มีตำนานเล่าขานว่าบนภูเขาจั่งไป๋มีวิญญาณอยู่ และวิญญาณตนนั้นจะปรากฏตัวในตอนกลางคืนเท่านั้น คนที่อยากรู้อยากเห็นจะถูกแสงไฟสีส้มดึงดูดเข้าไป จากนั้นก็จะไม่มีใครพบคนพวกนั้นอีกเลย
หลี่ว์ซู่คิดว่าเขาน่าจะเอาเรื่องนี้มาทำในแบบสมัยใหม่ได้ พอวันที่สองที่เขาเข้ามาในบริเวณใจกลางของภูเขาเท่านั้น ผู้บำเพ็ญจำนวนมากก็ตายไปเพราะกฎย้อนป่ามืดมิดของหลี่ว์ซู่
หลี่ว์ซู่กำลังดีอกดีใจขณะคิดว่าเขาจะได้แต้มอารมณ์เยอะแค่ไหนเมื่อข่าวลือนี้แพร่สะพัดออกไป
เดี๋ยวก่อนนะ หรือว่าคนที่ปล่อยตำนานไปตอนแรกจะใช้วิธีเดียวกับเขากันเนี่ย!
คงไม่เป็นอย่างนั้นหรอกน่า หลี่ว์ซู่ส่ายหัวสลัดความคิดนั้นทิ้งไป เขาเชื่อว่าเขาเป็นอัจฉริยะคนแรกที่คิดค้นเรื่องนี้ขึ้นมาได้อย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่เขาเอาข่าวลือนี้ไปปล่อยต่อไปไม่ได้ เพราะจุดประสงค์ของการฆ่าคนที่เข้ามาติดกองไฟของเขาก็เพื่อรักษาความลับเรื่องตัวตนของเขาเอาไว้ พวกคนโง่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวจะได้เข้ามาติดกับของเขามากขึ้นอย่างไรล่ะ
หลังจากสงครามจบไปแล้วหลี่ว์ซู่จะได้เขียนเรื่องผีจากประสบการณ์จริงของเขาเพื่อหาแต้มอารมณ์เพิ่ม
แต่ถึงอย่างนั้นหลี่ว์ซู่ก็ตระหนักได้ว่าวิธีการนี้ใช้ในระยะยาวไม่ได้ผล เพราะผู้บำเพ็ญจากต่างประเทศมีเครื่องมือสื่อสารทางไกล และแผนลับของเขาก็อาจถูกเปิดโปงได้ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นเขาอาจจะตกเป็นเป้าของหลายๆ องค์กรไปโดยปริยาย
กองไฟส่งแสงวูบวาบในความมืด ไฟสีส้มดูอบอุ่นและสงบ พื้นโดยรอบก็แห้งด้วยความร้อนจากเปลวไฟ
ในป่าภูเขาลึกอย่างนี้จะมีอุณหภูมิต่ำและมีความชื้นสูงในตอนกลางคืนซึ่งทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามก็ไม่มีใครกล้าที่จะก่อกองไฟในบริเวณเปิดโล่งอย่างนี้ และผู้คนเลือกที่จะทนไม่สบายตัวอยู่เงียบๆ ดีกว่า
ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็ได้ยินเสียงใบไม้ดังสวบสาบ เขามองขึ้นไปในความมืดและเห็นกลุ่มของเครือข่ายฟ้าดิน
หลี่ว์ซู่ยิ้มให้ “มานั่งทำตัวให้อุ่นกันสิ”
แต่กลุ่มคนพวกนั้นขมวดคิ้วแล้วมองไปที่ศพทั้งหลายที่กระจายอยู่บนพื้น หลี่ว์ซู่ไม่ได้สนใจเท่าไหร่เพราะเขาเข้าใจดีว่าคนที่ผ่านมาอาจจะตกใจกับภาพที่เห็นได้
หลี่ว์ซู่เอาแผนที่ของภูเขาจั่งไป๋ออกมากางและเขาก็ขีดแต้มทำเครื่องหมาย ภูเขานี้ใหญ่มาก หลี่ว์ซู่เลยต้องตรวจสอบตำแหน่งของเขา และดูเส้นทางที่จะต่อไปทุกวัน
แต่อย่างไรก็ตามกลุ่มของเครือข่ายฟ้าดินก็เข้ามาใกล้เขาได้อยู่ดี ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย และหลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่าพวกเขาอยู่รอบตัวเขาเต็มไปหมด!
หลี่ว์ซู่เงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตัว วินาทีต่อมาเขาใช้มือทั้งสองยันตัวขึ้นและถอยไปข้างหลังด้วยความรวดเร็วเหมือนนกฮูก
ทันใดนั้นก้อนหินที่หลี่ว์ซู่นั่งเมื่อสักครู่ก็แตกออกมาจากพื้น และพื้นที่รอบๆ ก็ถูกบดขยี้ด้วยแรงระเบิด!
หลี่ว์ซู่ค่อยๆ ยืนขึ้นเมื่อเขาร่อนตัวลงบนพื้นอย่างปลอดภัย เขาต้องคิดกลับไปว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาก็คิดออกว่ามีพฤติกรรมของพวกที่เดินผ่านมานั้นมีอะไรบางอย่างแปลกๆ
อย่างแรกเลยก็คือบริเวณนี้กินพื้นที่เข้าไปในแนวหน้าของพวกศัตรู หลี่ว์ซู่ไม่เห็นพวกกลุ่มเครือข่ายฟ้าดินกลุ่มอื่นอีกเลยนับตั้งแต่ตอนที่กลุ่มของหม่าโหย่วจินมาถึง
เพราะฉะนั้นถ้าเขาเจอพวกเครือข่ายฟ้าดินที่มุ่งหน้ามาหาเขาจากทางตะวันออกอีกก็แปลกน่าดู อีกอย่างระดับพลังงานที่กลุ่มคนพวกนี้ปล่อยออกมานั้นดูจะแข็งแกร่งกว่ากลุ่มลาดตระเวนไปมาก อยู่ๆ รายละเอียดเหล่านี้ก็ไหลเข้ามาในหัวของเขา
อีกอย่างก็คือเขารู้ว่ากลุ่มคนพวกนี้เป็นกลุ่มที่เตรียมตัวมาดีมาก เพราะสมาชิกทุกคนเป็นคนเอเชียที่อยู่ในเครื่องแบบของเครือข่ายฟ้าดิน แต่เมื่อดูหน้าใกล้ๆ แล้วเครื่องหน้าของพวกเขาดูจะเหมือนคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เสียมากกว่า
ซึ่งก็อธิบายได้ตั้งแต่แรกเลยว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ยอมพูดอะไร เพราะกลัวจะโดนจับได้ที่พูดภาษาจีนออกมาอย่างกระท่อนกระแท่น
หลี่ว์ซู่มีสีหน้าน่ากลัวขึ้นมาทันที หากสหายร่วมรบของเขามาเจอกลุ่มคนพวกนี้ก่อนเขา พวกเขาก็คงตกอยู่ในอันตรายไปแล้ว เขามองอะไรไม่ค่อยชัดในตอนกลางคืน ใครจะไปคิดว่าคนที่ใส่ชุดเครื่องแบบเหมือนกันจะเป็นศัตรูไปได้
แต่พวกคนกลุ่มนั้นไม่ได้ดูประหลาดใจอะไรเลยที่พวกเขาฆ่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้ในการโจมตีแรก พวกเขาเห็นแล้วว่ามีศพกองอยู่ข้างกองไฟเยอะแค่ไหน และพวกเขาจะประมาทฝีมือของชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้
พวกเขาเป็นกลุ่มต่อสู้ชั้นยอดที่ได้รับการคัดเลือกมาอย่างดี ดังนั้นพวกเขาไม่กลัวหลี่ว์ซู่เลยแม้แต่น้อย และพวกเขาก็มั่นใจด้วยอีกว่าจะสามารถฆ่าราชันฟ้าได้!
กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่อันตรายจริงๆ นั่นแหละ พวกเขาวางแผนที่จะบุกทะลุเข้ามาในแนวป้องกันของเครือข่ายฟ้าดินโดยแกล้งปลอมตัวเป็นพวกเดียวกัน อีกอย่างในกลุ่มนี้ยังมีคนระดับ B อยู่ด้วย!
ตอนที่องค์กรระดับโลกทั้งหลายกำลังรวมตัวกันอยู่ที่เนินเขาทางด้านตะวันออกของภูเขาจั่งไป๋ หลี่ว์ซู่จึงไม่ประหลาดใจเลยที่เห็นกลุ่มเล็กๆ ที่มีแต่ผู้เชี่ยวชาญอยู่ที่นี่
คนกลุ่มนั้นกำลังเดินเข้ามาใกล้หลี่ว์ซู่ แต่หลี่ว์ซู่ไม่ได้คิดอยากจะไปเผชิญหน้ากับพวกเขาตรงๆ เขากลับเดินเข้าไปในป่ามืดๆ และส่งเสียงหัวเราะหยามออกมาอย่างเยียบเย็น “พวกแกไม่เหมาะสมจะได้ใส่เครื่องแบบนี้เลยสักนิด”
หลี่ว์ซู่หันตัวแล้วพุ่งเข้าไปป่า เขาเร่งความเร็วผ่านทางขรุขระอย่างว่องไว และคนกลุ่มนั้นก็ตามหลังเขามาติดๆ
หลี่ว์ซู่พบว่าฝ่ายตรงข้ามนักสู้ที่มีประสบการณ์ และการไล่ล่าในป่าครั้งนี้ก็น่าตื่นเต้นตั้งแต่เริ่ม
ที่หลี่ว์ซู่หนีเข้าป่ามาไม่ใช่เพราะกลัวคนกลุ่มนี้ แต่เป็นเพราะเขากลัวว่าคนกลุ่มนี้จะหนีเขาไปต่างหาก!
เพราะเขาคงจะฆ่ากลุ่มคนที่กระจัดกระจายอยู่ในป่ามืดๆ ได้ยาก
อีกอย่างหลี่ว์ซู่จะไม่มีปล่อยให้พวกคนกลุ่มนี้ไปคุกคามสหายร่วมรบคนอื่นๆ ของเขาแน่นอน!
ระหว่างการไล่ล่านั้นคนในกลุ่มสังเกตเห็นว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้รวดเร็วมาก แต่เขาดูจะคุ้นเคยกับป่าแห่งนี้พอสมควร
ซึ่งนั่นทำให้คนในกลุ่มรู้สึกประหม่าขึ้นมา เพราะประสบการณ์ต่อสู้ของพวกเขาสอนว่าการคุ้นเคยกับภูมิประเทศรอบๆ นั้นจะทำให้ได้เปรียบอย่างมาก
ถ้าเกิดพวกเขาปล่อยให้หลี่ว์ซู่คลาดสายตาไป พวกเขาก็คงทำได้แค่แกะรอยกิ่งไม้หรือใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาและตามร่องรอยนั้นไปเท่านั้น
และทันใดนั้นใบไม้ข้างหลังกลุ่มคนพวกนี้ก็เกิดระเบิดขึ้น หลี่ว์ซู่กระโดดออกมาแล้วใช้มือรัดคอคนที่ยืนอยู่หลังสุด
เขาล้มลงบนพื้นแบบไม่ทันได้ตั้งตัว หลี่ว์ซู่ออกแรงดึงจนเขาต้านไว้ไม่อยู่
เมื่อสมาชิกในกลุ่มรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็รีบโจมตีทันที แต่หลี่ว์ซู่ก็ได้ฆ่าเพื่อนในกลุ่มของพวกเขาลงกับพื้นในพริบตา จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็ถอยกลับเข้าไปในป่ามืดอีกครั้ง!
ครึ่งหน้าของหลี่ว์ซู่ปรากฏสว่างอยู่ใต้แสงจันทร์ก่อนที่เขาจะหายตัวไป สมาชิกในกลุ่มเห็นด้วยว่าหลี่ว์ซู่กำลังยิ้มให้พวกเขาอยู่!