ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 832 ตัดกำลัง

“แปลก” โยวหมิงอวี่พูดขึ้นขณะที่นั่งอยู่ในศูนย์บัญชาการ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันในขณะที่กำลังจ้องไปที่รายงานตรงหน้าราวกับกำลังค้นหาคำตอบ  

 

 

ข้างๆ เขา เฟิงเยี่ยหมิงและเฟิงอวิ๋นลู่ต่างกำลังตั้งอกตั้งใจเล่นเกมไปพร้อมๆ กับการรัวคีย์บอร์ด แต่ถ้า หากไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต พวกเขาก็สามารถแข่งกับคอมพิวเตอร์ได้เท่านั้น  

 

 

โยวหมิงอวี่มองไปที่เฟิงเยี่ยหมิงและพูดว่า “นายช่วยหยุดเล่นได้ไหม เสียงคลิกมันน่ารำคาญ”  

 

 

“ฉันกำลังฝึกอยู่” เฟิงเยี่ยหมิงพูดด้วยความมั่นใจ  

 

 

จริงๆ แล้วเฟิงเยี่ยหมิงพูดถูก โยวหมิงอวี่จึงถามต่อไปว่า “นายอยากจะฝึกทักษะใหม่เหรอ ทักษะที่นายมีอยู่ทุกวันนี้ก็มีพลังมากพอแล้วไม่ใช่เหรอ”  

 

 

“ฉันฝึกทักษะเหล่านั้นก็เพื่อต่อสู้กับเฟิงอวิ๋นลู่ แน่นอนว่าตอนนี้ฉันต้องการทักษะใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น” เฟิงเยี่ยหมิงตอบ “ฉันต้องหากลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้”  

 

 

เฉินจู่อานตกตะลึง “เพื่อสู้กับเฟิงอวิ๋นลู่เหรอ ยกตัวอย่างเช่นการตะโกน เดอมาเซีย ด้วยกันแบบนี้เหรอ ได้โปรดช่วยฉันด้วย”  

 

 

โยวหมิงอวี่ลังเล “แต่นายต้องทดสอบก่อนที่จะนำไปใช้ในการต่อสู้จริงใช่ไหม ลองมาทดลองกับฉันก่อนดีไหม”  

 

 

“ไม่เป็นไร ฉันกับเฟิงอวิ๋นลู่ทดลองกันเองเป็นประจำอยู่แล้ว พวกเราไม่ต้องการการทดสอบอื่นอีกหรอก…” เฟิงเยี่ยหมิงกล่าวด้วยสีหน้าแปลกๆ เล็กน้อย จากนั้นเขาก็เบี่ยงประเด็นและถามว่า “ว่าแต่นายยังไม่ได้อธิบายเลยว่าเกิดอะไรขึ้น”  

 

 

“อ้อ ใช่ จากรายงานข่าวกรอง มีพวกยอดฝีมือระดับ B หกคนจากกลุ่มแก่นความเชื่อรีบร้อนออกจากฐานทัพอย่างกะทันหัน”  

 

 

“พวกนั้นกำลังมาหาเราหรือเปล่า” เฉินจู่อานถามด้วยรอยยิ้มตื่นเต้น “พวกเราฆ่าพวกนั้นให้หมดเลยดีไหม”  

 

 

นี่จะเป็นโอกาสให้เฉินจู่อานได้แสดงพลังอีกครั้งหลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่ก่อนหน้านี้  

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋หัวเราะเย็นชาใส่เฉินจู่อาน ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาปิดปากเงียบทันที ด้วยเหตุผลบางประการ มันเป็นเรื่องยากที่ความอวดดีของเฉินจู่อานจะมีมากเกินกว่าการมีตัวตนอยู่ของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋และหลี่ว์ซู่  

 

 

“ฉันก็หวังให้เป็นแบบนั้น แต่ความจริงก็คือพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก!” โยวหมิงอวี่พูดต่อไปอีกว่า “นอกจากนี้ พวกเขาทั้งหกคนออกจากฐานทัพไปในคราวเดียว ต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่”  

 

 

“ฐานขนส่งของพวกเขาอยู่ทางตะวันออกใช่ไหม และด้วยคนเพียงไม่กี่คนที่ท่าเรืออาร์เตม อะไรที่น่าจะเกิดขึ้นได้ในตอนนี้” น่าหลานเชวี่ยถามอย่างสงบ  

 

 

“พวกนายคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่… ฐานขนส่งของพวกนั้นจะถูกทำลาย” โยงหมิงอวี่พูดขึ้นหลังจากลังเลไปสักพัก  

 

 

“ถึงแม้ว่าที่นั่นจะมีคนไม่เยอะนัก แต่อย่างน้อยก็ต้องมีสักสามถึงสี่พันคน เพราะฉะนั้นใครกันที่จะบุกไปทำลายที่นั่นได้” หลี่อีเสี้ยวพูดขึ้น จากนั้นรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา “แต่แน่นอนว่าฉันทำได้!”   

