ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 777 ยุคแห่งมหาสงคราม

หลี่ว์ซู่ไล่ยื่นคิวอาร์โค้ดให้ทุกคนเพิ่มเป็นเพื่อน แล้วก็เป็นครั้งแรกที่ทำให้หลี่ว์ซู่รู้ว่าจำนวนเพื่อนถูกจำกัดเอาไว้มากสุดแค่ห้าพันคนเท่านั้น  

 

 

เมื่อก่อนหลี่ว์ซู่เห็นเวยป๋อตัวเองก็คิดว่าสามารถเพิ่มเพื่อนได้ไม่จำกัด ไม่เช่นนั้นเวยป๋อจะรักษาธุรกิจไว้ได้ยังไง  

 

 

แต่ตอนนี้เริ่มยากแล้ว หลี่ว์ซู่เห็นจำนวนเพื่อนที่ครบจำนวนแล้วก็รู้สึกขัดใจ เส้นทางที่มีมนุษย์เป็นพื้นฐานของทุกสิ่งต้องเดินทางหมื่นลี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นกลับต้องมาตกม้าตายซะได้  

 

 

เขาค่อยๆ เดินไปด้านหน้าสุด นักศึกษาทุกคนจับจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียวกัน หลี่ว์ซู่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีวันที่มีคนมากมายขนาดนี้มาฟังเขาสอนจึงตื่นเต้นจนหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ  

 

 

ถึงระยะนี้อาชีพอาจารย์จะถูกวิจารณ์อย่างหนักแต่หลี่ว์ซู่ก็ยังรู้สึกว่าการถ่ายทอดความรู้ คลายความสงสัยยังเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์เช่นเคย ถ้าไม่มีคนถ่ายทอดความรู้คลายข้อสงสัย วัฒนธรรมของมนุษยชาติเราจะสืบทอดต่อไปได้อย่างไร  

 

 

ทุกคนต่างรอให้หลี่ว์ซู่เริ่มสอน ทุกคนอยากฟังประสบการณ์การต่อสู้ที่ผ่านมาของหลี่ว์ซู่ ไม่แน่ในอนาคตสักวันหนึ่งอาจจะเอาไปใช้ได้จริง  

 

 

แต่ตอนนี้เองหลี่ว์ซู่ก็เริ่มก้มหน้าและล้วงโทรศัพท์มือถือออกมา  

 

 

นักศึกษาทุกคนต่างกระซิบกระซาบกันไปมา “ทำอะไรน่ะ คงไม่ได้จะเรียกชื่อนะ”  

 

 

“ไม่น่าใช่นะกว่าจะเรียกชื่อเสร็จก็หมดคาบพอดี”  

 

 

แต่อยู่ๆ ก็มีคนร้องตะโกนว่า “ใต้เท้าหลี่ว์ซู่ส่งข้อความในกลุ่มเพื่อน! “  

 

 

คนข้างๆ ก็ตกใจ นี่คือการสอนเหรอคนตั้งมากมายรอฟังอยู่แต่กลับมาส่งข้อความซะงั้น  

 

 

ทุกคนรีบเปิดมือถือขึ้นมาดู คนที่ไม่ได้เป็นเพื่อนก็มุงมาดูกับคนที่ได้เพิ่มเพื่อน ในตอนแรกคนที่ไม่ได้เพิ่มเพื่อนรู้สึกเสียใจถ้าได้เป็นเพื่อนกับใต้เท้าหลี่ว์ซู่คงดีไม่น้อยได้รู้เรื่องก่อนใครไม่อย่างนั้นก็ต้องรอได้ข่าวจากคนอื่นแบบนี้  

 

 

พวกเขากดเปิดดูในกลุ่มก็นิ่งไปเป็นแถวเปิดออกมาเป็นข้อความว่า  

 

 

พวกนายอยากไปอาบน้ำด้วยกันกับฉัน  

 

 

.  

 

 

.  

 

 

.  

 

 

.  

 

 

.  

 

 

ในมหาสมุทรแห่งความรู้ไหม  

 

 

[ได้แต้มจากหลิงหลี่ +131!]  

 

 

[ได้แต้มจากเฉินจู่อาน…]  

 

 

[ได้แต้มจาก…]  

 

 

ทุกคนสูดหายใจเฮือกใหญ่ นี่มัน…เรื่องบ้าอะไรกัน!  

 

 

ท่านพี่ คนเป็นหมื่นรอฟังพี่สอนอยู่พี่จะรอทุกคนเล่นแบบนี้ไม่ได้นะ  

 

 

เดิมทีคนที่อิจฉาคนอื่นว่าได้เป็นเพื่อนพอเห็นแบบนี้ก็กลับมานั่งที่นั่งตัวเอง นักศึกษาที่อยู่ข้างๆ ก็มองเขาเงียบๆ “เธอเอาไปเป็นเพื่อนไหม”  

 

 

“ไม่เอาๆ ” เขาคนนั้นสะบัดมือไล่ “ฉันว่าตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว”  

 

 

ตอนนี้เฉินจู่อานอยู่ๆ ก็ส่งข้อความเข้ามาว่า อยากดูอาบน้ำ  

 

 

เฉิงชิวเฉี่ยวสูดหายใจเข้า “พี่จู่อาน พระก็ช่วยพี่ไม่ได้แล้ว”  

 

 

หลี่ว์ซู่เงยหน้าขึ้นมองเฉินจู่อาน เขาพูดขึ้นมากับทุกคนว่า “ตอนนี้เริ่มเรียนอย่างเป็นทางการ ขอเชิญนักศึกษาเฉินจู่อานขึ้นมาข้างหน้าสาธิตวิธีการโจมตีและป้องกัน”  

 

 

เฉินจู่อานหน้าชาเลยเขาไม่อยากขึ้นไปเอาเสียเลยแต่ปัญหาคือหลี่ว์ซู่มองเขาและหัวเราะเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ เขาก็ไม่กล้าที่จะไม่ขึ้นไป  

 

 

เจ้าอ้วนแข็งใจแล้วเดินไปข้างๆ หลี่ว์ซู่ หลี่ว์ซู่ยกมือตบหลังหัวเขาทันทีจากนั้นพูดกับทุกคนว่า “ศัตรูทั่วไปจะไม่โจมตีอย่างนี้ ในสนามศึกจงอย่ามีความเมตตา ความเมตตาต่อศัตรูคือการโหดร้ายกับตนเอง อย่าคิดจะเป็นนักบุญโดยเด็ดขาด นักบุญเคยออกรบเหรอ ถ้าเคยออกรบเขาถูกฆ่าตายไปนานแล้ว”  

 

 

[ได้แต้มจากเฉินจู่อาน +666]  

 

 

เอาคืนแบบเป็นงานเป็นการแบบนี้เลยเหรอ เฉินจู่อานทำหน้าเครียด  

 

 

ทุกคนเงียบไม่มีใครพูดอะไรเลย คำพูดของหลี่ว์ซู่มีเหตุผล แต่คำถามคือ…เขากำลังเอาคืนเฉินจู่อานอยู่ชัดๆ เลย!  

 

 

เฉิงชิวเฉี่ยวหัวเราะเสียงดังอุ๊บ หลี่ว์ซู่กวาดสายตามองไป “เฉิงชิวเฉี่ยวนายก็มานี่ด้วย”  

 

 

ตอนนี้มีคนซวยเป็นเพื่อนมันก็ดีอยู่หรอกแต่เฉินจู่อานเคยทบทวนตัวเองว่าทำไมปากชอบหาเรื่องอยู่เรื่อยแต่เขาก็คุมตัวเองไม่ได้สักที  

 

 

แต่ตอนนี้ไม่เป็นไร เฉิงชิวเฉี่ยวขึ้นมาด้วยอย่างน้อยก็แบ่งความกดดันไปได้ครึ่งหนึ่ง  

 

 

หลี่ว์ซู่พูดกับเฉิงชิวเฉี่ยว “มา ชิวเฉี่ยวต่อยเฉินจู่อานซัดหมัด”  

 

 

เฉินจู่อาน “??? “  

 

 

[ได้แต้มจากเฉินจู่อาน +666]  

 

 

“ต่อยฉันทำไม” เฉินจู่อานหน้าแดงจนถึงคอเลย “ต้องต่อยเขาสิ! “  

 

 

นักศึกษาที่นั่งอยู่เห็นพวกหลี่ว์ซู่ล้อกันเล่นไปมา คิดแล้วทุกคนก็เข้าใจว่าพวกเขาต้องมีความสัมพันธ์ดีระดับหนึ่งถึงจะล้อเล่นกันแบบนี้ ได้  

 

 

สาขาวิจัยสายพันธุ์มีคนน้อยแต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาดีมาก  

 

 

ละครฉากนี้ผ่านไปหลี่ว์ซู่จึงเริ่มการสอนอย่างเป็นทางการ เขาพูดกับนักเรียนนับหมื่นคนที่เริ่มเงียบลงว่า “ในตอนนี้บางทีพวกนายหลายๆ คนอาจกำลังกระหายการต่อสู้ แต่ส่วนใหญ่ยังไม่เคยผ่านสงครามจริงๆ กันเลย ดัชนีความโหดร้ายของสงครามนั้นสูงกว่าที่พวกเราจินตนาการเอาไว้มากมาโดยตลอด ดังนั้นพวกนายต้องเข้าใจในตัวเองก่อนว่าต้องกลับไปเผชิญหน้ากับอะไร”  

 

 

“เมื่อครู่ไม่ได้ล้อเล่นกับทุกคน ในสงครามไม่มีคำว่าเมตตา ไม่เช่นนั้นความโง่เขาจะกลายเป็นคำจารึกหน้าหลุมศพของพวกนาย”  

 

 

คาบแรกของหลี่ว์ซู่ไม่ได้บรรยายเทคนิคการต่อสู้ภาคปฏิบัติว่าคืออะไรและสิ่งที่เขาสามารถมอบให้ทุกคนไม่ใช่กระบวนท่า วิชาจากหอกระบี่ไม่สามารถสอนคนอื่นได้ แผนภูมิดวงดาวก็สอนไม่ได้เช่นกัน  

 

 

สิ่งที่เขาสอนทุกคนได้คือทัศนคติที่ต้องมีพร้อมท่ามกลางเลือดและคมดาบ  

 

 

คาบแรกสิ่งที่หลี่ว์ซู่สอนคือเรื่องราวของตนเองในโบราณสถานเป่ยหมัง เล่าเรื่องที่เขาเจอกับบรรดาไข่ในหินและการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของเขาหลังจากเเจอทหารม้าโครงกระดูกและเล่าถึงการต่อสู้ของเขากับสายลับฉางเหิงเยว่ แน่นอนว่าเขาเล่าว่าสามารถสังเกตตัวตนสายลับของอีกฝ่ายจากพลุสัญญาณของฉางเหิงเยว่  

 

 

เช่นเดียวกันเขายังเล่าถึงวิธีที่เหล่าสายลับสังเวยชีวิตของตัวเองอย่างไม่เสียดายในถ้ำใต้ดินนั้น  

 

 

หลี่ว์ซู่ใช้ชีวิตที่สูญไปของแต่ละคนบอกเล่าแก่ทุกคนว่าเมื่อพวกนายกระหายสงครามก็ต้องเตรียมพร้อมเสียสละชีวิตด้วยเช่นกัน  

 

 

เขาไม่ได้เทศนาแต่ใช้ประสบการณ์จริงของตนเอง ขัดเกลาเล็กน้อยแล้วบรรยายให้ทุกคนฟังแม้กระทั่งทัศนคติที่เคยเปลี่ยนไปของตัวเองก็เล่าออกไปบ้าง และรูปแบบการสอนเชิงเล่าเรื่องเช่นนี้ที่ทำให้นักศึกษาทุกคนฟังอย่างใจจดใจจ่อ  

 

 

อาจารย์หูเสี่ยวเหนียนที่มาร่วมฟังด้วยหัวเราะ “ถึงจะไม่ได้สอนกลยุทธ์อะไรนักแต่มีความตั้งใจดีและทักษะการเล่าเรื่องดีมากเล่าดีกว่าฉันซะอีก”  

 

 

พูดเสร็จเขาก็หันหลังกลับไปที่ห้องเรียน ตอนที่เขาเดินกลับไปเขาได้ยินน้ำเสียงอันราบเรียบของหลี่ว์ซู่ดังขึ้นมาว่า “ในสงคราม อาวุธที่สำคัญที่สุดไม่ใช่สติปัญญาของพวกนายและไม่ใช่อาวุธในมือแต่มันคือความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวที่จะเดินหน้าต่อ”  

 

 

หูเสี่ยวเหนียนหยุดเดินและยิ้ม เมื่อก่อนเขามักจะคิดว่าถึงพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนแล้วความรู้ของพวกเขาก็ยังคงล้ำค่าอยู่ ดังนั้นเนี่ยถิงถึงมาเชิญเขาถึงสามครั้ง มันคือความภาคภูมิใจของปัญญาชน  

 

 

แต่ตอนนี้หูเสี่ยวเหนียนเหมือนกับมองเห็นยุคใหม่ในตัวของหลี่ว์ซู่ ยุคที่เต็มไปด้วยพลังที่ไม่เคยมีมาก่อนทำให้เขาต้องกลับไปเขียนแผนการสอนใหม่เสียแล้ว  

 

 

ใช้ทัศนคติใหม่เพื่อพร้อมรับยุคแห่งมหาสงครามที่ใกล้เข้ามา  

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset