“ตูม”
เสียงของศรกัมปนาทที่อยู่ด้านหน้าก็ได้ดังขึ้นมาไม่หยุด เลือดเนื้อปลิวว่อนไปมา เสียงกรีดร้องดังสนั่นไปทั่วทั้งใจกลางหุบเขา ประดุจดั่งอยู่ในแดนนรก
ได้เกิดเสียงระเบิดดังโครมครามขึ้นจากทางด้านหลังของหุบเขาไม่หยุด นั้นก็คือเสียงจากการทะลวงก้าวข้ามขอบเขตของเหล่าศิษย์จากหมู่ตึกพลิกสวรรค์ ทั้งยังเกิดขึ้นไม่หยุดไม่หย่อน จนกลายเป็นพลังอันมหาศาลพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
วันนี้มีศิษย์ของฝ่ายอธรรมเป็นกลุ่มที่เจ็ดแล้วที่ได้เข้าสังเวยชีวิต แม้แต่หลงเฉินเองก็ยังรู้สึกเบื่อหน่ายกับวิธีการลวงฆ่าเช่นนี้แล้ว
แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะศิษย์ของฝ่ายอธรรมเองก็เป็นเช่นนี้ เมื่อเห็นศิษย์ทางด้านนี้กำลังฝึกปรือกันอยู่ พวกเขาก็มีแต่จะเกิดโทสะขึ้นมาจนใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาไปถึงคอ จนต้องพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรคนรุ่นเยาว์ในตอนนี้ถึงไม่รู้จักควบคุมอารมณ์กันเสียเลย
แต่ทว่าคนที่ลิงโลดมากที่สุดในสนามรบ กลับไม่ใช่ศิษย์ที่เข้าสู่การทะลวงพลังเหล่านั้น แล้วก็ไม่ใช่ยอดฝีมือศิษย์สายตรงที่กระตุ้นพลังต้นตระกูลขึ้นมาได้ แต่กลับเป็นกัวหรานนั่นเอง
ทั้งชีวิตนี้ของกัวหรานยังไม่เคยรู้สึกว่าเองจะมีความสำคัญถึงเพียงนี้มาก่อน นี่ถือเป็นเรื่องที่มีความหมายเป็นอย่างยิ่งสำหรับเขาเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
ราวกับเป็นเพราะการคงอยู่ของเขา ได้ทำให้โลกทั้งใบสว่างขึ้นมาได้เลย บนหัวไหล่ของกัวหรานแบกหน้าไม้ยาวที่มีกองทัพคมศรเอาไว้ เนื่องจากการปล่อยลูกศรไปอย่างรวดเร็ว ย่อมทำให้เกิดความร้อนขึ้นมา ทว่ากัวหรานเองกลับไม่ได้รู้สึก กลับยังคงปล่อยลูกศรออกไปอย่างไม่คิดชีวิต
เมื่อได้มองดูเลือดเนื้อที่ลอยว่อนอยู่ภายในสนาม กัวหรานก็ได้ค้นพบเป้าหมายที่แท้จริงในชีวิตของตัวเองขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อได้พบเห็นยอดฝีมือศิษย์สายตรงของฝ่ายอธรรมเหล่านั้นตายภายใต้เงื้อมมือของตนเอง ความลิงโลดเช่นนั้นมีแต่เพียงแค่เขาเท่านั้นที่ทราบดี
ศิษย์ของฝ่ายอธรรมระลอกที่เจ็ด กว่าครึ่งต่างก็ได้ตายอยู่ภายใต้เงื้อมมือของเขา นี้ถือได้ว่าเป็นการเปล่งประกายอย่างหนึ่ง
ทว่าที่ทำให้หลงเฉินต้องทั้งตกใจทั้งยินดีขึ้นมาก็คือ หลังจากที่ถังหว่านเอ๋อและพวกได้สติขึ้นมาจากการฝึกปรือแล้ว ราวกับว่าทุกผู้คนต่างก็ทะลวงพลังขึ้นมาอีกขั้นแล้ว