 

 

“นอกจากพวกเราแล้ว ยังจะมีใครที่สามารถบุกไปทำลายท่าเรืออาร์เตมอย่างลับๆ ได้อีก หรือจะเป็นพวกมือที่สาม?” น่าหลานเชวี่ยตั้งข้อสังเกต  

 

 

“ยังมีอีกคนหนึ่ง…” เฉินจู่อานพูดพลางกัดฟัน  

 

 

“ใคร?” ทุกคนหันมามองที่เขาอย่างตกใจ  

 

 

“อย่าลืมพี่ซู่สิ ฉันกำลังจะบอกว่า ฉันแน่ใจว่าที่นั่นต้องมีเสบียงอยู่แน่ๆ และจากบุคลิกของพี่ซู่แล้ว แค่คำว่า ‘ขนส่ง’ คำเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะพาเขาไปที่นั่น…”  

 

 

และในวินาทีนั้นเองที่หลี่อีเสี้ยวแสดงสีหน้าคาดไม่ถึงออกมา… แต่ในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวเพราะน่าหลานเชวี่ยบิดเข้าที่เอวของเขาอย่างแรง  

 

 

“ถ้าเป็นพี่ซู่จริงๆ ล่ะก็…” เฉินจู่อานพูดหลังจากคิดไตร่ตรองสักพัก “ฉันสงสัยว่าที่ฐานขนส่งคงจะเหลือแต่ความว่างเปล่าแล้วในตอนนี้”  

 

 

“เป็นไปไม่ได้ เขาจะต้องถูกพบก่อนที่จะเก็บกวาดของที่นั่นได้ถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์” หลี่อีเสี้ยวแย้ง  

 

 

“ทำไมเขาไม่ทำลายฐานขนส่งโดยตรงเลยล่ะ เขาจะอยากได้เสบียงไปทำไม ก็แค่ระเบิดที่นั่นทิ้งซะ แบบนี้จะไม่ง่ายกว่าเหรอ” เฟิงเยี่ยหมิงถามขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอคอมพิวเตอร์  

 

 

“เป็นไปไม่ได้!”  

 

 

“เป็นไปไม่ได้!”  

 

 

พวกเขาทุกคนปฏิเสธที่จะเห็นด้วยกับข้อคาดการณ์นี้อย่างเป็นเอกฉันท์ เฉินจู่อานอธิบายต่อว่า “พี่ซู่จะต้องหัวใจวายแน่ๆ ถ้าเสบียงมากมายขนาดนั้นถูกทำลายจนหมด…”  

 

 

“นั่นจะเป็นประโยชน์กับเรามากถ้าที่ฐานนั่นว่างเปล่าไปแล้วจริงๆ” โยวหมิงอวี่พูดพร้อมรอยยิ้ม  

 

 

ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาทั้งหมดตระหนักอย่างชัดเจนถึงความแตกต่างอย่างมากในจำนวนคนที่แต่ละฝ่ายมี หากไม่รวมพวกระดับ A แล้วล่ะก็ เครือข่ายฟ้าดินก็ถือว่ามีจำนวนคนน้อยกว่าถึงสามเท่า  

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นคือสิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องกินอาหาร และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถขนส่งอาหารให้ถึงที่หมายได้ภายในวันเดียว ถึงแม้จะมีการขนส่งที่มีประสิทธิภาพในปัจจุบันก็ตาม  

 

 

ดังนั้นในแต่ละวันจึงมีความต้องการบริโภคอาหารเป็นจำนวนมหาศาล  

 

 

“นั่นถือเป็นการตัดกำลังฝ่ายตรงข้ามได้อย่างดี ขวัญกำลังใจในหมู่ผู้บำเพ็ญลับของพวกเขายังคงอยู่ในระดับต่ำ และควบคู่ไปกับความอดอยากที่กำลังจะมาถึงนี้ พวกเขาก็จะได้เพียงกลุ่มคนที่ไร้ประโยชน์ หากเราไม่นับรวมจำนวนผู้บำเพ็ญลับของพวกเขา จำนวนผู้บำเพ็ญที่มีประสิทธิภาพทั้งหมดของพวกเขาก็เทียบได้กับของเรา พวกเรานับว่ามีโอกาสที่จะชนะ!” โยวหมิงอวี่กล่าวอย่างคึกคัก “แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะดีใจ เพราะการคาดการณ์ของพวกเราขึ้นอยู่กับบุคลิกของราชันฟ้าคนที่เก้าเท่านั้น ดังนั้นสถานการณ์อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเราคาดหวังก็ได้”  

 

 

และในขณะนี้เอง รายงานอีกฉบับก็ถูกส่งเข้ามา “เป็นรายงานข่าวกรองจากท่าเรืออาร์เตม!”  

 

 

ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้รู้ความเคลื่อนไหวเพิ่มเติม แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น โยวหมิงอวี่ก็ยังคงเผารายงานนั้นทิ้งหลังจากที่เขาใช้เวลาอ่านมันตั้งนาน เขาอธิบายว่า “ต้องขอโทษด้วยที่ฉันไม่สามารถให้พวกนายดูรายงานฉบับจริงได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลประจำตัวของเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของเราเล็ดลอดน่ะ”  

 

 

“พวกเราเข้าใจ” คนที่เหลือต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย ในช่วงเวลาพิเศษเช่นนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่านั่นอาจจะทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ที่ต้องคิดว่าแม้แต่คนของพวกเขาเองก็ยังคงต้องเก็บตัวอยู่ในความมืดเนื่องด้วยปัญหาบางอย่าง  

 

 

อย่างไรก็ตาม พวกเขาทุกคนต่างก็ยอมรับว่าโยวหมิงอวี่เป็นผู้ทำหน้าที่ในการจัดการข่าวกรองได้อย่างดีที่สุด เนื่องจากเขาสามารถปกป้องสมาชิกสายลับของพวกเขาได้  

 

 

หลังจากที่รายงานข่าวกรองถูกเผาจนเป็นขี้เถ้า โยวหมิงอวี่จึงกล่าวว่า “เป็นผู้มีพลังธาตุน้ำที่มีด้ายแหลมสีเทา ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องเป็นราชันฟ้าคนที่เก้าอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเขากวาดของที่อยู่ในห้องเก็บอาหารและวัสดุจนเกลี้ยงไปสิบเจ็ดห้องจากยี่สิบห้อง…  

 

 

…และไม่ใช่แค่นั้นนะ เขายังกวาดเอารถบรรทุกไปอีกสามสิบเอ็ดคัน อุกอาจชนิดที่ว่าเป็นการลงมือทั้งๆ ที่อยู่ใต้จมูกของพวกกลุ่มแก่นความเชื่อเลยล่ะ และในรถบรรทุกเหล่านั้นก็มีอาวุธวิเศษแบบง่ายๆ อยู่อีกกว่าสองหมื่นชิ้น และถึงแม้ว่าพลังของพวกมันอาจจะเทียบไม่ได้กับกระบี่ไขว้ของกลุ่มแก่นความเชื่อ แต่ของเหล่านี้ก็จะช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจและประสิทธิภาพในการต่อสู้ให้พวกผู้บำเพ็ญลับได้อย่างแน่นอน”  

 

 

ทั้งกลุ่มเงียบไปหลังได้ฟังข้อมูลใหม่  

 

 

ก่อนหน้านี้ไม่นาน พวกเขายังล้อเล่นกันอยู่เลยว่าหลี่ว์ซู่จะกวาดเอาของจากฐานขนส่งนั่นมาได้มากน้อยแค่ไหน แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าหลี่ว์ซู่จะทำอะไรที่บ้าระห่ำขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาได้ขโมยอาวุธมาตรฐานมาอีกกว่าสองหมื่นชิ้นไปแบบต่อหน้าต่อตาพวกศัตรู…  

 

 

“แต่ยังมีคำถามอีกข้อ” โยวหมิงอวี่กล่าว “ตามรายงานที่ฉันได้มา หลี่ว์ซู่เลือกที่จะทิ้งโอกาสในการหนีลงทะเล ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาเปลี่ยนใจและตัดสินใจหนีเข้าไปในป่าทางเหนือ”  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset