ่มจะเหลือพ่อครัวเพียงสามคนที่ผ่านเข้ารอบต่อไปในวันพรุ่งนี้
เพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัย หอเทียนเซียงจึงเชิญพ่อครัวรุ่นใหญ่ผู้มีคุณธรรมและชื่อเสียงที่ดีสิบกว่าท่านมาทำหน้าที่ตัดสิน
“เราอาจไม่โชคดีนัก” นายท่านฉินที่กลับมาจากการจับฉลากมีสีหน้าหนักอึ้งเล็กน้อย
อวี๋หวั่นกะพริบตา “เกิดอันใดขึ้น? คู่แข่งของเราร้ายกาจมากเลยหรือ?”
นายท่านฉินหลั่งน้ำตาด้วยความขมขื่น “ในสิบคนจะผ่านไปเพียงสามคนเท่านั้น และทั้งสามก็ล้วนเป็นคนของหอเทียนเซียง เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
โดยทั่วไปพ่อครัวของหอเทียนเซียงนั้นแข็งแกร่งที่สุด ไม่มีผู้ใดอยากเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาในรอบแรกของการแข่งขัน ทว่าคนสกุลอวี๋ไม่เพียงต่อสู้เท่านั้น แต่ยังมีให้ต่อสู้ถึงสามคน!
อวี๋เฟิงและอวี๋ซงไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด
“เป็นการจงใจหรือไม่?” อวี๋ซงพึมพำ
“หาใช่การจงใจไม่” นายท่านฉินตรวจสอบแม้กระทั่งภาชนะที่ใช้สำหรับจับฉลาก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการใช้แผนใดๆ และเป็นเพียงโชคชะตาเท่านั้น ในรอบแรกพวกเขาก็ได้พบกับตำนานของหอเทียนเซียงเสียแล้ว
……………………………………………….
[1] ถังข้าวสาร 饭桶 เมื่อใช้อธิบายคน แปลว่า คนคนนั้นกินจุแต่อย่างอื่นทำไม่ไหว