การที่ผ่านการต่อสู้เป็นตายมา ได้ทำให้พวกเขาได้รับประโยชน์ขึ้นมามากมายเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จะฝันพวกเขาก็ยังไม่กล้าที่จะคิดว่าสิ่งที่ทำให้เกิดแรงกดดันมหาศาล จะทำให้เกิดผลสะท้อนที่ดีเช่นนี้
ที่ทำให้หลงเฉินพึงพอใจก็คือ ถังหว่านเอ๋อที่เดิมทียังอยู่ในพลังการฝึกปรือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นที่สาม ขณะนี้หลังจากที่ทะลวงพลังไปแล้ว ก็ได้เข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นขั้นที่สี่แล้ว
ควรทราบว่าขั้นที่สามเป็นเหมือนกับเครื่องพันธนาการ แต่หากว่าสามารถที่จะทำลายเครื่องพันธนาการนี้ไปได้ ก็จะข้ามจากตอนต้นเข้าสู่ตอนกลางได้แล้ว จึงทำให้มีพลังในการต่อสู้ที่ทวีคูณขึ้นเป็นอย่างยิ่ง
อีกทั้งทุกคนต่างก็สามารถที่จะทะลวงพลังภายใต้สภาวะแรงกดดันของความเป็นความตายไปได้ จึงถือว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
กู่หยาง ซ่งหมิงเหยียน และพวกศิษย์สายตรงอีกมากมาย ต่างก็ทะลวงพลังจนเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอนขั้นที่สามได้กันจนหมดทุกคนแล้ว
เรื่องนี้ทำให้ศิษย์สายตรงเหล่านี้อดไม่ได้ที่จะมีจิตใจที่ฮึกเฮิมขึ้นมา โดยเฉพาะศิษย์ที่พึ่งจะกระตุ้นพลังจากต้นตระกูลให้ตื่นขึ้นมาได้ หลังจากที่สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งจากพลังของต้นตระกูลแล้ว ก็ทำให้พวกเขาลิงโลดอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา
หลังจากที่หมอกควันเลือนหายไปจากทั่วทั้งผืนฟ้าแล้ว ศิษย์บางส่วนกำลังทำหน้าที่เก็บกวาดสนามรบให้เป็นระเบียบ พวกเขาดูเชี่ยวชาญจนน่าตกใจ ไม่ทันถึงหนึ่งชั่วยาม ก็จัดการเสร็จจนหมด
ในขณะที่ทุกคนกำลังเตรียมตัวที่จะจัดเตรียมกับดักใหม่ ทว่ากลับถูกหลงเฉินห้ามเอาไว้ จนทุกคนต่างก็แสดงแววตาโง่งมขึ้นมา
หลงเฉินหัวเราะแล้วกล่าว “นี่คงจะเป็นปลาที่จะมาติดแหรอบสุดท้ายแล้วล่ะ ใช้กับดักต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด อีกทั้งทางเบื้องบนยังได้ส่งข่าวมาว่าอีกไม่นานทัพใหญ่ของฝ่ายอธรรมก็จะมาถึงกันแล้ว ไปเตรียมพร้อมที่จะรับศึกครั้งสุดท้ายกันได้แล้ว”
“ฮาฮาฮาฮา ในที่สุดก็จะได้เริ่มต่อสู้จริงๆกันซักที ข้ารู้สึกคันไม้คันมืออยากที่จะทำให้หายไปได้แล้ว”กู่หยางเองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะฮาฮาขึ้นมายกใหญ่
คนอื่นๆต่างก็รู้สึกคันไม้คันมือเช่นเดียวกัน ทั้งยังทอสีหน้าที่ลิงโลดกันขึ้นมา แม้แต่ถังหว่านเอ๋อกับเยี่ยจื่อชิวเองก็ยังทอประกายดวงตาอันคมกล้าขึ้นมา
ศึกครั้งนี้ได้ทำให้พลังฝีมือของพวกเขาพัฒนาขึ้นมาก ที่สำคัญก็คือพวกเขาสามารถที่จะผ่านด่านการทดสอบความเป็นความตายมาได้ จึงทำให้สภาวะจิตใจพัฒนาขึ้นมามากจนน่าตกใจ
ถึงแม้จะไม่สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขานั้นไร้ซึ่งความหวาดกลัวเลยก็ตาม แต่ว่าอย่างน้อยพวกเขาก็ยังสามารถที่จะรับสภาพของความตายเอาไว้ได้ จึงไม่เกิดความหวาดกลัวหรือหวาดหวั่นขึ้นมาอีก
ขอเพียงอยู่ภายใต้สภาวะจิตใจเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดหรือสถานที่ใด พวกเขาก็ยังสามารถที่จะแสดงพลังการต่อสู้ขั้นสูงสุดของตัวเองออกมาได้ แน่นอนว่าย่อมสามารถที่จะล้มอีกฝ่ายลงได้อย่างไม่ยากเย็น
“อาหมาน ตื่นได้แล้ว เตรียมตัวเดินทางได้แล้ว”
หลงเฉินตะโกนขึ้นมาเสียงดัง ทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา อาหมานหลับมานานถึงสองวันแล้ว ไม่ว่าศึกการต่อสู้จะอยู่เบื้องหน้า หรือจะมีคนที่ทะลวงพลังอยู่ทางด้านข้าง ก็ยังไม่อาจที่จะปลุกเขาให้ตื่นได้เลย
แต่หลงเฉินทราบดี ที่อาหมานทำเช่นนี้ก็ถือได้ว่าเป็นการเก็บออมพลัง เนื่องจากพลังในร่างกายของเขานั้นพิเศษเฉพาะเป็นอย่างยิ่ง หากว่าเคลื่อนไหวโดยไม่จำเป็นขึ้นมา ก็จะกลายเป็นว่าต้องสูญเสียพลังที่มีค่าไปอย่างมากมาย ดังนั้นเขาจำเป็นที่จะต้องกินไม่หยุด จึงจะสามารถคงสภาพความสามารถเช่นนั้นเอาไว้ได้
ทั้งการต่อสู้กันในครั้งนี้ยังกะทันหันมากจนเกินไป ชางหมิงเองก็ยังต้องมายุ่งกับการตีศาสตราวุธให้กับทั้งสอง จึงไม่ได้มีเวลามาดูแลอาหมาน
หลังจากที่หลงเฉินกลับมาในครั้งนี้ อาหารก็เหลืออยู่น้อยมากแล้ว ดังนั้นอาหมานจึงได้หลับไปในช่วงที่หลงเฉินไม่อยู่ เมื่อทำเช่นนี้ก็จะสามารถทำให้เขาลดทอนการใช้พลังได้แล้ว
เมื่อถูกหลงเฉินปลุกให้ตื่นขึ้นมา อาหมานก็รู้สึกราวกับท้องกำลังเกิดการประท้วงขึ้นมาด้วยความหิวโหยที่ยากจะทนได้ จากนั้นจึงได้ล้วงน่องของสัตว์มายาตัวหนึ่งซึ่งอยู่ภายในแหวนมิติออกมากัดกิน
ทุกคนต่างก็เคยชินกับเรื่องเช่นนี้แล้ว หลงเฉินได้เรียกทุกคนมารวมตัวกัน พร้อมทอสีหน้าจริงจังและกล่าวออกมา
“การต่อสู้ก่อนหน้านี้ เรียกได้ว่าเป็นเพียงแค่การเรียกน้ำย่อยเท่านั้น ที่พวกเราเจอมายังไม่ถือเป็นตัวละครหลักเลยด้วยซ้ำ นี่ยังไม่ใช่ทัพหลักของฝ่ายอธรรม พวกเขาเป็นเพียงเครื่องมือไว้ให้เล่นแก้เบื่อเท่านั้น
และที่พวกเราจะต้องไปเผชิญหน้า ถือว่าเป็นทัพหลักของยอดฝีมือฝ่ายอธรรมอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นด้านการฝึกปรือหรือกำลังรบพวกเขาต่างก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเจ้าเลย ดังนั้น ไม่ว่าจะคนไหนก็อย่าได้หลงระเริงไป
ตอนนี้กลุ่มของพวกเรายังถือว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์กันอยู่ ทั้งยังไม่ได้เสียใครไปแม้แต่คนเดียว ข้าเองก็คาดหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะรักษาสภาพเช่นนี้เอาไว้ให้กลายเป็นตำนาน สำหรับศึกการต่อสู้ในครั้งต่อไป
แต่น่าเสียดายที่ตำนานก็ยังเป็นได้เพียงแค่คำเล่าขานเท่านั้น สำหรับพวกเราการที่สามารถมีคนรอดชีวิตกลับไปได้ถึงครึ่งหนึ่ง ก็ถือได้ว่าสวรรค์เมตตาแล้ว
ดังนั้นการต่อสู้ต่อจากนี้เป็นต้นไป พวกเราจะต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดออกไป ใช้อาวุธในมือของพวกเจ้า ห้ำหั่นไปที่ศีรษะของศัตรู
ใช้โลหิตของพวกเขา มาชโลมอาภรณ์ศึกของพวกเรา ใช้จิตวิญญาณของพวกเขา เซ่นสังเวยให้กับความมุ่งมั่นของพวกเรา แสดงความแน่วแน่ที่ไม่สั่นครอนของพวกเรา ให้เป็นที่ประจักษ์! ”
“ออกเดินทางได้ ! ”
หลังจากที่เสียงของหลงเฉินจบลง ทุกผู้คนต่างก็ได้ตะโกนกันขึ้นมาด้วยเสียงอันดัง จนทำให้ผืนฟ้าเกิดการสั่นไหวขึ้นมา พวกเขามุ่งหน้าวิ่งตะบึงออกไปทางด้านหน้าภายใต้การนำทัพของหลงเฉิน
……
ณ หุบเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากจุดที่หลงเฉินอยู่แปดพันกว่าลี้ มียอดฝีมือหลายพันคนมารวมตัวกันอยู่ในที่แห่งนี้ จนทำให้หุบเขาแห่งนี้เปร่งประกายขึ้นมา
ที่แห่งนี้ก็คือสถานที่รวมตัวกันของยอดฝีมือของฝ่ายธรรมะนั้นเอง ทางด้านหน้ามีผู้อาวุโสขอบเขตปรือกระดูกกว่าสามร้อยคนยืนอยู่ ถู่ฟางเองก็อยู่ภายในกลุ่มนั้นด้วย
ศิษย์พี่ว่านเป็นถึงผู้นำของเหล่าผู้คุมกฎ ส่วนอีกด้านก็คือขุมกำลังระดับศิษย์พี่ของสำนักอื่น พวกเขาต่างก็ยืนอยู่ทางด้านหลังของผู้อาวุโส เพื่อรอคอยคำสั่งอย่างเคร่งครัด
ยอดฝีมือระดับผู้อาวุโสเหล่านั้นต่างก็จ้องมองไปยังป้ายหยกที่อยู่ภายในมือด้วยใบหน้าที่เย็นชา บนป้ายเหล่านั้นมีรอยสลักที่เป็นประกายขึ้นมาพร้อมกับขยับเคลื่อนไหวไปมา
“ไม่ทราบว่าศิษย์จากทางหมู่ตึกจะเป็นอย่างไรกันบ้าง แล้วจะมีศิษย์อีกมากน้อยแค่ไหนที่ได้ตายตกไป”
เมื่อผู้อาวุโสท่านหนึ่งของหมู่ตึกได้มองไปที่ป้ายหยกในมือของถู่ฟาง ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยความโศกเศร้า
การต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรมในครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หากเป็นไปตามที่แล้วมา อย่างน้อยก็มีเวลาให้เตรียมตัวกันร่วมปี
แต่ว่าที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ถึงกับไม่มีการแจ้งบอกกันก่อนล่วงหน้า พวกเขาจึงแทบจะไม่มีการเตรียมพร้อมกันเลย
สำนักที่ถือเป็นสำนักที่ใหญ่ที่สุดในอาณาเขตแห่งนี้ก็คือหมู่ตึกพลิกสวรรค์ พวกเขาจึงต้องรับหน้าที่รักษาการณ์อยู่ในอาณาเขตที่อันตรายที่สุด ภายใต้ศึกที่เกิดขึ้นติดต่อกันมานี้จึงมีโอกาสที่ศิษย์ของทางหมู่ตึกจะบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
น่าเสียดายที่ป้ายส่งสารของพวกเขา ต่างก็เป็นเครื่องที่ใช้สื่อสารทางด้านเดียวเท่านั้น ทำได้แต่เพียงส่งข่าวสารอย่างง่ายๆบางส่วนเท่านั้น ทว่าไม่อาจที่จะทราบถึงสถานการณ์ทางด้านนั้น ในเวลานี้ที่ทำได้ก็แค่ยืนยันตำแหน่งของพวกเขาได้โดยคร่าวๆเท่านั้น
ขณะนี้ประกายแสงที่กำลังสาดส่องอยู่ เป็นสัญญาณบอกว่าศิษย์ของทางหมู่ตึกกำลังมุ่งหน้ามายังสถานที่นัดหมายกันเอาไว้ อีกทั้งศิษย์สำนักอื่นๆก็เช่นเดียวกัน
ทว่าก็ยังมียอดฝีมือระดับผู้อาวุโสของสำนักเล็กอีกหลายแห่ง ทอสีหน้าปั้นยากขึ้นมาอยู่บ้าง เพราะประกายแสงในมือของพวกเขาเหล่านั้น ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวแต่อย่างไร เช่นนั้นย่อมบอกได้ว่าศิษย์ภายในขุมกำลังเหล่านั้นได้ล่มสลายไปจนหมดสิ้นไปแล้ว
ถึงแม้ว่าเส้นทางที่ศิษย์ส่วนใหญ่ของฝ่ายอธรรมจะผ่านได้ถูกหมู่ตึกพลิกสวรรค์ปิดล้อมเอาไว้แล้ว แต่ว่าก็ยังคงมีศิษย์ของฝ่ายอธรรมส่วนน้อยที่สามารถฝ่าไปจนถึงสถานที่แห่งอื่น
“ผู้อาวุโสถู่ฟาง ศิษย์หลงเฉินที่สูงศักดิ์ของหมู่ตึกท่าน ได้ลอบเข้าไปยังเขตรักษาการณ์ของทางสำนักนรกโลหิตเรา ทั้งยังได้ทำการสังหารศิษย์สำนักนรกโลหิตอย่างไร้เยี่ยใย ยิ่งไปกว่านั้นก็ได้ฆ่าผู้อาวุโสไปอีกสี่คน ขอให้ผู้อาวุโสถู่ฟางโปรดให้ความเป็นธรรมแก่สำนักนรกโลหิตของข้าด้วย”
ชายชราเครายาวผู้หนึ่งได้นำพาศิษย์กลุ่มหนึ่ง มุ่งหน้าวิ่งตะบึงเข้ามาพร้อมทอสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยโทสะ
คนผู้นี้มิใช่ใครอื่น เขาคือรองเจ้าสำนักสำนักนรกโลหิตนั้นเอง เมื่อได้ยินจากศิษย์ในสำนักว่าสี่ผู้อาวุโสของสำนักตนเองถูกคนสังหารไป ก็อดไม่ได้ที่จะต้องทั้งแตกตื่นทั้งเดือดดาน จึงได้รีบมาเพื่อขอความเป็นธรรม
