ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 588 หลี่ว์ซู่ผู้ค้นพบ 666

มีบรรพบุรุษในหอเกียรติกระบี่ที่ภูเขาพลังของเขาเองก็ถล่มลงมาเหมือนกัน แต่มันถูกคนอื่นทำลายจนโค่นล้มน่ะสิ ไม่มีคนไหนเลยที่ให้กำเนิดจิตวิญญาณแห่งกระบี่ขึ้นมาได้

 

 

ดูๆ แล้วจิตวิญญาณกระบี่จะสลายไปเมื่อภูเขาพลังถล่มลงมา แต่หลี่ว์ซู่แตกต่างออกไป เขากลับให้กำเนิดจิตวิญญาณกระบี่เสียอย่างนั้น

 

 

หลี่เสียนอีก็ตระหนักได้ว่าหลี่ว์ซู่อาจจะเป็นคนแรกที่ทำแบบนี้ได้ในหอเกียรติกระบี่เลยด้วยซ้ำ

 

 

การที่จะเปิดทะเลแห่งพลังได้ก็เพื่อเป็นการพัฒนาร่างกาย มีทฤษฎีความคิดหลายข้อที่ตั้งข้อสังเกตว่ามนุษย์นั้นมีความสามารถไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญตนก็เพื่อฝืนกฎธรรมชาติในแง่ของการฝึกฝน

 

 

หลี่ว์ซู่ค้นพบวิธีการให้กำเนิดจิตวิญญาณกระบี่ เขาได้พบทางเดินใหม่และนั่นก็เป็นการเปิดโลกให้กับความสามารถของเขาได้ ซึ่งชื่อของเขาจะถูกจารึกลงไปในประวัติศาสตร์ของหอเกียรติกระบี่แน่ๆ

 

 

แต่ปัญหาก็คือเขาไม่ได้เป็นหนึ่งในหอเกียรติกระบี่น่ะสิ! แล้วคนนอกจะถูกบันทึกชื่อเข้าไปได้อย่างไร

 

 

แต่เรื่องให้กำเนิดวิญญาณกระบี่นี่เป็นการค้นพบที่สำคัญมาก ขนาดหลี่เสียนอียังต้องลองไปขุดภูเขาพลังเองเลยหลังจากได้ยินเรื่องนี้ แต่พอหลี่เสียนอีถามหลี่ว์ซู่ว่าจิตวิญญาณกระบี่ทำอะไรได้บ้าง หลี่ว์ซู่กลับไม่อยากตอบ เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน

 

 

หลี่เสียนอีสงสัยว่าวิญญาณกระบี่ที่ออกมานั้นจะเป็นอย่างไร

 

 

หลี่เสียนอีได้ฟื้นฟูสภาพร่างกายเขามาได้แล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้เขายังไม่รีบร้อนที่จะหาผู้สืบทอดต่อ ถ้าไม่มีอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้นล่ะก็ เขาอยู่ได้ไปถึงอีกสองร้อยปีเป็นอย่างน้อยแน่นอน เมื่อเหตุการณ์เป็นอย่างนี้แล้วก็คงไม่ต้องเร่งหาผู้สืบทอดเท่าไหร่นัก

 

 

แล้วอยู่ๆ หลี่เสียนอีก็มีความคิดดีๆ ขึ้นมา เขาอยากจะไปถามหลี่ว์ซู่ว่าอยากมาร่วมกับหอเกียรติกระบี่ไหมและให้เขาเป็นอาจารย์ด้วย ที่สุดแล้วการค้นพบของหลี่เสียนอีนั้นก็ค่อนข้างสำคัญสำหรับหอเกียรติกระบี่มาก

 

 

แต่เขาก็ยังไม่ได้ไปถามหลี่ว์ซู่ เขารู้ว่าหลี่ว์ซู่จะต้องตอบตกลงแน่ เพราะหลี่ว์ซู่ได้ลดกำแพงลงมาให้เขาแล้ว

 

 

ถ้าหลี่เสียนอีจะโทรไปถามทางโทรศัพท์แล้ว เขาก็คงเป็นอาจารย์ที่ไม่ได้เรื่องที่สุดในหอเกียรติกระบี่เลยล่ะ

 

 

เนี่ยถิงและสือเสวจิ้นกำลังเดาสุ่มความสัมพันธ์ระหว่างหลี่เสียนอีกับหลี่ว์ซู่ว่าเป็นอาจารย์กับศิษย์กันหรือเปล่า และแน่นอนคำตอบก็คือไม่ใช่ ก่อนหน้านี้หลี่เสียนอีลังเลที่จะเขียนบันทึกลงในหอเกียรติกระบี่ว่า ‘ปี 2011 ความสามารถของหลี่ว์ซู่นั้นแซงหน้าท่านบรรพบุรุษ เขารวบรวมอากาศเพื่อก่อตัวเป็นก้อนเมฆ รวบรวมก้อนเมฆเพื่อก่อตัวเป็นสายฝน รวบรวมสายฝนให้กลายเป็นแม่น้ำ และเอาแม่น้ำรวมกันเพื่อก่อตัวเป็นทะเล ในที่สุดก็สร้างภูเขาพลังชี่ขึ้นมา ก่อนที่เขาจะเปิดทะเลพลังชี่ออก เมื่อมีความกดดันในภูเขาพลังชี่มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้ภูเขาได้ถล่มลงมา และทำให้เขาให้กำเนิดวิญญาณแห่งกระบี่ในที่สุด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะถือว่านี่เป็นวิธีใหม่ในการฝึกกระบี่’

 

 

หลังจากเขียนไปหนึ่งย่อหน้าแล้วหลี่เสียนอีก็คิดไปถึงในอนาคตว่าพวกทายาทของหอเกียรติกระบี่จะเขียนต่อกันอย่างไร

 

 

‘ผู้ค้นพบหลี่ว์ซู่นั้นสุดเจ๋ง!’

 

 

‘รุ่นพี่หลี่ว์ซู่ 666 [1] !’

 

 

พอคิดอะไรออกไปแบบนั้นแล้วเขาก็รู้สึกว่าพวกบรรพบุรุษนั้นได้ทำอะไรเล่นๆ กับหนังสือบันทึกไป และนี่ก็อาจจะเป็นการบันทึกล่าสุดของภูมิหลังและความคิดเห็นบนหนังสือบันทึกในกระดาษเลย!

 

 

ในขณะที่หลี่เสียนอีกำลังเริ่มจะขุดภูเขาพลังเพื่อให้กำเนิดวิญญาณกระบี่ของตัวเอง เขาก็คาดไม่ถึงแน่ๆ ว่าหลี่ว์ซู่นั้นจะเริ่มขุดภูเขาพลังตอนที่เขาเพิ่งจะกำลังลองถล่มภูเขาพลังชี่ลูกที่สองแล้ว

 

 

การขุดภูเขานั้นไม่สามารถทำให้เสร็จภายในวันเดียวได้หรอก หลี่ว์ซู่ใช้เวลานานกว่าที่จะสร้างภูเขาขึ้นมาและถล่มภูเขาลงมาอีก

 

 

หลี่ว์ซู่ที่กำลังจะอายุสิบแปดปีแล้ว เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเขาได้กลายเป็นคนใจเย็นขึ้น เขาไม่รีบร้อนหรือว่าอืดอาด และก็ไม่ได้หยิ่งผยองหรือใจร้อนเหมือนกัน

 

 

ในขณะนี้รถทหารวิ่งไม่ได้หยุดหย่อนแม้จะเป็นในเวลากลางคืน มีทหารสองคนต้องเปลี่ยนกะกันขับ ในการเดินทางไปที่โบราณสถานหลัวปู้พัวครั้งนี้ ทหารธรรมดาๆ นั้นให้การสนับสนุนพวกผู้บำเพ็ญด้วย

 

 

เมื่อถึงเวลาทานอาหารเย็นมาถึง รถทหารก็จะหยุดที่จุดพักรถตามทางด่วน ถึงแม้ว่าจะมีคนขับเปลี่ยนกันขับสองคนก็ตาม พวกเขายังจะต้องมีการพักระหว่างนั้นด้วย ซึ่งพวกเขาก็ทำตามอย่างเคร่งครัด และการเดินทางในครั้งนี้นั้นไกลมากกว่าสองร้อยกิโลเมตรเลยทีเดียว

 

 

นักเรียนเจ็ดคนจากห้องเต้าหยวนนั้นนั่งกินข้าวด้วยกัน ส่วนหลี่ว์ซู่ที่เพิ่งตื่นนอนนั้นก็ไปนั่งกินข้าวกับทหารสองคนที่ขับรถให้

 

 

แล้วหลี่ว์ซู่ก็สงสัยขึ้นมา “มีทหารธรรมดากี่คนที่เข้ามาทำงานให้ในครั้งนี้กันเหรอครับ”

 

 

“ประมาณหมื่นนายได้ จริงๆ แล้วเราไม่ต้องทำอะไรมากหรอก เราแค่มาช่วยขนของ ขนส่งคน และมาเป็นกำลังคนให้เท่านั้น” ทหารคนหนึ่งตอบออกมาด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้พวกเด็กนักเรียนจากห้องเต้าหยวนน่ะแข็งแกร่งกว่าเดิมเสียอีก เมื่อก่อนน่ะเรายังต้องกางเต็นท์ให้ เดี๋ยวนี้พวกนายมีค่ายกันเป็นของตัวเองแล้ว แต่เรายังช่วยทำอาหารให้อยู่นะ”

 

 

หลี่ว์ซู่ผงกหัวรับรู้ นี่ก็เป็นผลลัพธ์ของการฝึกทหารทั้งนั้น พวกเขาไม่จำเป็นจะต้องเอากลยุทธ์ทางทหารมาใช้หรอก เพราะที่สุดแล้วต้องใช้การหลั่งเลือดและความยากลำบากในการฝึกฝนนักเรียนของห้องเต้าหยวน แต่อย่างน้อยๆ เด็กทารกตัวอ้วนพกวนี้ก็หย่านมแล้ว ซึ่งก็เป็นสัญญาณที่ดี

 

 

หลี่ว์ซู่เลยอธิบายเพิ่มเติม “ถ้าตอนที่โบราณสถานเปิดออกมาแล้ว จำไว้นะครับว่าให้ไปหลบอยู่ที่ไกลๆ ถ้าเผลอเข้าไปแล้วจะรอดออกมายาก”

 

 

เขาไม่ได้จะมาดูกความสามารถของทหารธรรมดาอะไรหรอก แต่ว่านี่เป็นเรื่องจริง ถึงแม้พวกคนธรรมดาจะมีเครื่องมือป้องกันตัวเองอย่างครบครันก็ยังยากที่จะเอาชีวิตรอดอยู่ดี

 

 

หลี่ว์ซู่เห็นว่านักเรียนห้องเต้าหยวนเจ็ดคนนั้นเอาดาบยาวปกติกันมาด้วย แล้วนักเรียนคนอื่นๆ ในวิทยาลัยก็ดูเหมือนจะใช้ดาบแบบเดียวกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปการเตรียมตัวของเครือข่ายฟ้าดินก็ยิ่งจะสมบูรณ์มากขึ้น

 

 

ทหารสองคนมองหน้ากันขณะที่กำลังกลืนอาหารเข้าปากอย่างหิวโหย “ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอก หัวหน้าของเราเองยังบอกพวกเราให้ระวังเหมือนกัน ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นขึ้นจริงๆ ก็จะมีคนเตือนเราไว้ ถ้าเราติดอยู่ในนั้นจริงๆ เราก็ยังมีพวกนายปกป้องเราอยู่นี่ ใช่ไหมล่ะ”

 

 

ทหารสองคนนั้นไม่ได้คาดคิดว่าจะมีนักเรียนที่เป็นห่วงพวกเขาด้วย และนี่ก็ทำให้พวกเขาอุ่นใจข้างใน พวกเขาลำบากทำงานขนส่งนักเรียนไปโบราณสถานกันทั้งวันทั้งคืน ถ้าพวกนักเรียนคิดว่านี่มันเป็นเพียงหน้าที่ของพวกเขาและปฏิบัติกับพวกเขาอย่างเย็นชาแล้วล่ะก็ พวกเขาคงจะรู้สึกแย่ไม่น้อย ถึงพวกเขาจะต้องทำตามคำสั่งก็เถอะ

 

 

นักเรียนห้องเต้าหยวนเจ็ดคนได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะตอบ “ถ้าพวกคุณติดอยู่ข้างใน เราจะปกป้องพวกคุณแน่ๆ ล่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงเลย เราเป็นเหมือนครอบครัวกันนะ”

 

 

แต่นักเรียนที่ชื่อว่าเจียงเฟิงกลับสวนขึ้นมา “แต่ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าคนที่นั่งข้างๆ พวกคุณน่ะ จะปกป้องพวกคุณได้หรือเปล่า”

 

 

ทหารสองคนนั้นเริ่มรู้สึกอึดอัด พวกเขารู้ว่าพวกนักเรียนห้องเต้าหยวนไม่ได้จะรู้จักกันหมดทุกคน แต่พวกเขาบอกได้ว่าหลี่ว์ซู่ที่นั่งอยู่ข้างๆ นั้นไม่ได้อ่อนแอเลย จริงๆ แล้วตรงกันข้ามเลยต่างหาก และพวกเขาก็รู้ว่าหลี่ว์ซู่นั้นมีท่าทางสบายๆ กว่าพวกนักเรียนห้องเต้าหยวนเสียอีก

 

 

ความรู้สึกนี้เหมือนพวกเขาได้เห็นทหารผ่านศึกที่ช่ำชองแล้วตรงชายดนอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ปีที่ผ่านมานั้นประเทศจีนสงบสุขมาก แต่ทางแถบชายแดนไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย พวกเขาได้ยินมาจากทหารผ่านศึกว่ามีทหารสองคนถูกฆ่าตายจากพลแม่นปืนในขณะที่กำลังเฝ้ายามกันที่ชายแดนอยู่

 

 

เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอยู่แล้วถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ในยุคแห่งพลังพิเศษก็ตาม ในโลกนี้ไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่ทุกคนคิดหรอก

 

 

หลี่ว์ซู่เหลือบมองกลับไปที่เจียงเฟิงและนักเรียนคนอื่นๆ ยิ้มๆ “พวกนายน่ะเป็นยอดฝีมือกันทั้งนั้น ฉันหวังว่าพวกนายจะได้รับความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่กลับมาในโบราณสถานนี้นะ ถ้าเราเดินเจอกันในนั้นก็อย่าลืมปกป้องฉันด้วยล่ะ”

 

 

เจียงเฟิงพูดกลับอย่างเย็นชา “ทำไมไม่เรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเองหน่อยล่ะ แทนที่จะรอให้คนอื่นมาปกป้องน่ะ”

 

 

 

 

——

 

 

[1] เป็นศัพท์แสลงในโลกอินเตอร์เน็ตของประเทศจีน มีความหมายว่า เก่งกาจมีความสามารถ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset