ตอนที่ 657 แข่งโต้วาที
อยู่ๆ ก็มีเสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหว ทั้งสองคนพุ่งเข้าหากันโดยไม่มีหยุดยั้งราวกับดาวตกสองดวงวิ่งชนก่อนด้วยความเร็วสูง
ไม่มีใครเคยเห็นเหตุการณ์ที่ผู้มีพลังระดับ A เข้าต่อสู้กันแบบนี้มาก่อนเพราะนี่เป็นเรื่องที่หายากมาก
ย้อนกลับไปก่อนนั้น หลี่เสียนอีเองก็อยากจะประมือกับปรมาจารย์หุ่นเชิดนอกโบราณสถานเกาะช้างเหมือนกัน แต่ปรมาจารย์หุ่นเชิดกลับไม่สู้กลับ ทว่าตอนนี้หัวหน้าบาทหลวงและนักบุญนั้นเข้าต่อสู้กันอย่างเต็มกำลัง นี่เป็นการต่อสู้ที่เดิมพันด้วยชื่อเสียงขององค์กรระดับต้นๆ ของโลก งานนี้ไม่มีใครยอมใครแน่นอน
การต่อสู้นี้เกิดขึ้นทางตะวันออกเฉียงใต้ของแอฟริกา ให้ดูเฉยๆ ก็สนุกดีหรอก แต่ตัวเมืองกลับโดนถล่มราบคาบในทุกที่ที่พวกเขาผ่านไปน่ะสิ
ทั้งสองคนเหาะขึ้นจากพื้นไปประมาณร้อยเมตร พวกเขาบินผ่านเมืองอันกั๋วไปทางใด ตึกอาคารที่อยู่บนพื้นดินก็จะแกว่งไปมาตามแรงที่พวกเขาเข้าปะทะกันด้วย
ตึกอาคารพวกนี้ไม่ได้แข็งแกร่งมากพอจึงโค่นล้มลงมาด้วยแรงระเบิดและล้มลงมาทับคนธรรมดาที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่จนติดอยู่ในซากตึก
ส่วนหัวหน้าบาทหลวงและนักบุญนั้นไม่ได้รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นข้างล่างเลย พวกเขาไม่ได้มีอารมณ์จะมาสนใจเรื่องของคนอื่นนักหรอก ยิ่งไปกว่านั้นแล้วชาวบ้านก็คุ้นเคยกับการต่อสู้แบบนี้จนชินแล้วด้วย
สำหรับประชาชนทั่วโลก พวกเขาคิดว่าโลกที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณนี้ช่างเป็นโลกที่ยุ่งเหยิง แต่สำหรับในแอฟริกาแล้ว ผู้คนล้วนอยู่กับความยุ่งเหยิงนี้มานานแล้ว
เด็กเปลือยไม่ใส่เสื้อผ้าคนหนึ่งมองเหม่อดูดาวตกสองดวงพุ่งใส่กันบนท้องฟ้า ก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น บ้านที่อยู่ข้างๆ เขาก็ถล่มลงมาแล้ว
กลุ่มผู้ใหญ่รีบวิ่งเข้ามาอุ้มเด็กคนนั้นและมองขึ้นไปบนฟ้าด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญ ทหาร หรือทหารรับจ้างก็เหมือนกันหมดแหละสำหรับพวกเขา
โลกไม่เคยใจดีกับพวกเขาเลย ทำให้พวกเขาต้องมาเจอความยากลำบากเจอโรคภัยและสงคราม
ไม่มีใครสนใจการต่อสู้บนฟ้านั่นหรอก ไม่มีใครสนว่าใครจะอยู่หรือใครจะตาย พวกเขาไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับการต่อสู้นี้เสียหน่อย
มีสถานที่มากมายในโลกที่เหมือนกับแอฟริกาในตอนนี้ บางคนอาจไม่เข้าใจหรอกว่าความสงบสุขบนโลกใบนี้เป็นเรื่องไม่แน่นอน เพราะมันต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อ
หลี่ว์ซู่ตรวจสอบทิศทางที่เชากำลังจะไปอยู่ตลอด เขาต้องมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเพื่อหาทะเล
ฟรานเชสโก้ที่ตามเขามาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องมุ่งไปทิศทางนั้น ตอนแรกทุกคนก็คิดว่าหลี่ว์ซู่วิ่งอ้อมมาเพื่อจะขอความช่วยเหลือจากนักบุญ พอนักบุญไม่สนใจหลี่ว์ซู่ ทุกคนก็ดีใจมาก แต่เวลาผ่านไปก็กลับไม่มีใครกล้ายิ้มออกมาเลย
ในขณะที่หลี่ว์ซู่วิ่งอย่างบ้าคลั่งนั้น เขาก็เตะฝุ่นให้ฟุ้งตลบไปด้วย ถ้าฟรานเชสโก้และคนอื่นๆ ไม่หลบ พวกเขาก็คงได้จมกองทรายสีเหลืองกลายเป็นผลงานศิลปะชั้นเยี่ยมแน่…
กลุ่มที่ตามหลี่ว์ซู่ไปนั้นไม่ได้สื่อสารกันตลอดทาง ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากสื่อสารหรอกนะ แต่เป็นเพราะถ้าเปิดปากออกมา ทรายคงกบปากแน่ และนั่นก็คงจะไม่ใช่เหตุการณ์ที่น่าอภิรมย์เท่าไหร่
ถึงแม้ป่านี้จะเต็มไปด้วยทรายแต่มันก็มีสัตว์อยู่หลากหลายชนิด แอฟริกานั้นเป็นสถานที่ที่ขัดแย้งกันจริงๆ ถึงผู้คนจะยากจน แต่ดินกลับอุดมสมบูรณ์
แต่ถ้ามีสัตว์อยู่เยอะก็แปลว่าต้องมีมูลสัตว์อยู่เต็มไปทั่วด้วยแน่ๆ …
หลี่ว์ซู่หยิบกิ่งไม้แล้ววิ่งต่อไป เมื่อเขาเห็นว่ามีมูลสัตว์ก้อนใหญ่อยู่ เขาก็พอใจมาก เขาเอากิ่งไม้นั้นสะบัดมูลสัตว์ไปด้านหลัง
ฟรานเชสโก้และคนอื่นๆ มองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นข้างหน้าเพราะดินทราย จากนั้นก็… ย่าห์!
ฟรานเชสโก้ที่วิ่งด้วยความเร็งสูงนั้นก็สัมผัสโดนกับมูลสัตว์ก้อนหนึ่ง มันค่อยๆ แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเมื่อสัมผัสโดนเข้าไป เสียงแตกนั้นฟังดูราวกับว่ามีอะไรระเบิดดังเผละ
อี๋…
ฟรานเชสโก้ก้มลงและเกือบอาเจียนออกมา บ้าอะไรวะเนี่ย โจมตีให้เหมือนเป็นผู้บำเพ็ญหน่อยได้ไหม!
[ได้แต้มอารมณ์จากฟรานเชสโก้ รุสโซ่ +666!]
ผู้บำเพ็ญในโลกแห่งการบำเพ็ญนั้นฆ่าคนมานักต่อนัก แต่พวกเขาไม่ค่อยมีหัวเรื่องความแข็งแกร่งด้านอารมณ์มากเท่าไหร่และไม่ทันได้ระวังกลยุทธ์สกปรกๆ แบบนี้ พวกเขาไม่ได้มีร่างกายอ่อนแอกันเลย แต่พวกเขาก็ไม่ได้รับการฝึกซ้อมพิเศษ
กองทัพบางกองทัพมีการฝึกให้กินแมลงหรือแม้กระทั่งมูลสัตว์เผื่อต้องนำไปใช้หากต้องการอยู่รอดในสนามรบ อย่างมูลของสัตว์บางชนิดเช่นกระต่ายนั้นก็มีสารอาหารอยู่เยอะเหมือนกัน…
ในฐานะที่ฟรานเชสโก้เป็นนักวิชาการคนสำคัญของฝ่ายศรัทธา เขามีชีวิตที่สุขสบายพอควรเลยทีเดียว เขาต่อสู้ได้อย่างแข็งแกร่ง แต่เขาไม่คิดเลยว่าจะโดนเล่นงานด้วยแผนสกปรกแบบนี้
หากคนถูกตามไม่ระวังตัวให้ดีละก็ เขาอาจจะถูกฆ่าโดยยอดฝีมือระดับ B ตั้งห้าคนได้ เขาควรจะต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอดไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงได้มีแผนเล่นสกปรกมากมายขนาดนี้ได้
ฟรานเชสโกเป็นผู้ดีสุภาพบุรุษ เขารับไม่ได้เลยสักนิด แล้วนักวิชาการคนสำคัญกลายเป็นคนเปื้อนดินสกปรกแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย!
ไม่ใช่สิ เขาเป็นคนเปื้อนดินสกปรกมาก่อนอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เขากลายเป็น…คนเปื้อนมูลสัตว์!
[ได้แต้มอารมณ์จากฟรานเชสโก้ รุสโซ่ +666!]
ผู้บำเพ็ญจากยุโรปแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นผู้บำเพ็ญที่รู้สึกว่าตัวเองและผู้มีพลังนั้นเป็นคนธรรมดาๆ พวกเขาเป็นคนธรรมดาที่เผอิญมีความสามารถในด้านการบำเพ็ญก็เลยไม่รู้สึกแปลกแยกมากเท่าไหร่
แต่อีกกลุ่มนั้นรู้สึกต่างออกไป เพราะฝ่ายศรัทธานั้นคิดว่าตัวเองถูกเบื้องบนเลือกมา และมีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนคนทั่วไป เพราะฉะนั้นคนธรรมดาก็ควรจะสนับสนุนพวกเขา นี่ไม่ใช่แค่หลักการขั้นพื้นฐานสำหรับการอยู่เหนือคนอื่นเท่านั้น แต่พวกเขาเชื่อแบบนั้นจริงๆ น่ะสิ
เรื่องนี้ทำให้เกิดการโต้แย้งเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ต่างๆ ในโลก และการโต้แย้งนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ยุโรปเท่านั้น มีการโต้เถียงแบบนี้ในอเมริกาเหมือนกัน
ส่วนกลุ่มเทพเจ้านั้นอยู่คนละชั้นโดยสิ้นเชิง พวกเขาบอกว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นลูกหลานที่สืบเชื้อสายของไททัน เพราะตำนานเขียนไว้อย่างนั้น…
ตอนแรกทุกคนก็คิดว่ากลุ่มเทพเจ้านั้นต้องการใช้การโต้แย้งนี้เพื่อทำให้คนธรรมดาในยุโรปเหนือเป็นทาสใต้อาณัติ เพราะที่สุดแล้วผู้บำเพ็ญจากองค์กรหลายคนก็เอาการโต้แย้งนี้มาเป็นข้ออ้างในการปกครองคนธรรมดา
แต่หลังจากนั้นทุกคนก็รู้ได้ว่ากลุ่มเทพเจ้าไม่ได้มีความคิดนั้นอยู่เลย พวกเขาแค่คิดไปในแบบที่แปลกประหลาดมากไปหน่อย
ที่กลุ่มเทพเจ้าหมายถึงนั่นก็คือเผ่าพันธุ์ของพวกเขาแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เหมือนความแตกต่างระหว่างหมาและแมว ไม่มีใครมีสิทธิ์มากกว่า พวกเขาต้องการอยู่ร่วมกันและเป็นเพื่อนกับมนุษย์เท่านั้น พวกเขาเชื่อว่าทุกคนนั้นเท่ากันหมด…
น่าทึ่งมากที่คนในโลกบำเพ็ญหรือกระทั่งพวกมนุษย์เองก็ไม่มีใครเข้าใจความคิดนี้ของพวกเขาสักคน…