ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 31 กลางดึก

ร่างของหวงฝู่เย่าเย่ว์หยุดชะงัก มองเห็นบ่าวรับใช้คนหนึ่ง อ้าปากหาว พร้อมถามนางด้วยความงัวเงีย   
 
 
“อ้อ วันนี้ข้านอนแต่หัววัน เวลานี้จึงได้นอนไม่หลับ ออกมาเดินเล่นเสียหน่อย ข้าทำให้เจ้าตื่นหรือ”  
 
 
บ่าวรับใช้หาวอีกครั้ง โบกมือ “มิใช่เจ้าค่ะ ข้ากำลังจะไปเข้าห้องน้ำ เห็นนายท่านอยู่ด้านนอก คิดว่าท่านมีอะไรให้รับใช้”  
 
 
ที่แท้ก็ตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำนี่เอง หวงฝู่เย่าเย่ว์โล่งใจ พูดว่า “รีบไปนอนเถิด ดึกแล้ว ข้าจะไปพักแล้วเช่นกัน”  
 
 
พูดจบ เดินเข้าไปด้านใน  
 
 
บ่าวรับใช้เดินไปยังห้องน้ำ เดินไปไม่นาน รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จึงได้หยุดฝีเท้าลง หันไปมองหวงฝู่เย่าเย่ว์  
 
 
แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์เข้าไปในเรือนแล้ว ประตูปิดสนิท  
 
 
บ่าวรับใช้เก็บสายตากลับมา เดินเข้าห้องน้ำด้วยความสงสัย  
 
 
ภายในห้อง หวงฝู่เย่าเย่ว์ตบหัวใจที่เต้นแรงของตน ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง หนึ่งชั่วยามแห่งการสำรวจเส้นทางและจิตใจที่ตึงเครียด ทำให้นางรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง หลังจากดึงผ้าห่มมาห่มบนตัว ก็นอนลงในสภาพเช่นนั้น หลับตาลง ไม่นานก็หลับสนิท  
 
 
ในโรงเตี๊ยม ภายใต้การแนะนำของเมิ่งเชี่ยนโยว หลินหันเยียนขอห้องสามห้อง หวงฝู่สือเมิ่งและนางนอนหนึ่งห้อง หวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่เฮ่านอนห้องเดียวกัน ส่วนหลินหันเยียนนอนผู้เดียว เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว หลินหันเยียนหันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ข้าจะไปถามด้านล่างว่าจวนองค์ชายใหญ่อยู่ที่ใด พวกเจ้าไปพักผ่อนกันก่อนเถิด”  
 
 
คนทั้งหมดพูดภาษารัฐอิงไม่ได้ จะออกไปก็ไร้ประโยชน์ เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า สั่งว่า “ระวังตัวด้วย”  
 
 
ย้ายมาอยู่ที่ชายแดนหลายปีแล้ว หลินหันเยียนเข้มแข็งและกล้าหาญมากขึ้น เมื่อได้ยินดังนั้น จึงยิ้มและพยักหน้า พูดเสียงเบาว่า “ซื่อจื่อเฟยวางใจได้เจ้าค่ะ นี่เป็นเมืองหลวงของรัฐอิง ไม่มีเรื่องอะไรเจ้าค่ะ”  
 
 
หลินหันเยียนเดินลงไปด้านล่าง   
 
 
หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่านั่งลงบนเก้าอี้ แต่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไปที่ริมหน้าต่าง เปิดหน้าต่างออก มองบรรยากาศของเมืองหลวงแห่งรัฐอิง   
 
 
สีหน้าและแววตาเปลี่ยนไปมา ร้อนใจและรู้สึกผิด เย่ว์เอ๋อร์อยู่ในจวนองค์ชายใหญ่ บางทีอาจจะกำลังถูกทรมานอยู่ก็เป็นได้ แต่พวกเขาในฐานะพ่อแม่กลับช่วยอะไรไม่ได้เลย เป็นครั้งแรกของชีวิตนี้ ที่พวกเขารู้สึกว่าไร้ความสามารถ  
 
 
ยื่นมือออกมา โอบกอดเมิ่งเชี่ยนโยวเอาไว้ในอก เสียงทุ้มของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นข้างหูเมิ่งเชี่ยนโยว น้ำเสียงมั่นใจว่า “เย่ว์เอ๋อร์จะต้องไม่เป็นไร”  
 
 
ประโยคนี้พูดขึ้นมาเพื่อปลอบประโลมเมิ่งเชี่ยนโยว และเพื่อปลอบใจตนเอง ลูกสาวของหวงฝู่อี้เซวียน ไม่ทีทางเป็นอะไรโดยง่าย  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าในอ้อมกอดของเขา พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว “หากเย่ว์เอ๋อร์ไม่เป็นอะไร ข้าจะไว้หน้ารัฐอิงอยู่ แต่หากเกิดอะไรขึ้นกับเย่ว์เอ๋อร์ ข้าจะให้รัฐอิงมาชดใช้ ข้าพูดจริงทำจริง”  
 
