หลี่ว์ซู่เคยอิจฉาจือเวยและคอรัลที่มีความสามารถในการควบคุมสายฟ้าได้ เพราะที่สุดแล้วสายฟ้าก็เป็นอาวุธทำลายล้างสูงสำหรับมนุษย์ ถ้าเขาไม่ได้มีธารน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ก็คงประมือกับอสนีบาตไม่ได้
แต่ธารน้ำของเขาเริ่มจะแผลงฤทธิ์เสียแล้ว มันถูกเจ้าโกลาหลดูดเอาไปใช้แปลงร่างหมด…
นอกจากนี้เขายังใช้พลังดาบรัศมีไปหมดแล้วด้วยเหมือนกัน ตอนนี้เขาบาดเจ็บ แถมธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็หายไปหมด ตอนราบรื่นก็ราบรื่นมาก แต่พอมีเรื่องทีก็ถล่มเข้ามาไม่ยั้ง กระนั้นเมื่อหลี่ว์ซู่เห็นสายฟ้าที่พันอยู่รอบๆ ต้นแบบกระบี่ เขาก็เต็มตื้นในใจขึ้นมา อย่างน้อยก็พอมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับเขาบ้างหลังจากโดนฟ้าผ่าไป
เอาเข้าจริงๆ แล้วหลี่ว์ซู่อาจจะตายจากการโดนอสนีบาตฟาดเลยก็ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องบทลงโทษจากสวรรค์เลย หลี่ว์ซู่ยังด่วนย่ามใจไปไม่ได้ มีงูเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่สามารถกลายร่างเป็นมังกรได้ในช่วงเลื่อนระดับพลังนี้ ดูยังไงทางรอดก็มีไม่ค่อยมากนัก
ในช่วงที่งูกำลังจะเปลี่ยนร่างเป็นมังกรนั้น การลอกคราบนั้นสูบเอาพลังงานไปมากทีเดียว หลังจากเสร็จสิ้นแล้วมันยังต้องเผชิญกับด่านเคราะห์จากสวรรค์อีก จึงมีงูมากมายเลือกปฏิเสธการฝ่าด่านเลื่อนระดับนี้
หลายพันปีที่ผ่านมายังไม่มีงูตัวไหนที่เปลี่ยนร่างเป็นมังกรสำเร็จเลย
การเผชิญด่านเคราะห์จากสวรรค์นั้นถูกใช้เป็นลงโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนกฎธรรมชาติ โดยปกติแล้วผู้ที่โดนสวรรค์ลงโทษจะเกิดการเปลี่ยนแปลงและถือกำเนิดขึ้นใหม่อีกครั้ง
แต่ราวกับว่าสวรรค์จาะไม่คิดอย่างนั้นน่ะสิ ในตอนนี้สวรรค์คงอยากฆ่าผู้ฝ่าฝืนกฎธรรมชาติให้ตายราบคาบไปเลยในครั้งเดียว…
ถ้าหลี่ว์ซู่ไม่ได้เสาสีทองช่วยไว้ก็คงตายไปนานแล้ว
แล้วอย่างนี้พลังดาบรัศมีจะแข็งแกร่งขึ้นหรือเปล่านะ เขาทำได้แค่รอเท่านั้นแหละ แล้วเขาก็ผล็อยหลับไป
วันต่อมาดวงตะวันฉายแสงส่องไปทั่วฟ้า เป็นสัญญาณให้คนในค่ายตื่นจากห้วงนิทรา หน่วยปรุงอาหารเป็นกลุ่มคนกลุ่มแรกที่ต้องตื่นมาเตรียมตัวแต่เช้า
หลี่ว์ซู่ตื่นขึ้นมาแบบไม่ค่อยมีสตินัก เมื่อเขาจับต้นชนปลายได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เขาก็ตกใจมาก “พวกนายทำอะไรกัน!”
เฉินเฮ่า เฉินจู่อาน และกลุ่มคนรีบวิ่งมาที่หลี่ว์ซู่ด้วยสีหน้าเป็นห่วง หลังจากที่พวกเขาเห็นว่าหลี่ว์ซู่ตื่นแล้วก็ยิ้มออกทันที “เพิ่งเคยเห็นคนรอดชีวิตจากฟ้าผ่านี่แหละ เราเป็นห่วงแทบตาย เราก็เลยมาปกป้องนาย”
สำหรับเฉินเฮ่าและคนอื่นๆ แล้ว พวกเขาไม่สนหรอกว่าหลี่ว์ซู่จะโดนฟ้าผ่ามา เพราะหลี่ว์ซู่เป็นคนที่ออกหน้าไปกำจัดพวกกิ้งก่านั่นเอง หลี่ว์ซู่เป็นคนตัดสินใจเด็ดเดี่ยวกระโดดลงหลุมไปฆ่ากิ้งก่ากินคนต่อหน้าทั้งหมด เขาช่างกล้าหาญที่เลือกเผชิญหน้ากับความอันตราย พวกเขาก็เคารพหลี่ว์ซู่ในส่วนนั้น พวกเขายอมรับสหายร่วมรบคนนี้ทั้งหัวใจ แล้วในเมื่อสหายคนนี้กำลังบาดเจ็บ พวกเขาก็ต้องมาเยี่ยมอยู่แล้ว อีกอย่าง พวกเขาอยากรู้ด้วยว่าไปทำอีท่าไหนถึงโดนสายฟ้าฟาดมาได้
“มีอะไรให้ไปทำก็ไปทำเถอะ ฉันไม่เป็นไร เดี๋ยวสองวันก็หายแล้ว” หลี่ว์ซู่รำคาญเล็กน้อย เขารู้สึกว่าคนพวกนี้อยากรู้อยากเห็นกันมากเกินไปแล้ว
จากนั้นก็มีแพทย์และพยาบาลทหารเดินเข้ามาในเต็นท์ เมื่อแพทย์เห็นกลุ่มคนในเต็นท์ เขาก็ขมวดคิ้ว “คนไข้ยังมีอาการแสบร้อนตามร่างกายอยู่นะ คนอื่นๆ กรุณาออกไปด้วย เดี๋ยวจะเอาแบคทีเรียและเชื้อโรคเข้ามาติดเขาได้”
เฉินจู่อานหัวเราะ “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ร่างกายผู้บำเพ็ญไม่โดนแบคทีเรียเล่นงานง่ายๆ หรอก”
แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ หลี่ว์ซู่ก็ขัดขึ้นมา “ไม่ได้ยินที่หมอพูดเหรอ ออกไปน่า ฮ่าๆ ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”
จู่ๆ เฉินจู่อานก็ตัวสั่นขึ้นมา เขาพูดมากเกินไปแล้ว เขารู้สึกตัวแล้วว่าได้ล้อเล่นกับคนที่ไม่สามารถพูดเล่นด้วยได้มากไปหน่อย เฉินจู่อานจึงพาทุกคนออกจากเต็นท์
หมอเดินมาที่เตียงของหลี่ว์ซู่และมองดูเขา เขาจ้องอยู่อย่างนั้นห้านาทีเต็มๆ ด้วยกัน หลี่ว์ซู่คิดว่าหมอคนนี้ช่างเป็นคนลงรายละเอียดในการตรวจเสียจริง แต่แล้วหมอก็ถอนหายใจออกมา “เจ๋งจริงๆ!”
หลี่ว์ซู่งุนงง
นี่เป็นเรื่องปกติที่หมอพูดกันเหรอ
หมอคนนั้นยังคงถอนใจต่อไป “นี่ผมก็เป็นหมอมาตั้งหลายปีนะ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มารักษาคนไข้ที่โดนฟ้าผ่ามา”
“อย่าดราม่าครับหมอ” หลี่ว์ซู่ว่า
หมอคนนั้นเปลี่ยนอารมณ์มาเป็นจริงจังแทน “ระวังเรื่องอาหารด้วย อย่าไปกินอาหารเผ็ดๆ เข้าล่ะ”
“ได้ครับ” หลี่ว์ซู่รับทราบ “มีอย่างอื่นอีกไหมครับ”
“แค่นั้นแหละ” หมอตอบเรียบๆ
หลี่ว์ซู่เงียบไปสองวินาที “หมอมาที่นี่ก็แค่มาดูอาการหลังโดนฟ้าผ่างั้นใช่ไหมครับ”
หมอพยักหน้า “ก็หมออย่างเราช่วยอะไรพวกผู้บำเพ็ญไม่ได้มากนี่นา ฟื้นฟูร่างกายกันเก่งขนาดนี้ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ถ้าเกิดบาดเจ็บมาเล็กๆ น้อยๆ แล้วมาหาหมอ ป่านนี้ก็คงหายดีแล้วมั้ง…”
“หมอไปเถอะ” หลี่ว์ซู่พูดอย่างใจเย็น
แล้วหมอที่ดูสบายๆ กันเองคนนั้นก็เดินออกไปกับพยาบาล จะว่าไปพยาบาลเองก็สวยใช่ย่อยเลยนะ…
หลี่ว์ซู่นอนราบลงไปกับเตียงของตัวเองและพักผ่อนเงียบๆ เขาไม่ต้องรีบออกไปไหน ไม่ต้องรีบไปที่โบราณสถานด้วย
หลี่ว์ซู่ประหลาดใจเล็กน้อยที่พลังดาบรัศมีใหม่นั้นมีอสนีบาตสีม่วงพันล้อมรอบ สายฟ้าพวกนั้นวิ่งพล่านไปทั่วดาบเปล่งแสง เขาหยิบดาบเล่มหนึ่งออกมาดูใกล้ๆ เส้นของสายฟ้าที่วิ่งนั้นดูราวกับเป็นสัญลักษณ์โบราณอะไรสักอย่างที่ปรากฏเพียงแวบเดียวแล้วก็หายไป
เฉินจู่อานหัวเราะ “พี่ซู่นี่มีร่างกายที่เจ๋งไปเลยเนอะ โดนฟ้าผ่ามาก็ใช้เวลาแค่ไม่กี่วันก็หายแล้ว…แล้ว…แล้ว…แล้ว…”
จากนั้นเขาก็โดนสายฟ้าสีม่วงจากดาบเปล่งแสงฟาดเข้าไปที่ก้น เกิดเป็นรอยฟันปรากฏขึ้นมา เฉินจู่อานเริ่มตัวสั่น เขาควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้เลย…
[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินจู่อาน +666!]
แต่หลี่ว์ซู่กลับขมวดคิ้วเพราะก่อนหน้านี้ดาบรัศมีสามารถใช้ได้หลายครั้ง แต่ดาบรัศมีที่มีอสนีบาตล้อมรอบกลับใช้ได้แค่เพียงครั้งเดียว สายฟ้าจะพุ่งเข้าใส่เป้าหมายโดยอัตโนมัติทำให้เฉินจู่อานกลายเป็นแบบนี้
หลังจากนั้นในพริบตา เฉินจู่อานก็หยุดสั่นแล้วก็วิ่งหนีออกไป เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองไปแหย่หล่ว์ซู่เล่นเกินไปแล้วในไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ถ้าเขาไม่รีบหนีไปก่อนหลี่ว์ซู่จะหายดี เขาคงจบเห่แน่!
หลี่ว์ซู่นั่งครุ่นคิดเรื่องพลังใหม่ที่ได้มา ดูเหมือนว่ามันจะมีข้อจัดในการเล็งเป้าหมายสินะ
ในช่วงสามวันนี้ เขาขุดภูเขาพลังอย่างไม่หยุดหย่อน แล้วหลี่ว์ซู่ก็ผิดหวังที่ดาบต้นแบบที่ปรากฏใหม่ไม่มีสายฟ้าสีม่วงพันรอบแล้ว
จำนวนของดาบรัศมีหยุดอยู่คงที่เท่านี้ เขามีทั้งหมดเพียงสามร้อยยี่สิบห้าเล่ม และมันคงไม่ลดน้อยลงหรือเพิ่มมากไปกว่านี้แล้ว
ก่อนหน้านี้ที่เขาโดนฟ้าผ่า เขาคิดว่าตัวเองนั้นช่างโชคร้าย แต่ตอนนี้เขาเริ่มคิดว่าอยากโดนฟ้าผ่าอีกรอบเสียแล้ว
แค่จะให้ฝนตกในทะเลทรายแห้งแล้งแบบนี้ยังเป็นไปได้ยากเลย แล้วจะให้ฟ้าผ่ากลางทะเลเนี่ยนะ หลี่ว์ซู่ไม่มีทางยืนยันได้เลยว่าหากสายฟ้าอื่นผ่าลงมาที่เขา จะมอบความสามารถอย่างเดิมให้หรือเปล่า
ถ้าเขาทำให้ดาบรัศมีทั้งหมดมีอสนีบาตล้อมรอบได้แล้ว เขาไม่เพียงแต่จะมีพลังทำลายล้างสูงเท่านั้น แต่มีความสามารถในการหยุดการเคลื่อนไหวของศัตรูได้ด้วย นี่คงทำให้เขาปลอดภัยได้ขึ้นอีกระดับหนึ่งง