ถึงแม้สำนักนรกโลหิตจะเป็นสำนักเล็กๆ แต่ว่าก็ยังถือเป็นพันธมิตรของฝ่ายธรรมะ ยังไงซะเมื่อมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นก็ต้องกล่าวออกไป ไม่เช่นนั้นในภายภาคหน้าพวกเขาก็คงจะไม่มีจุดยืนในยุทธภพ
ถู่ฟางมองไปทางรองเจ้าสำนักสำนักนรกโลหิตผู้นั้น พร้อมกับกล่าวออกมาอย่างเย็นชาว่า “ดูเหมือนว่าท่านจะได้ยินข่าวคราวมาได้ไม่หมด เช่นนั้นเหตุใดยังต้องรีบเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้กัน? ”
รองเจ้าสำนักสำนักนรกโลหิตงงงันขึ้นมา เป็นไปตามคำกล่าวของผู้ถู่ฟางจริง เมื่อเขาได้ยินได้ฟังว่าสี่ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักถูกสังหารไป ก็ได้รีบวิ่งตะบึงมายังสถานที่แห่งนี้ทันที ดังนั้นเขาจึงยังไม่ชัดเจนว่าสถานการณ์จริงๆเป็นเช่นไร
ทว่าหากเป็นไปตามความคิดของเขา แน่นอนว่าย่อมมิใช่การลงมือของหลงเฉิน เขายังคิดว่าถึงหลงเฉินจะอยู่หมู่ตึกพลิกสวรรค์และได้รับการทะนุถนอมจากเหล่าผู้อาวุโส ทว่าการสังหารสี่สุดยอดผู้อาวุโส เขาก็ไม่เชื่อว่าศิษย์ใหม่เพียงคนเดียวจะมีความสามารถพอจะทำเช่นนั้นได้
ถู่ฟางกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นเยียบ “เช่นนั้นท่านควรถามให้ชัดเจนก่อน ท่านไม่ได้เห็นศิษย์ที่อยู่ทางด้านหลังท่านที่กำลังพูดอย่างตะกุกตะกักอยู่หรือไงกัน ? ”
เมื่อรองเจ้าสำนักสำนักนรกโลหิตได้หันหน้ากลับมามอง ก็ได้พบเห็นศิษย์ผู้หนึ่งกำลังด่อมด่อมมองมองเขาอยู่
“รีบบอกมาว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น ? เหตุใดถึงได้ทำตัวลับลับล่อล่อกัน ? ”รองเจ้าสำนักสำนักนรกโลหิตอดไม่ได้ที่จะระเบิดโทสะออกมา
ลูกศิษย์ผู้นั้นก็ได้แต่หลั่งเหงื่อออกมา ข้าพึ่งจะกล่าวออกมาได้ประโยคเดียว ท่านก็ถึงกับวิ่งออกไป แทบจะไม่ให้โอกาสแก่ข้าอธิบายเลยด้วยซ้ำ
นั่นคือสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในตอนนี้ แต่เมื่อต้องมาอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ จึงไม่กล้าที่จะกล่าวออกมา ถ้าหากกล่าวว่าสี่สุดยอดผู้อาวุโสได้ร่วมมือกันเพื่อที่จะทำร้ายหลงเฉิน แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าต้องมาถูกฆ่าไปเสียเอง เขาเชื่อว่ารองเจ้าสำนักจะต้องฟาดเขาจนตายคามือไปอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะกล่าวอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
“เย่าฉี่หยาง เรื่องนี้ก็แล้วกันไปเถอะ คนสำนักนรกโลหิตของพวกเจ้ายังถือเป็นคนมีคุณธรรมอะไรกันอีก เรื่องแค่นี้มีหรือที่เจ้าไม่ใช่ทราบ?
เพื่อที่จะฉวยโอกาสล้างแค้นหลงเฉิน จึงได้คิดที่จะยืมดาบฆ่าคน เพื่อที่จะฆ่าบิดาของหลงเฉิน ถึงกับยอมปล่อยที่จะให้ฝ่ายอธรรมเข้าไปเข่นฆ่าถึงในเมือง
บางครั้งข้าเองก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาจริงๆว่าพวกเจ้าใช่เป็นปรมจารย์ของธรรมะจริงหรือเปล่า แม้ศิษย์ของฝ่ายอธรรมจะโหดเหี้ยม แต่ว่าคงไม่ได้อำมหิตอย่างพวกเจ้าเช่นนี้แน่ ! ” ยอดฝีมือระดับผู้อาวุโสผู้หนึ่งก็ได้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา เห็นได้ชัดว่ามองออกถึงเส้นสนกลในของสำนักนรกโลหิตอย่างทะลุปรุโปร่ง
“ผายลม เจ้ากล้าที่จะใส่ร้ายสำนักนรกโลหิตข้าอย่างงั้นหรือ ? ”รองเจ้าสำนักสำนักนรกโลหิตมีโทสะขึ้นมายกใหญ่ ชี้หน้าด่าทอไปที่คนผู้นั้นแล้วกล่าว
“เหอะ อย่าเอาแต่แสร้งทำตัวไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย อย่าบอกข้านะว่าเรื่องนี้แม้แต่เจ้าเองก็ยังไม่ทราบ ยังจะมาเสแสร้งอะไรกันอีก ? ให้ตายเถอะ” ผู้อาวุโสผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ได้หวาดกลัวเขาเลย ทั้งยังพ่นวาจาออกมาดุจสายน้ำ
ใบหน้าของรองเจ้าสำนักสำนักนรกโลหิตชาด้านขึ้นมาทันที “ข้าเองก็เป็นพยานให้ได้ ว่าขยะสำนักนรกโลหิตอย่างพวกเจ้าเหล่านั้นต่างก็สมควรตายอยู่แล้ว ! ”
ที่พึ่งกล่าววาจาเมื่อครู่ แท้จริงแล้วก็คือฮวายวี่นั้นเอง เมื่อฮวายวี่ได้กล่าวขึ้นมา วินาทีนั้นก็ได้ทำให้รองเจ้าสำนักสำนักนรกโลหิตมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาไม่อยากที่จะเชื่อเลยว่าแม้แต่ฮวายวี่เองก็ยังกล่าวออกมาเช่นนี้ ฮวายวี่ยังไงเสียก็ยังถือได้ว่าเป็นตัวแทนของตำหนักป่าสวรรค์
ถึงแม้ตำหนักป่าสวรรค์จะมีศิษย์อยู่น้อย แต่พลังฝีมือของพวกนาง ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากหมู่ตึกพลิกสวรรค์เลยแม้แต่น้อย ย่อมไม่ใช่สิ่งที่สำนักนรกโลหิตจะเทียบได้
เมื่อฮวายวี่กล่าววาจามาจนถึงขั้นนี้ เขาก็ไม่กล้าที่จะกล่าวอะไรออกมาอีก ต่อให้กล่าวต่อไปก็คงไม่เกิดประโยชน์ แค่มองจากสายตาของทุกคนที่อยู่ที่นี่ ก็พอที่จะเดาได้อยู่หลายส่วนแล้ว จึงได้แต่ยืนกรานหน้าด้านไม่ยอมรับต่อไปเท่านั้น
ภายในความลังเลของทุกผู้คน จู่ๆผู้อาวุโสซุนที่อยู่เงียบๆภายในหมู่ตึกก็กล่าวออกมา
“ไม่ว่าจะกล่าวเช่นไรก็ตาม หลงเฉินก็ถือว่าได้หลีกหนีไปจากหน้าที่ที่ได้มอบหมายเอาไว้ในศึกครั้งใหญ่นี้ ปล่อยให้ศิษย์กว่าพันคนต้องตายตกไปอย่างไม่แยแส อย่างไรเสียก็ยังถือเป็นโทษตายอยู่ดี ! ”
.
.