 
“ใช่ หากเย่ว์เอ๋อร์เป็นอะไร เราสองคนร่วมมือกัน กำราบรัฐอิงให้สิ้น”  
 
 
ใบหน้าของหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่าตึงเครียด ปากเม้มแน่น มือน้อยๆ กำแน่น อยากจะบุกเข้าไปที่จวนองค์ชายใหญ่เสียเดี๋ยวนี้   
 
 
ครึ่งชั่วยามผ่านไป หลินหันเยียนกลับมา พร้อมกับแผนที่ในมือ พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ข้าใช้เงินสองตำลึงซื้อแผนที่เมืองหลวงมาได้เจ้าค่ะ” พูดพลางชี้นิ้วไปที่จุดหนึ่ง พูดต่อว่า “นี่คือจวนองค์ชายใหญ่ อยู่ไม่ไกลมากจากที่พักของพวกเรา ขี่ม้าไป ไม่นานก็ถึงแล้วเจ้าค่ะ”  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวรับมา วางแผ่บนโต๊ะ หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เฮ่าเองก็เดินเข้ามาดู ฟังหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวศึกษาแผนที่ ศึกษาตำแหน่งของจวนองค์ชาย  
 
 
เมื่อศึกษาดีแล้ว ไม่นานก็ตัดสินใจได้ หวงฝู่สือเมิ่งหวงฝู่เฮ่าและหลินหันเยียนอยู่รอที่ที่พัก ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไปจวนองค์ชายกลางดึก  
 
 
หลินหันเยียนรู้ดีว่าวิชาของนางสามารถใช้ป้องกันตัวได้ แต่หากเจอกับมือฉกาจเข้าคงทำได้เพียงหนีเท่านั้น จึงไม่พูดอะไรมา พยักหน้าเห็นด้วยทันที  
 
 
หลังจากกินอาหารเย็น ก็พักผ่อนเล็กน้อย  
 
 
เมื่อถึงยามสอง ขณะที่คนในที่พักต่างหลับไหลกันจนหมดแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวตื่นขึ้นมา กระโดดออกจากหน้าต่างชั้นสอง ด้วยกลัวว่าจะทำให้คนงานในที่พักตื่น จึงไม่แม้แต่จะขี่ม้า หวงฝู่อี้เซวียนกอดเมิ่งเชี่ยนโยวแน่น ใช้พลังวิชา เพียงครึ่งชั่วยามก็มาถึงหน้าจวนองค์ชาย  
 
 
เวลาดึกมากแล้ว ประตูของจวนองค์ชายใหญ่ปิดสนิท หน้าประตูมีโคมไฟดวงใหญ่แขวนอยู่ ส่องสว่างจนทำให้เห็นประตูชัดเจน   
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนวางเมิ่งเชี่ยนโยวลง   
 
 
เมิงเชี่ยนโยวยืนมั่นคง โน้มเอวลง หยิบหินก้อนเล็กมาจากพื้นดิน โยนเข้าไปด้านในสุดแรง จากนั้นทั้งสองคนหลบเข้าไปในเงามืด  
 
 
เสียงทุ้มหนักแน่นดังขึ้นมา “ผู้ใด”  
 
 
จากนั้นประตูถูกเปิดออก ชายฉกรรจ์สองร่างพุ่งออกมา มองไปที่สองข้างทางด้วยสีหน้าจริงจัง  
 
 
ขณะเดียวกัน บนกำแพงมีชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งกระโดดขึ้นมา ยืนอยู่ที่สูง มองออกมานอกจวน  
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นหายใจ   
 
 
ด้านนอกเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่คน หรือผี ชายฉกรรจ์สี่คนมองหน้ากัน หนึ่งในนั้นพูดว่า “ไม่มีผู้ใด พวกเราอาจหูฝาดไปก็เป็นได้”  
 
 
แต่ชายฉกรรจ์คนหนึ่งกลับพูดขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “ไม่มีทาง ได้ยินชัดว่าเป็นเสียงของตกลงบนพื้น”  
 
 
“หลายวันมานี้องค์ชายใหญ่ไม่อยู่ใจวน พ่อบ้านสั่งว่าต้องระวังเป็นพิเศษ หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น หัวพวกเราอาจหลุดจากบ่าได้ ”  
 
 
พูดจบ จึงพูดกับคนบนกำแพงว่า “เห็นอะไรหรือไม่”  
 
 
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งส่ายหน้า พูดเสียงแหบว่า “ไม่มี”  
 
 
“เป็นเสียงแมว หรือหมาอย่างนั้นหรือ” ชายฉกรรจ์สงสัย เกาหัว สั่งทุกคนว่า “เข้าไปเถิด”  
 
 
ทั้งสองคนเดินเข้าไป อีกสองคนกระโดดลงจากกำแพง แยกกันยืนคนละฟากของประตูในจวนกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง  
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวโล่งใจ เดินออกมาจากความมืด ทั้งสองรู้ดีว่าไม่สามารถเข้าไปจากด้านหน้าประตูได้ จึงล้มเลิกความคิดนี้ไป เดินดูรอบๆ จวน  
 
 
จวนองค์ชายใหญ่กว้างขวาง เดินวนครู่ใหญ่ จึงได้พบกับประตูเล็กๆ เข้า   
 
 
ประตูที่มุมถูกใส่กลอนเอาไว้ ด้านนอกไม่มีโคมไฟ  
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้บนประตูเล็ก ซ่อนร่างตนเองไว้ ใช้แสงจันทร์มองไปด้านในของประตู  
 
 
ไม่มีคนเฝ้า  
 
 
ทั้งสองมองหน้ากัน หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวกระโดดเข้าไปในเงามืดด้านในประตู ยืนมั่นคง มองดูบรรยกาศภายใน  
 
 
ไม่ไกลจากประตู มีเรือนเล็กๆ ของบ่าวรับใช้อยู่จำนวนหนึ่ง ขณะนั้น ด้านในมีเสียงกรนดังสนั่นราวกับฟ้าผ่าดังออกมา   
 
 
ใช้การบดบังของความมืด ทั้งสองเดินย่องข้ามผ่านบ้านของบ่าวรับใช้ เมื่อมั่นใจทิศทางแล้วก็ค่อยๆ เดินเข้าไปด้านในจวนอย่างช้าๆ   
 
 
ไม่มีใครรู้เลยว่า ขณะเดียวกัน ลูกสาวของพวกเขาเองกำลังสำรวจทิศทางในจวนอยู่ แต่ว่า หวงฝู่เย่าเย่ว์เดินไปอีกฟากของเรือนหลัก พวกเขาจึงได้คลาดกันเช่นนี้  
 
 
เรือนหลักตั้งตระหง่าน ไฟส่องสว่าง หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาแอบอยู่ไม่ไกลจากเรือนหลัก มองหาต้นไม้ใหญ่ กระโดดเข้าไป แอบอยู่ระหว่างกิ่งไม้ มองพิจารณาเรือนหลัก  
 
 
ในเรือนมีไฟส่องสว่าง สามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ด้านนอกประตูมีชายฉกรรจ์สองนายยืนเฝ้ายามอยู่ หน้าประตูเรือนมีสาวใช้เฝ้าอยู่ เป็นเวลาสามยามแล้วแต่ด้านในยังมีคนเดินไปเดินมาอยู่   
 
 
ขณะที่ทั้งสองกำลังสังเกตการณ์อยู่นั้น ม่านประตูถูกเปิดออก หญิงงามผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านใน ถามอะไรบางอย่างจากคนในบริเวณนั้น  
 
 
ทั้งสองคนฟังไม่เข้าใจ แต่มองออกว่าสีหน้าของหญิงสาวร้อนรน   
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวจำรูปปากของหญิงสาวเอาไว้ เพื่อจะกลับไปถามหลินหันเยียน   
 
 
หลังจากที่หญิงสาวถามเสร็จแล้ว สีหน้าผิดหวังอย่างชัดเจน เงยหน้ามองสีฟ้า หันหลังกลับเข้าไปด้านใน   
 
 
เรือนหลักเงียบลงอีกครั้ง   
 
 
จวนองค์ชายใหญ่เงียบสงัดเช่นเดิม   
 
 
หากเป็นเมื่อก่อน ทั้งสองคนคงจะคิดหาวิธีไปจับคนมาคนหนึ่งเพื่อเค้นถามว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์อยู่ที่ใด แต่บัดนี้พูดภาษาไม่ได้ ต่อให้ไปจับคนมา ก็ฟังไม่ออกว่าเขาพูดว่าอะไร กลับกันอาจทำให้คนในจวนตื่นตูมได้ และทำให้เย่ว์เอ๋อร์ตกอยู่ในอันตราย คิดถึงตรงนี้ ทั้งสองมองตากัน ล้มเลิกความคิดที่จะเดินสำรวจจวนองค์ชาย เดินตามทางกลับออกมาจากจวนองค์ชายใหญ่  
 
 
หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวใช้กำลังภายใน เร่งรุดกลับมายังที่พัก กระโดดเข้าไปจากทางหน้าต่างเช่นเดิม   
 
 
หลินหันเยียนและหวงฝู่สือเมิ่งพร้อมด้วยหวงฝู่เฮ่ารออยู่ที่ที่พักด้วยความกังวล เมื่อเห็นทั้งสองคนกลับมา ทั้งสามดีใจ หลินหันเยียนถามด้วยเสียงเบาว่า “เป็นอย่างไรเจ้าคะ”  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า  
 
 
ดูเหมือนว่าได้คาดการณ์เอาไว้เช่นนี้แล้ว หลินหันเยียนไม่ได้ผิดหวัง พูดว่า “วันพรุ่งข้าจะออกไปสืบดูอีกครั้ง ดูว่ามีโอกาสเข้าไปในจวนองค์ชายใหญ่ได้หรือไม่”  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ตอบ แต่พูดว่า “ข้าเห็นว่ามีหญิงผู้หนึ่งถามอะไรบางอย่างกับสาวใช้ ข้าฟังไม่รู้ความ แต่จำรูปปากนางได้ เจ้าดูทีว่าจะพอเดาได้หรือไม่ว่านางว่าอะไร”  
 
 
หลินหันเยียนมองนาง  
 
 
เมิ่งเชี่ยนโยวอ้าปาก ค่อยๆ ขยับปากตามอย่างที่หญิงผู้นั้นทำ   
 
 
หลินหันเยียนมองปากนาง แปลตามไปด้วย  
 
 
“นี่มันกี่วันกันแล้ว เหตุใดองค์ชายใหญ่จึงยังไม่กลับมาอีก”  
 
 
“วันนั้นองค์ชายกลับมา ได้นำคนที่พามาด้วยไปไว้ที่เรือนซูซินย่วน วันสองวันมานี้ พวกเจ้าไปสืบมาว่าอย่างไร เป็นคนสลักสำคัญอะไรหรือไม่”  
 
 
“หลายวันเช่นนี้ยังสืบมาไม่ได้ สมองของพวกเจ้ากลวงหมดแล้วหรือไร”  
 
 
สาวใช้หันหลังให้พวกเขา เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เห็นรูปปากของพวกนาง จึงไม่อาจรู้ได้ว่าพูดอะไร แต่สามารถเดาได้จากบทสนทนาจองหญิงสาว ได้ความว่า หลังองค์ชายใหญ่พาหวงฝู่เย่าเย่ว์มาที่นี่ ก็มีธุระออกจากจวนไป ไม่ได้กลับมาอีกเลย  
 
 
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวจึงโล่งใจ ดูทีถึงตอนนี้หวงฝู่เย่าเย่ว์คงจะยังไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว จากนั้นขมวดคิ้ว เรื่องใดกันที่ทำให้องค์ชายพาเย่ว์เอ๋อร์กลับมาแต่ไม่มีเวลามาสนใจ รีบออกไปเช่นนั้น หรือจะเป็นเรื่องการรบของสองประเทศ  
 
 
หลินหันเยียนคิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน สีหน้าเปลี่ยนไปทันที  

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมื่อนักฆ่าในยุคปัจจุบันอย่าง เมิ่งเชียนโยว ต้องทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสาวน้อยชนบทผู้เอาแต่ใจ ประสบการณ์ครั้งใหม่จึงได้เริ่มต้นขึ้น! นางจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรในครอบครัวที่อัตคัดเช่นนี้ หนทางเดียวที่พอจะทำได้ก็คือการหาทางเลี้ยงชีพเพื่อพลิกฟื้นครอบครัวชาวนาให้ขึ้นมารุ่งเรืองมั่งคั่ง แต่ด้วยความสามารถของนางแล้วนั่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาหนักอะไรนัก ปัญหาก็คือ… นางมีคู่หมั้นแล้ว และคู่หมั้นของนางก็เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกหน้าตามอมแมมเนี่ยน่ะหรือ!? … “น้องหญิง เด็กผู้ชายคนนั้นก็คือสามีในอนาคตของเจ้า” เมิ่งเสียนพี่ชายคนโตชี้ไปที่เด็กผู้ชายเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมไม่ไกลออกไป เชี่ยนโยวได้ฟังแล้วพลันรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด “น้องหญิง สามีในอนาคตของเจ้าถูกคนทำร้าย!” เมิ่งฉีพี่ชายคนรองทะยานเข้ามาจากประตูใหญ่อย่างร้อนรน ร้องตะโกนบอกเมิ่งเชี่ยนโยว เส้นประสาทที่หน้าผากเมิ่งเชี่ยนโยวพลันเกร็งกระตุก “ท่านพี่ สามีในอนาคตของพี่…” คำพูดของเมิ่งเจี๋ยน้องชายคนเล็กยังไม่ทันจบก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทขึ้น “ไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ สามีในอนาคตของข้า พวกเราจะเลี้ยงดูเอง!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset